จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ประยุทธ์" สั่ง "ม.44" ยืดเวลาชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อความเป็นธรรมแก่นักลงทุน
วานนี้ (31ก.ค.) ราชกิจจานุเบกษา หน้า ๑ เล่ม ๑๓๓ ตอนพิเศษ ๑๖๙ ง ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙
คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๕/๒๕๕๙ เรื่อง การขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร เพื่อความเป็นธรรมแก่นักลงทุน
โดยที่การส่งเสริมการลงทุนในประเทศเป็นนโยบายสําคัญของทุกรัฐบาลตลอดมาดังที่มี
การประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ จัดตั้งสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริม
การลงทุน และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อพิจารณามาตรการอํานวยความสะดวก
การให้สิทธิประโยชน์ และสิ่งจูงใจต่าง ๆ แก่นักลงทุนตามมาตรฐานในนานาประเทศ จนสามารถ
ให้ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน เพิ่มรายได้ ก่อให้เกิดการจ้างงาน การใช้ทรัพยากรในประเทศ
การถ่ายทอดเทคโนโลยี และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ
และในความเข้าใจข้อกฎหมายของหน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนในบางครั้ง
อาจแตกต่างจากหน่วยงานตามกฎหมายอื่น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องได้ประสานและหาทางแก้ปัญหาเพื่อสร้าง
ความรับรู้ ความเข้าใจ และวางแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมอยู่แล้ว
ความเข้าใจแตกต่างที่มีนัยสําคัญประการหนึ่งคือปัญหาการคํานวณกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
ของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนว่าในกรณีประกอบกิจการขาดทุนจะมีวิธีการคํานวณภาษีเงินได้
นิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนอย่างไร หากถือตามความเข้าใจและแนวปฏิบัติของสํานักงาน
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคําพิพากษา
ศาลภาษีอากรกลาง วิธีการคํานวณจะแตกต่างจากคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรและ
ประกาศกรมสรรพากร ซึ่งต่อมาได้มีคําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๓๔๕/๒๕๕๘ อ่านคําพิพากษาเมื่อวันที่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วินิจฉัยให้การคํานวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนต้องอยู่
ภายใต้บังคับของประมวลรัษฎากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรคํานวณ ข้อนี้เท่ากับว่านิติบุคคล
ดังกล่าวต้องชําระภาษีให้ถูกต้อง แต่โดยที่ล่วงเลยระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษี
ตามที่กฎหมายกําหนด จึงเป็นเหตุให้นิติบุคคลเหล่านั้นต้องชําระเงินเพิ่มและเบี้ยปรับอีกส่วนหนึ่ง
ตามมาตรา ๓ อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
มี อํานาจขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการชําระภาษีเงินได้และขยายกําหนดเวลาการยื่นคําร้องขอคืนภาษีอากรได้ตามความจําเป็น
ซึ่งต่อมาได้มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ อนุมัติให้ขยายกําหนดเวลาดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนด
จนถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ อันมีผลทําให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม หากได้ชําระเบี้ยปรับ
และ เงินเพิ่มไว้แล้วก็ให้ขยายกําหนดเวลาการยื่นคําร้องขอคืนเบี้ยปรับและเงิน เพิ่มออกไปเป็นภายในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ เช่นกัน
โดยระบุเหตุผลไว้ในประกาศดังกล่าวว่า การขยายกําหนดเวลาเช่นนี้
“เนื่องมาจากการปฏิบัติตามแนววินิจฉัยอันมีความคลาดเคลื่อนจากหน่วยงานราชการอื่นโดยมิได้มีเจตนา
ที่จะหลีกเลี่ยงการเสียภาษี” แต่โดยที่ประกาศดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงบางกรณีซึ่งแม้อยู่ในบังคับ
เหตุผลอย่างเดียวกัน แต่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขบางข้อในประกาศฉบับนั้น จึงสมควร
วาง หลักเกณฑ์การขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม ประมวลรัษฎากรเสียใหม่
ให้เกิดความเป็นธรรมตามนัยแห่งเหตุผลเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการรักษาบรรยากาศการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
โดยถือว่ากรณีนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายยังคงต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาศาลฎีกา
แต่การจะชําระเมื่อใดและภายใต้หลักเกณฑ์ใดเป็นเรื่องของการบังคับคดีและวิธีปฏิบัติ ซึ่งมาตรา ๓ อัฏฐวรรคสอง ให้เป็นอํานาจของฝ่ายบริหาร
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)
พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้
“ประกาศกระทรวงการคลัง” หมายความว่า ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายกําหนดเวลา
การยื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙
ข้อ ๒ ให้ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามนัยแห่งประกาศ
กระทรวงการคลัง ออกไปจนถึงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ อันมีผลทําให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคลนั้นไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม และให้ขยายกําหนดเวลาการยื่นคําร้องขอคืนเบี้ยปรับหรือ
เงินเพิ่มออกไปเป็นภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ด้วยเช่นกัน
การขยายกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่งเป็นการใช้อํานาจแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ตามข้อ ๒ ของประกาศกระทรวงการคลัง ซึ่งอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๓ อัฏฐ วรรคสอง
แห่งประมวลรัษฎากรโดยอนุโลม และให้ใช้กับนิติบุคคลที่ยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้
นิติบุคคลไว้ไม่ถูกต้องอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตามแนววินิจฉัยของหน่วยงานราชการอื่นโดยมิได้มีเจตนา
ที่จะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีตามเงื่อนไขในข้อ ๓ ของประกาศกระทรวงการคลัง และให้รวมถึงนิติบุคคล
ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ไม่ถูกต้องแต่ได้มีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ต้อง
ชําระภาษีให้ถูกต้องก่อนวันที่มีประกาศกระทรวงการคลังแล้วด้วย
ข้อ ๓ ให้กระทรวงการคลังและสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนซักซ้อมความเข้าใจ
เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและอยู่ในอํานาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายให้เกิดความชัดเจน
แล้วอธิบายหรือชี้แจงให้นักลงทุนทราบโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้กับบรรดาหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้วย เพื่อให้เกิด
ความสะดวกในการทําธุรกิจและการลงทุน ความเป็นธรรม และการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
ข้อ ๔ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน