สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

น้ำตาลผลไม้อันตราย เราจะกินได้กี่มากน้อย

จากประชาชาติธุรกิจ

ธรรมชาติบำบัด
นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob@outlook.com Facebook: Bhiriyalai VT
ที่มา นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์




ดังที่ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า การกินผลไม้มาก การกินน้ำผึ้งมากจะเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี

ใครที่พลาดความรู้ตรงนี้ก็จะขอทบทวนให้สักนิดหนึ่ง

เริ่มต้นจากความจริงที่ว่า น้ำตาลฟรุกโตสเป็นน้ำตาลซึ่งพบมากในผลไม้ และพบมากในน้ำผึ้ง เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว แทนที่จะถูกส่งเข้ากระแสเลือดแล้วเผาผลาญเป็นพลังงานได้อย่างปกติแบบน้ำตาล กลูโคส ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่

น้ำตาลฟรุกโตสไม่สามารถเข้าสู่เซลล์เพื่อเป็นพลังงานได้โดยตรง แต่จะถูกส่งเข้าตับ แล้วตับแปลงให้เป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์

ส่วนหนึ่งถูกส่งเข้ากระแสเลือด เป็นเหตุให้ไขมันเลือดสูง แล้วตับก็ต้องสร้างยานพาหนะที่ชื่อว่า ไลโปโปรตีน (ซึ่งก็คือคอเลสเตอรอลจับกับโปรตีนบางตัว) เพื่อทำหน้าที่เป็นรถบรรทุกไตรกลีเซอไรด์ส่งไปทั่วร่างกาย

ดังนั้น ไตรกลีเซอไรด์สูงก็จะพบคอเลสเตอรอลสูงเป็นเงาตามตัว เป็นเหตุให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันเลือดสูง

ขณะเดียวกัน ไตรกลีเซอไรด์ก็ไปพอกพูนใต้ผิวหนัง ทำให้อ้วน

อีกส่วนหนึ่งพอกพูนอยู่ในตับจนกลายเป็นไขมันพอกตับ

ส่วนภาวะที่ฟรุกโตสอ้อยอิ่งอยู่ในตับนี่เอง กลูโคสก็เข้าสู่ตับไม่ได้

ทำให้กลูโคสท้นเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้กลายเป็นเบาหวานไปในที่สุด



ปัจจุบัน นี้ประมาณกันว่า คนอเมริกัน 1 ใน 3 ของประชากรกำลังป่วยด้วยกลุ่มโรคจากการเผาผลาญ (metabolic diseases) ทั้งกลุ่มที่กล่าวถึงนี้ ซึ่งรากเหง้าที่แท้จริงไม่ใช่มาจากการกินไขมันมากดังที่เข้าใจแต่เดิม แต่เป็นเพราะการกินคาร์โบไฮเดรตมาก โดยเฉพาะความหวานในอาหาร ในขนม

และกระทั่งความเข้าใจผิดว่ากินผลไม้แล้วปลอดภัย ทำให้หลายคนหลงกินผลไม้จนเพลิน เกิดโรคอ้วน โรคไขมันเลือดสูง และเบาหวานได้เช่นเดียวกัน

ฟรุกโตสยังมีอันตรายอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นตัวการที่ทำให้โปรตีนในร่างกายจับก้อน เราเรียกกระบวนการนี้ว่าแอดวานซ์กลัยเคชั่น (advanced glycation) เหมือนกับการที่เราเอาเนื้อสดใส่ลงในโหลน้ำผึ้ง เนื้อชิ้นนั้นก็จะถูกน้ำผึ้งเปลี่ยนสภาพโปรตีนให้ "สุก" มีอันแข็งๆ และไม่บูดไม่เน่าอีกต่อไป

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผนังหลอดเลือด ก็มีหลอดเลือดแข็งตัว ความดันเลือดสูง ถ้าสัมผัสเนื้อเยื่อหัวใจก็หัวใจเสื่อมสภาพ ถ้าเกิดกับตับก็ไขมันพอกตับ และตับแข็ง ถ้าเกิดกับไตก็ไตเสื่อมจนกลายเป็นไตวาย เหมือนดังที่คนเป็นเบาหวานมักไตวาย และถ้าสัมผัสกับจอตาก็ตาเสื่อม คือภาวะเบาหวานขึ้นตาของคนเบาหวานนั่นเอง

ครับ ถ้าอย่างนั้นเราแต่ละคนจะกินผลไม้ได้วันละเท่าไหร่?

มีตัวเลขที่น่าสนใจมีดังนี้ครับ :



ในแต่ละวันเราสามารถดูดซับฟรุกโตสได้เพียง 20 กรัมเท่านั้น ซึ่งเท่ากับน้ำตาล 4 1/2 ช้อนชา หรือเท่ากับแอปเปิ้ล 2 ลูก

ถ้ากินเกินกว่านั้นฟรุกโตสส่วนเกินก็จะทำอันตรายกับตับ ทำให้อ้วน และทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เสี่ยงต่อเบาหวานอย่างฉกาจฉกรรจ์

ทีนี้ก็มีตัวเลขให้เปรียบเทียบปริมาณฟรุกโตสในผลไม้ชนิดต่างๆ ดังนี้ (ดูตาราง)



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ชนิดของผลไม้ ปริมาณกรัมของฟรุกโตส

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- มะนาว 1 ผล 0.0

มะนาวเลมมอน 1 ผล 0.6

แครนเบอร์รี 1 ถ้วย 0.7

อินทผลัม 1 ลูก 2.6

แคนตาลูป 1/8 ผล 2.8

รัสเบอร์รี 1 ถ้วย 3.0

กีวี 1 ผล 3.4

สับปะรด 1 ชิ้น 4.0

ส้มโอเกรฟฟรุต 1 ผล 4.3

ส้มจีน 1 ผล 4.8

พีช 1 ผล 5.8

ส้ม 1 ผล 6.1

มะละกอ 1/2 ลูก 6.3

กล้วย 1 ใบ 7.1

บลูเบอร์รี 1 ถ้วย 7.4

แอปเปิ้ล 1 ผล 9.5

สาลี่ 1 ผล 11.8

ลูกเกด 1/4 ถ้วย 12.3

องุ่น 1 ถ้วย 12.4

มะม่วง 1/2 ผล 16.2

แอปปริคอตแห้ง 1 ถ้วย 16.4

มะเดื่อแห้ง 1 ถ้วย 23.0



เมื่อดูตามตารางนี้จะเห็นได้ว่า ผลไม้ที่คนไทยเรากินในชีวิตประจำวันนั้น เราจะมีปริมาณจำกัดในการกินดังนี้คือ

กล้วย ไม่เกิน 3 ใบ

ส้ม ไม่เกิน 3 1/2 ผล

สับปะรด ไม่เกิน 5 ชิ้น

มะม่วง ไม่เกิน 3/4 ผล

องุ่น ไม่เกิน 1 1/2 ถ้วย

แอปเปิ้ล ไม่เกิน 2 ผล

เหล่านี้เป็นผลไม้พบบ่อยในชีวิตประจำวัน โดยข้อแม้ยังมีว่าเลือกกินได้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งในปริมาณที่ไม่เกินจากนี้ แต่ถ้ากินผสมปนเปกันแล้ว ก็ต้องหักลบกันไปให้พอเหมาะ เช่น

- กินแอปเปิ้ล 1 ผล + ส้ม 1 ผล + กล้วย 1 ใบ

- กินมะม่วง 1/2 ผล + สับปะรด 2 ชิ้น

- กินองุ่น 1/2 ถ้วย + กล้วย 1 ใบ + ส้ม 1 ผล

เหนือสิ่งอื่นใด ต้องไม่ลืมว่ายังมีความหวานที่ล่อตาล่อใจในชีวิตประจำวันอีกเยอะเลย เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน ไอศกรีม ฯลฯ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ข้อสรุปจึงมีว่า คนเราพึงสำเหนียกในอันตรายจากผลไม้ ว่าที่แท้แล้วอย่าคิดว่า ฉันรักสุขภาพ ดังนั้น กินผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ถือเป็นเรื่องดี หรือไปหลงเชื่อว่า น้ำผึ้งเป็นความหวานจากธรรมชาติ ที่ไม่อันตราย


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : น้ำตาลผลไม้ อันตราย เราจะกินได้ กี่มากน้อย

view