ASO คืออะไรหว่า?
ASO คืออะไรหว่า?
โดย : ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ขอมาพูดศัพท์ใหม่ ให้บรรดานักการตลาด หรือ นักดิจิทัลทั้งหลายได้มึนกันเล่น
พวกเราคงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับ "ศัพท์ดิจิทัล" เช่น SEO (Search Engine Optimization) หรือ SEM (Search Engine Marketing)
แต่ถ้าผมเอ่ยถึงคำว่า ASO ชื่อว่า นักการตลาดหลายท่านอาจจะไม่รู้จัก หรือ อาจจะไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ
“ASO” มันย่อมาจาก App Store Optimization มันคือ Process ของการทำให้ Mobile Application ที่เราพัฒนาขึ้นมา ติดอยู่ใน App Store อันดับต้นๆ ใน Keyword ที่เราต้องการ ยิ่งเราอยู่อันดับสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสถูกโหลดมากขึ้นเท่านั้น
App Store ในที่นี้ หมายถึงทั้ง iTunes ของ Apple และ Play Store ของ Google
วิธีการทำ ASO จริงๆ จะว่าไปแล้ว ก็มี Process ที่คล้ายๆกับการทำ SEO แต่ว่ามีขั้นตอนและวิธีการทำที่ง่ายกว่ามาก เพราะว่ามันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ตั้งไข่ ขบวนการคิด หรือขบวนการ การคำนวณอันดับ ยังไม่ได้สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เหมือนกับSEO ที่ Google ได้พัฒนามาแล้วหลายสิบปีแล้ว
วันนี้เลยขอแนะนำทิปเล็กๆ ในการทำ ASO แบบง่ายๆ ให้ทุกคนได้ฟังกัน การทำ App Store Optimization แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
1.Keyword Optimization (KWO) ส่วนงานนี้ ได้แต่การเลือก Keywords ให้ถูกต้อง เลือก Keyword ที่คนใช้ในการค้นหา App นั้นๆแบบเน้นๆ จากนั้นก็ทำการผลักให้ Keyword ที่เราเลือก มีอันดับสูงๆ ในการ Search ส่วนนี่แหละครับ ที่อาจจะแตกต่างกับการทำ SEO พอสมควร เพราะการทำ SEO เราจะต้องทำการสร้าง Back Links จากเว็บภายนอก ที่ค่อนข้างวุ่นวายและยุ่งยาก แต่ในขณะที่การทำ ASO จะดูปัจจัยต่างๆประมาณนี้ครับ
Keywords ใน App Title : แน่นอนครับถ้ามี Keyword อยู่ใน Title ของ App ก็มีโอกาสค้นเจอสูงขึ้น
จำนวนการ Download App : App ที่มีจำนวนการ Download สูง ย่อมมีโอกาสที่จะมีอันดับสูงกว่า App ที่มีจำนวนการ Download ต่ำ
Users Reviews : ถ้าคนรีวิว App ของเราเป็นไปทางด้านบวก App ของเราจะมีโอกาสทำอันดับได้สูงกว่า App ที่มีคนรีวิวไปทางด้านลบ
แน่นอนครับยังมีปัจจัยยิบย่อยอื่นๆอีก และพัฒนาเพิ่มเติมเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุด
2.Asset Optimization (AO)เป็นอีกส่วน หนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กับส่วนแรก หลังจากที่คนค้นหา App ของเราเจอแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่เจอแล้วกลับไม่ยอมคลิกโหลด แต่แค่อ่านผ่านๆ เสร็จแล้วกด back เพื่อดู App อื่นต่อ
ดังนั้นเราจึงต้องทำการ Optmize เพื่อให้คนตัดสินใจโหลดได้ง่ายขึ้น อันได้แก่
ไอคอนของ App: ที่ออกแบบสวยงามน่าดึงดูด
VDO หรือ Preview Screenshot : ที่ดูแล้วน่าสนใจ เห็นแล้วน่าใช้ น่าเล่น
การเขียน Copy เพื่ออธิบาย App รวมถึงการใช้งาน ที่อ่านแล้วชักจูงให้คนรู้สึกว่า พลาดไม่ได้จริงๆ App ตัวนี้
การพยายาม Update App ให้ดูใหม่อยู่เสมอ
งานพวกนี้ สำหรับนักทำ ASO มืออาชีพ บางครั้งทำการปรับจูนเล็กๆ น้อยๆ สามารถเพิ่มเปอร์เซ็นต์ การ Download App มากขึ้นถึง 300-400 % เลยทีเดียว หลายครั้งที่บรรดานักพัฒนา Mobile App ทุ่มเทแรงกาย แรงใจผลิต App ขึ้นมา แต่กลับมองข้ามความสำคัญของ ASO ไป จึงทำให้คนโหลด App มีจำนวนไม่มากอย่างที่คาดหวัง
ดังนั้นสำหรับพวกเรานักการตลาดทุกคนที่มีแผนที่จะทำ Mobile App ในครั้งต่อไป อย่าลืมแกล้งนักพัฒนา App ด้วยนะครับ
"อย่าลืมทำ ASO ให้พี่ด้วยน่ะ" ดูสิว่านักพัฒนา จะทำหน้ามึนไหม
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/634656#sthash.GkbI0P1G.dpufขอมาพูดศัพท์ใหม่ ให้บรรดานักการตลาด หรือ นักดิจิทัลทั้งหลายได้มึนกันเล่น
พวกเราคงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับ "ศัพท์ดิจิทัล" เช่น SEO (Search Engine Optimization) หรือ SEM (Search Engine Marketing)
แต่ถ้าผมเอ่ยถึงคำว่า ASO ชื่อว่า นักการตลาดหลายท่านอาจจะไม่รู้จัก หรือ อาจจะไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ
“ASO” มันย่อมาจาก App Store Optimization มันคือ Process ของการทำให้ Mobile Application ที่เราพัฒนาขึ้นมา ติดอยู่ใน App Store อันดับต้นๆ ใน Keyword ที่เราต้องการ ยิ่งเราอยู่อันดับสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสถูกโหลดมากขึ้นเท่านั้น
App Store ในที่นี้ หมายถึงทั้ง iTunes ของ Apple และ Play Store ของ Google
วิธีการทำ ASO จริงๆ จะว่าไปแล้ว ก็มี Process ที่คล้ายๆกับการทำ SEO แต่ว่ามีขั้นตอนและวิธีการทำที่ง่ายกว่ามาก เพราะว่ามันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ตั้งไข่ ขบวนการคิด หรือขบวนการ การคำนวณอันดับ ยังไม่ได้สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เหมือนกับSEO ที่ Google ได้พัฒนามาแล้วหลายสิบปีแล้ว
วันนี้เลยขอแนะนำทิปเล็กๆ ในการทำ ASO แบบง่ายๆ ให้ทุกคนได้ฟังกัน การทำ App Store Optimization แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
1.Keyword Optimization (KWO) ส่วนงานนี้ ได้แต่การเลือก Keywords ให้ถูกต้อง เลือก Keyword ที่คนใช้ในการค้นหา App นั้นๆแบบเน้นๆ จากนั้นก็ทำการผลักให้ Keyword ที่เราเลือก มีอันดับสูงๆ ในการ Search ส่วนนี่แหละครับ ที่อาจจะแตกต่างกับการทำ SEO พอสมควร เพราะการทำ SEO เราจะต้องทำการสร้าง Back Links จากเว็บภายนอก ที่ค่อนข้างวุ่นวายและยุ่งยาก แต่ในขณะที่การทำ ASO จะดูปัจจัยต่างๆประมาณนี้ครับ
Keywords ใน App Title : แน่นอนครับถ้ามี Keyword อยู่ใน Title ของ App ก็มีโอกาสค้นเจอสูงขึ้น
จำนวนการ Download App : App ที่มีจำนวนการ Download สูง ย่อมมีโอกาสที่จะมีอันดับสูงกว่า App ที่มีจำนวนการ Download ต่ำ
Users Reviews : ถ้าคนรีวิว App ของเราเป็นไปทางด้านบวก App ของเราจะมีโอกาสทำอันดับได้สูงกว่า App ที่มีคนรีวิวไปทางด้านลบ
แน่นอนครับยังมีปัจจัยยิบย่อยอื่นๆอีก และพัฒนาเพิ่มเติมเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุด
2.Asset Optimization (AO)เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กับส่วนแรก หลังจากที่คนค้นหา App ของเราเจอแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่เจอแล้วกลับไม่ยอมคลิกโหลด แต่แค่อ่านผ่านๆ เสร็จแล้วกด back เพื่อดู App อื่นต่อ
ดังนั้นเราจึงต้องทำการ Optmize เพื่อให้คนตัดสินใจโหลดได้ง่ายขึ้น อันได้แก่
ไอคอนของ App: ที่ออกแบบสวยงามน่าดึงดูด
VDO หรือ Preview Screenshot : ที่ดูแล้วน่าสนใจ เห็นแล้วน่าใช้ น่าเล่น
การเขียน Copy เพื่ออธิบาย App รวมถึงการใช้งาน ที่อ่านแล้วชักจูงให้คนรู้สึกว่า พลาดไม่ได้จริงๆ App ตัวนี้
การพยายาม Update App ให้ดูใหม่อยู่เสมอ
งานพวกนี้ สำหรับนักทำ ASO มืออาชีพ บางครั้งทำการปรับจูนเล็กๆ น้อยๆ สามารถเพิ่มเปอร์เซ็นต์ การ Download App มากขึ้นถึง 300-400 % เลยทีเดียว หลายครั้งที่บรรดานักพัฒนา Mobile App ทุ่มเทแรงกาย แรงใจผลิต App ขึ้นมา แต่กลับมองข้ามความสำคัญของ ASO ไป จึงทำให้คนโหลด App มีจำนวนไม่มากอย่างที่คาดหวัง
ดังนั้นสำหรับพวกเรานักการตลาดทุกคนที่มีแผนที่จะทำ Mobile App ในครั้งต่อไป อย่าลืมแกล้งนักพัฒนา App ด้วยนะครับ
"อย่าลืมทำ ASO ให้พี่ด้วยน่ะ" ดูสิว่านักพัฒนา จะทำหน้ามึนไหม
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน