จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ พินิจ พิเคราะห์ โดย กิติชัย เตชะงามเลิศ
ฉบับที่แล้วผมพูดถึงเรื่องหุ้น IPO กันไปแล้ว คราวนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องหุ้น PP (Private Placement) และหุ้น RO (Right Offering) กันครับ จริง ๆ แล้วหุ้นที่บริษัทจดทะเบียนขายหุ้นเพิ่มทุนในลักษณะ PP มีมานานแล้ว แต่มาฮือฮากันมาก ๆ ก็ในช่วงหลัง ๆ นี้ เพราะว่ามีการขายหุ้น PP ให้แก่ผู้ถือหุ้นใหม่ในลักษณะเฉพาะเจาะจงในราคาที่ต่ำกว่าราคาในตลาดเป็นอย่างมาก
จนผมเองก็รู้สึกว่าน่าเกลียดเกินไป สมมุติว่าหุ้นบริษัทหนึ่งราคาตลาดอยู่ที่ 9-10 บาท วันร้ายคืนร้ายประกาศขายหุ้น PP ให้แก่กลุ่มบุคคลในวงจำกัด ราคาหุ้นละ 0.50 บาท อย่างนี้ก็วงแตกสิครับ นักลงทุนรายย่อยที่โชคร้ายถือหุ้นบริษัทนี้อยู่ก็ "หงายเก๋ง" เลย ราคาก็ตกระเนระนาดเป็นแน่ อาจจะลงไปเหลือ 2-3 บาทเลยทีเดียว จากสถิติในปี 2557 พบว่ามีจำนวน 27 บริษัท ที่มีการขายพีพีถึง 49 ครั้ง และมี 13 บริษัทที่เพิ่มทุนเกิน 1 ครั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 73% ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯเริ่มให้ความสนใจในเรื่องนี้พอสมควร เห็นจากการที่ทำ PUBLIC HEARING เพื่อส่งให้ ก.ล.ต.พิจารณาตัดสิน บจ.
ผมมีความเห็นอยากเสนอว่า บริษัทที่จะออก PP ให้ราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (โดยใช้ราคาถัวเฉลี่ยย้อนหลัง 1-3 เดือน) เกินกว่า 10% ขึ้นไป บริษัทเหล่านี้ต้องแจ้งเหตุผลและตัวเลขผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการที่กลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้นPP เข้ามาถือหุ้น ต่อผู้ถือหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯและ ก.ล.ต.
การขายหุ้น PP ให้กับนักลงทุนกลุ่มนี้ และจะต้องมีการว่าจ้างที่ปรึกษาการเงินอิสระให้ความเห็นเกี่ยวกับการเพิ่มทุนครั้งนั้น รวมทั้งกรรมการอิสระทุกท่านต้องส่งความคิดเห็นของตนให้กับผู้ถือหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯและ ก.ล.ต. เพราะว่าชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นกรรมการอิสระ ดังนั้นควรจะให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับบริษัท มิใช่กลุ่มผู้ถือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กรรมการอิสระเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนรายย่อยอยู่แล้ว
ดังนั้นควรจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด และควรจะมี Silent Period ในกรณีแบบนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเทขายทำกำไรหลังจากที่หุ้น PP เหล่านี้เข้าเป็นหุ้นจดทะเบียนในตลาด ซึ่งจะสร้างความเสียหายแก่นักลงทุนรายย่อยได้เป็นอย่างมาก รวมถึงการกำหนดสัดส่วนของหุ้น PP ว่าไม่ควรจะเกิน 10% ของทุนจดทะเบียนก่อนเพิ่มทุน มิฉะนั้นนอกจาก Dilution Effect ที่จะเกิดขึ้นหลังราคาหุ้น PP ที่ตั้งไว้ราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก ๆ ก็จะกลายเป็นหอกคอยทิ่มแทงนักลงทุนรายย่อยอย่างแสนสาหัส โดยผมขอสรุปไว้เป็นข้อ ๆ ดังนี้ คือ
1.หุ้น PP ที่ออก ถ้าราคาต่ำกว่าราคาตลาดไม่เกิน 10% ขึ้นไป สามารถออกขายได้ไม่เกิน 30% ของทุนจดทะเบียน แต่ถ้าราคาต่ำกว่าราคาตลาดเกิน 10% ขึ้นไป จะไม่สามารถออกขายเกิน 10% ของทุนจดทะเบียนก่อนเพิ่มทุน
2.การออกหุ้น PP ทุกครั้ง ที่มีการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10% กรรมการอิสระทุกท่านต้องส่งความเห็นไปยังผู้ถือหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. รวมทั้งบริษัทต้องว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินอิสระมาวิเคราะห์และส่งความเห็นให้กับผู้ถือหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการขาย PP ครั้งนั้น ๆ
3.ผู้บริหารของบริษัทที่จะขาย PP ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10% จะต้องชี้แจงเหตุผลและตัวเลขผลประโยชน์ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับ จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเฉพาะเจาะจงที่จะได้รับการจัดสรรหุ้น PP ครั้งนั้น ๆ
4.กำหนด Silent Period ดังนี้ กรณีที่ 1.ราคาหุ้น PP ต่ำกว่าราคาตลาดน้อยกว่า 10% ไม่มี Silent Period กรณีที่ 2.ราคาหุ้น PP ต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10% แต่ไม่เกิน 30% ให้มี Silent Period ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน กรณีที่ 3.ราคาหุ้น PP ต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 30% แต่ไม่เกิน 50% ให้มี Silent Period ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และกรณีที่ 4.ราคาหุ้น PP ต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 50% ขึ้นไป ให้มี Silent ไม่ต่ำกว่า 12 เดือน
เพราะว่าถ้ากลุ่มผู้ถือหุ้นเฉพาะเจาะจงที่ได้รับการจัดสรร PP ในราคาต่ำ ๆ นั่นหมายถึง บริษัทมองแล้วว่าผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่นี้ น่าจะยังประโยชน์ให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี ก็จะส่งผลให้กับบริษัทได้มีกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้น กลุ่มผู้จองหุ้น PP ก็จะขายได้กำไรดีขึ้นในระยะยาวไปด้วย อย่างนี้สิถึงจะเป็น Win Win Win ถึงได้ประโยชน์ทั้งบริษัท กลุ่มผู้จองหุ้น PP และผู้ถือหุ้นรายย่อย
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน