จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ทรัมป์จะปฏิรูปเศรษฐกิจสหรัฐสำเร็จหรือไม่ (1)
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์และประธานสภาผู้แทนราษฎรนาย พอลล์ ไรอัน ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ โดยถอนร่างกฎหมายประกันสุขภาพที่จะนำเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงคะแนนเสียงเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม เพราะเมื่อสอบถามวิปดูแล้วพบว่า คะแนนเสียงสนับสนุนมีไม่พอกึ่งหนึ่ง ทำให้ต้องดับฝันการล้มเลิกกฎหมายประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งนายทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ได้เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชนเอาไว้ ว่าเมือมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง ก็จะยกเลิกกฎหมาย Obamacare ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง
แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะยกเลิกการขับเคลื่อนกฎหมายดังกล่าว แต่ก็ยังทิ้งท้ายเอาไว้ว่าระบบประกันสุขภาพปัจจุบันจะ “ระเบิด” ตัวเอง (explode) ในเร็ววันนี้และเป็นความรับผิดชอบของพรรคเดโมแครทที่ไม่ได้เข้ามามีส่วนในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาประกันสุขภาพ แต่ผมคิดว่าการไปกล่าวโทษและให้พรรคเดโมแครทต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดของพรรครีพับลิกันนั้นคงจะเป็นไปได้ยากในเชิงการเมือง เพราะหากระบบประกันสุขภาพมีปัญหาเพิ่มขึ้นจริง การที่พรรครีพับลิกันจะโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับฝ่ายค้าน คงจะทำให้ประชาชนไม่พอใจอย่างมาก เพราะฝ่ายที่เป็นรัฐบาลย่อมจะต้องรับผิดชอบในการบริหารประเทศให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสำคัญยิ่ง เช่น เรื่องสุขภาพของประชาชน ซึ่งมีมูลค่าคิดเป็น 18% ของจีดีพีสหรัฐ
ประเด็นสำคัญที่ตามมาคือความล้มเหลวเรื่องประกันสุขภาพจะส่งผลกระทบต่อนโยบายการปฏิรูปภาษีและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทรัมป์ในเชิงบวกหรือลบมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจพยายามมองในเชิงบวกได้ว่าเมื่อจบเรื่องประกันสุขภาพไปอย่างฉับพลันแล้ว ก็จะทำให้สามารถขับเคลื่อนเรื่องภาษีและการลงทุนได้รวดเร็วขึ้น กล่าวคือนาย เควิน เบรดี ประธานคณะกรรมการ Ways and Means ของสภาผู้แทนราษฎรประกาศว่าจะสามารถนำเสนอร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานออกมาให้พิจารณาได้ภายในกลางปีนี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่คาดการณ์ว่าจะนำเสนอให้รัฐสภาลงมติได้ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้ ทั้งนี้นาย Mnuchin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่กล่าวว่าการลดภาษีและการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง จึงเป็นเรื่องที่ “ง่าย” กว่าการรื้อระบบประกันสุขภาพที่สำคัญคือ ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และนายไรแอนก็คงจะมีความมุ่งมั่นทำให้การปฏิรูประบบภาษีเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนลืมความล้มเหลวเรื่องประกันสุขภาพโดยเร็วที่สุด
ผมเชื่อว่าแม้ในช่วงแรกนักลงทุนจะขวัญเสียอยู่บ้าง แต่ก็คงจะยังมีความหวังและจะยัง “รอ” นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากนางแจเน็ท เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐนั้นยังดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนปรนอย่างมาก กล่าวคือนักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐยังจะค้ำประกันมิให้ราคาสินทรัพย์ตกต่ำ (under write downside risk of asset prices) เพื่อมิให้การฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบในเชิงลบ กล่าวคือเสมือนว่าเป็นการเสี่ยงโชค ซึ่งผู้เล่นมีโอกาสชนะทำกำไรและเชื่อว่า “เจ้ามือ” จะคุ้มครองไม่ให้มีโอกาสขาดทุน ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้จะยังยืนต่อไปได้จนกว่านางเยลเลนจะพ้นตำแหน่งไปในต้นปีหน้าและตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะไม่ขยับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (เพราะตลาดอ่านว่าธนาคารกลางของสหรัฐจะยอมให้เงินเฟ้อขยับตัวสูงเกินกว่า 2% ก็ได้ใน 1-2 ปีข้างหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน)
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์คงจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีในการผลักดันการออกกฎหมายในอนาคต ในประเด็นสำคัญคือ การจะต้องเชื้อเชิญให้สมาชิกพรรคเดโมแครทมีส่วนร่วมและมีส่วนสนับสนุนการปฏิรูปและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในความเห็นของผม เพราะประสบการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทเรียนอย่างดีให้กับประธานาธิบดีทรัมป์และนายไรอันว่า เขาทั้งสองไม่สามารถคุมเสียงของกลุ่มขวาจัดที่เรียกตัวเองว่า Freedom caucus ได้ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวผนึกกำลังกันอย่างเป็นปึกแผ่นประมาณ 30-40 เสียงและมีข้อเรียกร้องมากมาย โดยเมื่อนายไรอันและทรัมป์พยายามตอบสนองความต้องการดังกล่าวมากขึ้น ก็ทำให้สส.พรรครีพับลิกันที่เดินสายกลาง (moderates) ไม่พอใจและเริ่มเสียงแตกไม่ยอมสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปสุขภาพเช่นกัน
หากกลับมาดูจำนวนเสียงในสภานิติบัญญัติ ของสหรัฐจะเห็นได้ว่า แม้ พรรครีพับลิกันจะมีเสียงข้างมากในทั้งสองสภา แต่ก็มิได้มีเสียงท่วมท้น
//////
สภาผู้แทนราษฎร (จำนวนสส.ทั้งหมด 435 คนเลือกตั้งทั้งหมดทุก 2 ปี)
- พรรครีพับลิกัน 237 คน
- พรรคเดโมแครท 193 คน
** ตำแหน่งว่าง 5 ตำแหน่ง
++
วุฒิสภา (จำนวนสมาชิก 100 คน ดำรงตำแหน่ง 6 ปี เลือกตั้ง 33% ทุกๆ 2 ปี)
- พรรครีพับลิกัน 52 คน
- พรรคเดโมแครท 46 คน
- อิสระ (แต่เอนเอียงข้างเดโมแครท) 2 คน
++++
ในความเห็นของผมนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์และพอลล์ ไรอันจะต้องพยายามแบ่งแยก 193 เสียงของพรรคเดโมแครทในสภาพผู้แทนราษฎรออกมาสนับสนุนร่างกฎหมายของพรรครีพับลิกันให้ได้ประมาณ 30-40 เสียง ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะทรัมป์ไม่เคยแสดงไมตรีจิตต่อพรรคเดโมแครทและพรรคพวกของทรัมป์นั้น ก็ไม่เห็นใครที่จะเป็น“ตัวเชื่อม” กับพรรคเดโมแครทได้
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน