จากประชาชาติธุรกิจ
"บุณยสิทธิ์" ประธานเครือสหพัฒน์ น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงพนักงาน ประเมินธุรกิจปลายปีจับจ่ายดีดกลับดีต่อเนื่องจนถึงต้นปีหน้า เชื่อคนกล้าจ่ายเงินมากขึ้น มั่นใจ "บิ๊กตู่" อัดฉีดเงินลงหมู่บ้านได้ผล ประชารัฐ สตาร์ตอัพ เอสเอ็มอี ดิจิทัล จะพลิกโฉมธุรกิจไทย จับตารัฐธรรมนูญใหม่ จุดเปลี่ยนประเทศ
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงกำลังซื้อและสัญญาณการใช้จ่ายบริโภคภาคประชาชน ในช่วง 40 กว่าวันที่เหลือของปี 2559 เครือสหพัฒน์ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เป็นแกนนำในการช่วยพยุงให้เศรษฐกิจส่วนรวม เห็นว่า ช่วง 1-2 เดือนนี้ เป็นช่วงที่ตัวเลขการขายคึกคักมากที่สุด เทียบกันไม่ได้กับช่วงเดียวกันของปีก่อน
คนกล้าใช้เงินสินค้ายอดขายพุ่ง
"นอกจากประชาชนจะแห่เข้าห้างสรรพสินค้า ซื้อเครื่องแต่งกายชุดดำแล้ว ยังมีการซื้อสินค้าชนิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นด้วย เลยมีความคิดว่า จากนี้ไปน่าจะทำให้คนอยากจับจ่ายใช้สอย และมีความกล้าในการใช้เงินมากขึ้น"
ประธานเครือสหพัฒน์ ประเมินว่า สินค้าคอนซูเมอร์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน ของที่จำเป็นต้องใช้ ที่ผ่านมายอดขายไม่ตกเลย แม้ว่าหัวใจของกำลังซื้อสำคัญในต่างจังหวัดจะลดน้อยลงตามราคาสินค้าเกษตรที่ตกลง แต่สินค้าของเครือ โดยเฉพาะของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่แพง และเป็นของจำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผงซักฟอก มาม่า พวกนี้ไม่ตกเลย มีแต่ขึ้น
แบรนด์เนมซบเงินสีเทาหาย
นายบุณยสิทธิ์ยอมรับว่า สินค้าในห้างสรรพสินค้า บางรายการยอดขายอาจจะตกบ้าง เช่นพวกสินค้าอิมพอร์ต สินค้าแบรนด์เนม พวกลักเซอรี่ ยอดขายซบเซามา 3-4 ปี
"ยิ่งหลังจากรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา ตัวเลขยอดขายตามห้างไม่ค่อยขึ้น ผมมานั่งวิเคราะห์ เป็นเพราะว่า ยุครัฐบาลเก่า ๆ มีเงินสีเทาเยอะ พอเงินสีเทามาปั๊บคนที่ได้เงินมาก็จะรีบกระจายลงไปทำให้ห้างขายดี รถยนต์ขายดี บ้านช่องขายดี ก็เพราะเงินพวกนี้ที่มาช่วยกระตุ้นอยู่ แต่พอหลังจากมีการเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลนี้ เงินพวกสีเทาหายหมดเลย จึงทำให้ซบเซาไปเยอะ"
เมื่อถามว่า ในแง่พ่อค้าน่าจะพอใจถ้าได้เงิน ไม่ว่าเงินนั้นจะสีเทาหรือสีอื่น นายบุณยสิทธิ์แย้งว่า "พ่อค้าก็มีหลายแบบ มีค้าขายแบบโน้น ค้าขายแบบนี้ ไม่เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วพ่อค้าโดยทั่วไป อยากให้นิ่ง แล้วค่อย ๆ สเตดดี้ (Steady มั่นคง สม่ำเสมอ) ขึ้นไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ขึ้นไป พ่อค้าเราชอบ แต่ขึ้นแล้วลง ขึ้นแล้วลง อย่างนี้อันตราย"
ประธานกลุ่มสหพัฒน์มั่นใจว่า ในช่วงเวลา 40 กว่าวัน จนถึงสิ้นปี 2559 การจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มสินค้าเพื่อการบริโภคอุปโภค จะไม่มีข้อน่ากังวล รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจส่วนรวมก็จะขยายตัวได้ เพราะลูกค้ากล้าซื้อของมากขึ้น ความเชื่อนี่มาจากผลของการจัดรายการขายสินค้าที่ ศรีราชา จ.ชลบุรี ช่วงที่ผ่านมา ยอดขายดีมาก ไม่ฝืดเหมือน 2-3 ปีก่อน
แรงซื้อท้ายปีดัน ศก.ปี′60 ทะยาน
"ด้วยแรงส่งจากการใช้จ่ายของประชาชน ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ จะเป็นแรงส่งให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า 2560 ขยายตัวไปได้"
ส่วนปัจจัยด้านการส่งออก ภาพรวมของประเทศที่ยังติดลบอยู่นั้น นายบุณยสิทธิ์วิเคราะห์ว่า "ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยน และคู่แข่งจากต่างประเทศ ซึ่งในเวลานี้อัตราการส่งออกทั้งยุโรป อเมริกา ไม่ค่อยดี จะดีก็มีในแถบอาเซียนของเราเองที่ดีขึ้น และเมืองจีน"
สำหรับมาตรการของรัฐบาล ที่กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่หมู่บ้าน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อนั้น ประธานเครือสหพัฒน์ บอกว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง "ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐบาลนี้อัดฉีดเงินลงไปข้างล่าง ที่ผ่านมา เมื่อเงินสีเทาซึ่งเป็นเอ็นจิ้น (Engine) ตัวหนึ่ง สำหรับธุรกิจในเมืองไทย มันเสียไป หายไป เราก็ต้องสร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวอื่นมาทดแทน ด้วยการฉีดเงินลงไปข้างล่างให้มากที่สุด ต้องพลังการจับจ่ายจากล่างขึ้นไป"
นายบุณยสิทธิ์เชื่อว่า การอัดฉีดเม็ดเงินลงไปโครงการหมู่บ้าน 3 ครั้ง ครั้งละ 5 แสนบาทในช่วงแรก และ 2 แสนบาทในช่วงถัดมา และล่าสุดหมู่ล้านละ 2.5 แสนบาท จะช่วยให้โครงสร้างเศรษฐกิจระดับฐานรากแข็งแรงขึ้น
ประชารัฐ สตาร์ตอัพพลิกโฉมธุรกิจ
ประธานเครือสหพัฒน์กล่าวด้วยว่า ปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2560 ขับเคลื่อนไปได้อย่างแข็งแรง คือ มาตรการของรัฐบาลที่ให้หันมาเน้นเรื่องความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน ประชาชน ในโครงการประชารัฐ และโครงการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่หรือสตาร์ตอัพ กลุ่มเอสเอ็มอีและเศรษฐกิจดิจิทัล เหล่านี้หากทำสำเร็จ จะทำให้เมืองไทยพลิกโฉมหน้าใหม่อีกครั้ง
"การชูหรือให้ความสำคัญกับ 4 เรื่องนี้ ถูกต้องเลย จะเป็นปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ทำให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น พวกสตาร์ตอัพ ไลฟ์เซอร์เคิล (Life Circle) มันไม่ยาว มันสั้น มันขึ้นเร็วลงเร็ว ดังนั้น ตัวนี้คนไทยเราจะต้องเรียนรู้ ถ้าช้า ประเทศอื่นเขาเอาไปกินหมด เมื่อเรียนรู้แล้วก็ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แนวคิดของคนไทย ไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องดิจิทัล ซึ่งเป็นเรื่องใหม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่สำคัญรัฐบาลจะต้องให้การส่งเสริม"
รธน.ใหม่จุดเปลี่ยนประเทศไทย
นายบุณยสิทธิ์กล่าวถึงโรดแมปประเทศไทยว่า"ต้องจับตาดูเรื่องรัฐธรรมนูญอีกทีว่ารัฐธรรมนูญที่ออกมาเป็นแบบไหนถ้าสามารถคอนโทรลนักการเมือง และมีนักการเมืองที่มือสะอาด ๆ เข้ามา ประเทศชาติก็จะเจริญ การเปลี่ยนรัฐบาลก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเปลี่ยนออกมาอีกทีเป็นแบบสมัยเก่า จะอันตราย แต่ก็คิดว่าคงจะไม่ไปสู่จุดเดิมอีก"
"รัฐธรรมนูญ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ถ้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เมืองไทยจะเป็นฮับของอาเซียน อาจจะแซงหน้าสิงคโปร์ แข่งกับอินโดนีเซีย เราเป็นเมืองพุทธ และคนไทยรักในหลวง ซึ่งยังมีพาวเวอร์ตรงนี้อยู่ ในแง่ของการลงทุน เมืองไทย ถ้าดี ๆ เชื่อว่ากินขาด"
นายบุณยสิทธิ์เชื่อมั่นว่า "นับจากนี้ไปประเทศจะไม่มีความวุ่นวาย ทุกคนให้ถวายความเคารพนับถือในหลวง ตลาดหุ้นก็กลับมาปกติ รัฐบาลสามารถคอนโทรลสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อันนี้ต้องชมว่าอันนี้รัฐบาลเขาทำเก่ง วันนี้บ้านเราผ่านความไม่แน่นอนมาแล้ว ผมคิดว่า จากนี้ไป ถ้าเราคุมดี ๆ นักลงทุนต่างประเทศจะกล้าเข้ามา"
น้อมนำ ศก.พอเพียงเลี้ยงบริษัท
ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงการน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจนั้นว่า "คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง คำนี้ใช้ได้ตลอดเลย เพราะเครือบริษัทเราไม่ได้ฟุ่มเฟือย เศรษฐกิจพอเพียงหมายความว่าเราทำเพื่อชีวิตให้มันอยู่สบาย อยู่ดี ไม่ใช่หากรรมมาใส่ตัว บางคนทำธุรกิจ ยิ่งทำยิ่งกลุ้มใจ ไม่มีความสุขเลย แต่ทำธุรกิจเล็ก ๆ แต่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาอันนี้สำคัญ"
"กลุ่มบริษัทของเราพยายามอย่าให้เว่อร์ไป ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ถึงช่วงนี้เราพอเพียงเท่านี้ ไม่ใช่ว่าจะโกยมาอย่างนี้ไม่เอา เราก็ลงทุนแต่พอตัว ขอให้อยู่รอดแล้วก็เลี้ยงพนักงานได้หลาย ๆ คน การที่พนักงานเยอะก็เป็นภาระของผู้บริหารแต่ก็ใช้หลักให้อยู่ร่วมกันได้"
แผนลงทุนเน้นอาหาร-โลจิสติกส์
สำหรับแผนการลงทุนในระยะต่อไปของเครือสหพัฒน์นั้น จะเน้นเรื่องอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง "เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ ตอนนี้คนฉลาดขึ้น เอ็นจอย (Enjoy) เรื่องอาหารมากขึ้น ธุรกิจอาหารก็รุ่งเรือง อย่างพวกเกาหลี ญี่ปุ่น ประชากรที่มีรายได้หนึ่งพันเหรียญขึ้นไป ก็จะสนใจเรื่องโทรทัศน์ รายได้สองพันเหรียญจะสนใจเรื่องรถยนต์ ขั้นต่อไปเป็นขั้นที่สนใจเรื่องอาหาร สุขภาพ เรื่องอร่อย"
"เราก็มีร้านอาหารร่วมทุนกับญี่ปุ่น เช่น ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ผลิตมาม่าร่วมกับร้านอาหารโคราคุเอ็น หรือเพรซิเดนท์เบเกอรี่ (ผลิตฟาร์มเฮ้าส์) ร่วมซาโบเต็น เรื่องอาหารเราทำตั้งแต่ 40 ปีก่อนแล้ว เช่นร้านฟูจีย่า ร้านกินซ่าไลอ้อน ญี่ปุ่นเขาเจริญเร็วกว่าเรา เรื่องอุตสาหกรรม เราได้เรียนรู้จากพวกที่เจริญกว่าเรา มันจะไม่เหนื่อย"
นอกจากนี้เครือสหพัฒน์ยังได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อดำเนินกิจการขนส่งโลจิสติกส์ เพื่อมุ่งเน้นเสริมอุตสาหกรรมเซอร์วิส การขายปลีก อุตสาหกรรมอาหาร เพื่อมาทดแทนกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตแบบเก่า
"เรื่องโลจิสติกส์ เครือสหพัฒน์เรามีบริษัทขนส่ง ชื่อ เส.นอร์สห โลจิสติกส์ ร่วมทุนกับบริษัทเซโน โฮลดิ้งส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ของญี่ปุ่น ตอนนี้ไทยอยู่ในกลุ่มเออีซี เรื่องโลจิสติกส์จึงสำคัญ"
ยังบุกเมียนมา-มาเลเซีย
ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงการลงทุนในเมียนมา ว่าเข้าไปเพื่อขยายกิจการ นำความเชี่ยวชาญของบริษัทไปลงทุน และจับมือกับมาเลเซียเพื่อทำธุรกิจทัวร์ท่องเที่ยว ซึ่งบริษัทในมาเลเซียได้เชิญชวนร่วมทุน ซึ่งบริษัทที่ไปร่วมทุนด้วยมีความรู้และลูกค้าท่องเที่ยวกับจีน แล้วเชื่อมการค้าการท่องเที่ยวให้จีน ผ่านไทย ไปมาเลเซีย โดยจะร่วมมือกับบริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) แต่ไม่ได้ทำกิจการอะไรใหญ่โต โลว์โปรไฟล์ไว้ก่อน
เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ
บริษัทในเครือสหพัฒน์ ได้ลงทุนในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยเหตุผลเรื่องค่าแรงในการผลิตเสื้อผ้า จึงทดลองไปตั้งฐานการผลิตที่แม่สอดก่อน เพื่อเชื่อมกับเมียนมา ในอนาคต และจะดำเนินการต่อไป
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน