จากประชาชาติธุรกิจ
นานาทรรศนะเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...ซึ่งรัฐบาล คสช.ตั้งเป้าผลักดันให้มีการบังคับใช้ภายในต้นปี 2560 สาระสำคัญที่จะหยิบยกมาคุยกันวันนี้เป็นมุมมองจากโครงการบ้านพักตากอากาศ ทำเลเขาใหญ่
โดยมีแง่มุมรายจ่ายภาษี 2 ประเด็น 1.ที่อยู่อาศัยหลังแรก ราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้น หลังจากนั้น บ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป เริ่มจ่าย 0.03-0.3% หรือล้านละ 300-3,000 บาท กับ 2.หากนำที่อยู่อาศัยมาปล่อยเช่า รัฐจัดเก็บในประเภทพาณิชยกรรม อัตราภาษีเริ่มต้น 0.3-1.5% หรือล้านละ 3 พัน-1.5 หมื่นบาท
"พี่ช้าง-ยุทธนา ตันติยานนท์" ผู้อำนวยการอาวุโสโครงการแนวราบ บริษัท แมกโนเลีย จำกัด ชวนคุยแบบเอกซเรย์ทั้งภาพใหญ่ภาพเล็ก โดยภาพใหญ่มองว่า รัฐควรจัดเก็บภาษีตั้งแต่บ้านหลังแรก จุดเน้นคืออัตราจัดเก็บต้องไม่ให้เป็นภาระกับผู้จ่าย เหตุผลเพราะมองว่า การเก็บภาษีที่อยู่อาศัยบ้านหลังที่ 2 ถึงแม้จะเริ่มต้นล้านละ 300 บาท แต่ก็มีผลทางจิตวิทยาผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อแน่นอน
นอกจากนี้ สิ่งที่ประเมินอย่างเป็นห่วงยิ่งกว่าสำหรับกลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีการซื้อเพื่อลงทุน คำนวณภาระค่าใช้จ่ายต้องแบกรับเรื่อง "ดอกเบี้ย+ค่าส่วนกลาง" อยู่แล้ว ถ้ามีภาษีที่ดินฯเข้ามาเติมอีกก็จะเป็นรายจ่ายประจำตัวที่ 3 ที่งอกขึ้นมา
กรณีตัวอย่าง บ้านตากอากาศราคาหลังละ 15 ล้านบาท มีฐานภาษีบ้านหลังที่ 2 อยู่ที่ 0.1% หรือล้านละ 1,000 บาท ดังนั้น ราคาอสังหาฯ 15 ล้านบาท เท่ากับต้องจ่ายภาษีปีละ 1.5 หมื่นบาท+ค่าส่วนกลาง เฉลี่ยเดือนละ 4,000-5,000 บาท หรือปีละ 48,000-60,000 บาท ยังไม่คำนวณดอกเบี้ยเงินกู้อีกต่างหาก จึงมีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าจะทำให้ผู้ซื้อคิดหนัก เพราะคอนเซ็ปต์ก็บอกอยู่แล้วว่าซื้อเป็นบ้านตากอากาศ นาน ๆ ครั้งจึงจะแวะมาพักผ่อน ไม่ได้อยู่ประจำทุกวัน
ยิ่งถ้าหากนำบ้านตากอากาศมาปล่อยเช่ายิ่งไปกันใหญ่ เพราะรัฐจัดเก็บเริ่มต้นก็ล้านละ 3,000 บาทแล้ว หนักกว่าฐานภาษีบ้านหลังที่ 2 เสียอีก
"มีโอกาสที่ผู้ซื้อจะชั่งน้ำหนัก การซื้อบ้านตากอากาศทางนิติบุคคลเรียกเก็บเงินค่าพื้นที่ส่วนกลางอยู่แล้ว รัฐบาลจะเก็บภาษีที่ดินฯอีก อาจจะรู้สึกว่าจ่ายภาษีแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา..."
ในมุมของผู้ประกอบการอสังหาฯ ผลกระทบด้านบวกมีให้เห็นบ้างจากโอกาสที่เจ้าของที่ดินจะยอมปล่อยขาย "ที่ดินเปล่า" ออกมามากขึ้น เพราะฐานภาษีรัฐบาลเก็บหนักมาก เริ่มต้นล้านละ 1-3 หมื่นบาท ซึ่งทำเลใจกลางเมืองราคาปาเข้าไปตารางวาละ 5 แสน-1 ล้านบาท เฉลี่ยต้องจ่ายปีละ 2 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
"พี่ช้าง-ยุทธนา" ฝากข้อเสนอแนะมายังรัฐบาลด้วยว่า แนวคิดในการเก็บภาษีที่ดินฯ น่าจะหยิบยืมการจ่ายภาษีรถยนต์มาใช้ โดยคิดราคาเหมาจ่ายตามกระบอกสูบที่คำนวณออกมาเป็นซีซี อัตราภาษีเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 บาท ผู้บริโภคควักจ่ายได้โดยไม่รู้สึกอะไรมากนัก
"กระจายการจัดเก็บภาษีที่ดินทุกครัวเรือน แต่ปีละไม่เยอะ ในภาพรวมรายได้อาจมากกว่าด้วยซ้ำไป" ข้อเสนอแนะของผู้บริหารแมกโนเลียกล่าว
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
