สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

สิ่งที่ยากจะหยั่งรู้

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ คิดวิเคราะห์แยกแยะ โดย ชาย มโนภาส (คนขายของ)

"อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ" เป็นคำพูดที่ Warren Buffett ได้กล่าวไว้ แต่ทุกวันนี้นักลงทุนหลายท่านต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า สิ่งที่ไม่มีความชัดเจนและยากจะคาดเดานั้นปกติมีความผันผวนสูง จึงทำให้นักลงทุนบางกลุ่มคาดหวังว่าจะสามารถทำกำไรได้จากความผันผวนนั้น แต่หากเราศึกษาการคาดเดาของผู้รู้ หรือกูรูที่อยู่ในธุรกิจนั้น ๆ ในอดีตเราจะพบว่าการทำนายราคาในอนาคต มีความคลาดเคลื่อนอยู่หลายครั้ง ในบทความนี้ผมจะขอยกเรื่องราคาน้ำมันมาเป็นตัวอย่าง เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีความผันผวนสูง ยากแก่การคาดเดา แต่การคาดเดาราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่มีให้เห็นอยู่เสมอ

ในปี 2008 หลังจากที่ราคาน้ำมันซึ่งเป็นขาขึ้นมาตลอดในปี 2007 ก็ได้ทะยานขึ้นต่อจากราคา 96 $ต่อบาร์เรล ในเดือนมกราคม ขึ้นมาถึง 140$ ในกลางปี ช่วงนั้น Jim Rogers ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้จุดประกายกระทิงในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเริ่มก่อตัวตั้งแต่ปี 2003 และอดีตเขายังเคยเป็นคู่หูของ "George Soros" ผู้ถล่มค่าเงินปอนด์ในตำนาน ได้ตอบคำถามของสื่อแห่งหนึ่งที่ถามเขาว่า "มีสถาบันการเงินแห่งหนึ่งคาดว่าน้ำมันจะขึ้นไปถึง 200$ ต่อบาร์เรล คุณเห็นด้วยไหม ?"

เขาตอบทันทีว่าเห็นด้วย เพราะโลกเราห่างหายจากการค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่มาเป็นเวลานาน แต่ภายหลังการให้สัมภาษณ์หกเดือน ราคาน้ำมันจาก 140$ ก็ได้หล่นลงมาราว 70% มาอยู่ที่ 39$ ตอนต้นปี 2009 ใกล้ปัจจุบันเข้ามาอีกนิด ในปี 2014 บริษัทไทยแห่งหนึ่งได้คาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปี 2014 ว่าจะอยู่ที่ 104 $ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ราคาน้ำมันในปีนั้นได้ตกลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา จนปิดปี 2014 ราคาน้ำมันเหลือเพียงราว 50$ ทำให้ราคาเฉลี่ยทั้งปีเหลือประมาณ 87$

ในปี 2015 หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล ได้ออกบทความ "What went wrong with oil-price forecast ?" อ้างถึงการสำรวจความเห็นเรื่องราคาน้ำมันกับสถาบันการเงินสิบแห่งว่า ราคาน้ำมันในไตรมาสสุดท้ายของปี 2015 น่าจะอยู่ที่เท่าไร ? การสำรวจทำในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ผลสำรวจออกมาว่า ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 50$ แต่ในความเป็นจริงราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ที่ต่ำกว่า 50$ เกือบทั้งไตรมาส

ต้นเดือนมีนาคม 2016 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เน้นการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ Blenheim Capital Management ว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากสินทรัพย์ที่บริหารอยู่ลดลงราว 85% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนอย่างมาก อีกทั้งมีผู้ถือหน่วยขอถอนเงินออก เนื่องจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ กองทุนนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนับตั้งแต่ปี 1987 ผู้บริหารมีประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญสูงมาก ในปี 2011 สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เคยอยู่สูงถึง 9.1 พันล้านเหรียญ บลูมเบิร์กให้เหตุผลการตกต่ำของกองทุนนี้ว่า เป็นเพราะผู้บริหารคาดการณ์ผิด ไม่คิดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะชะลอตัวลงขนาดนี้

จาก ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าการคาดเดาราคาน้ำมันหรือราคาสินค้า โภคภัณฑ์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากแม้แต่คนที่มีประสบการณ์ยาวนานแม้แต่บุคคล ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรม หรือแม้แต่นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงิน ล้วนเคยผิดพลาดในการคาดเดามาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นการลงทุนในสินโภคภัณฑ์หรือหุ้นที่เกี่ยวเนื่อง จึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับนักลงทุนรายบุคคล ซึ่งยังคงนั่งทำงานประจำ และงานประจำก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แต่เข้ามาลงทุนเพราะเห็นว่าตลาดนี้มีความผันผวนสูง ขึ้นลงเร็วและแรง จึงคิดว่าน่าเสี่ยงน่าลอง แต่กลับกลายเป็นว่านักลงทุนหลายคนต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างคาดไม่ถึง

การลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจทางด้านนี้จะมีการคาดเดากำไรได้ลำบาก เพราะราคาขายสินค้าจะขึ้นลงไปมาตลอด ยากที่จะคาดเดา ถ้าเราลองนึกถึงร้านข้าวขาหมูร้านหนึ่ง ซึ่งราคาขายเปลี่ยนไปทุกวัน วันจันทร์ขาย 30 บาท วันศุกร์เหลือ 20 บาท ที่สำคัญคือราคาขายนั้น เจ้าของร้านกำหนดเองไม่ได้ ขึ้นกับตลาดโลกเป็นหลัก เจ้าของร้านจะปวดหัวขนาดไหน และจะต้องเก่งขนาดไหนเพื่อที่จะอยู่รอดได้ในอนาคต ก็ขอฝากไว้ให้ลองคิดดู


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : สิ่งที่ยากจะหยั่งรู้

view