สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

หน้าตาการลงทุน ในอนาคตจะเป็นรูปแบบใด

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ นอกรอบ

โดย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ และคณะ

หากพูดถึงการลงทุนไทยแล้ว ความท้าทายที่สำคัญคงไม่ใช่แค่เพียงประเด็นว่าที่ผ่านมาทำไมการลงทุนไทยต่ำ เพราะถึงแม้จะแก้ปัญหาการลงทุนต่ำได้ แต่ในอนาคตอาจไม่เห็นหน้าตาการลงทุนเป็นแบบในอดีต เพราะการลงทุนที่เริ่มเกิดขึ้นใหม่โดยเน้นเทคโนโลยี เริ่มเปลี่ยนโฉมการทำธุรกิจหลายอย่าง มองไปข้างหน้า ลักษณะการลงทุนแบบใหม่นี้น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ business model และ landscape ของการลงทุนในหลายประเทศเปลี่ยนไป

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ facebook ซึ่งเป็นตัวแทนของธุรกิจรูปแบบใหม่ มูลค่าหลักทรัพย์ของ facebook เท่ากับของ GE กับ Walmart รวมกัน แต่ facebook จ้างพนักงานน้อยกว่าถึง 150 เท่า นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างโลกอุตสาหกรรมแบบเก่า และโลกเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เรากำลังก้าวเข้าไป

ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้การลงทุนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปจากที่เราเคยรู้จักเช่นกัน หากลองจินตนาการ หน้าตาการลงทุนในอนาคตจะเปลี่ยนไป 3 ด้าน

1.มูลค่าการลงทุนอาจไม่เท่าเดิม

ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อาจทำให้ความต้องการในการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (fixed asset) โดยรวมลดลง เพราะ 1.MNEs ภาคบริการที่มาพร้อมกับ เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจมีการลงทุนต่างประเทศน้อยกว่า MNEs ภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากสามารถให้บริการในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องลงทุนในประเทศปลายทาง

เช่น google มีการสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลกลาง (Data center) 15 แห่ง เพื่อให้บริการทั่วโลก แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 2 แห่งที่อยู่ในเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์และไต้หวัน ส่วนอีก 13 แห่งอยู่ในอเมริกาและยุโรป

2.ธุรกิจในประเทศมีความจำเป็นในการลงทุนเองลดลง เนื่องจากธุรกิจไม่ต้องลงทุนสินทรัพย์ถาวรด้วยตนเอง แต่สามารถซื้อบริการจาก service provider ได้ เป็นการใช้ resource sharing มากขึ้น เช่น ธุรกิจ A ที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพในการประมวลผลสูง โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง เพราะสามารถใช้บริการ cloud computing ของ amazon web services (AWS) ได้โดยที่ธุรกิจ A ไม่ต้องลงทุนสร้างและดูแลระบบเอง

รูปแบบที่กล่าวมาข้างต้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับการสำรวจของ UNCTAD ที่เปรียบเทียบ Tech MNEs และ MNEs ทั่วไป พบว่าทั้งสองประเภทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศใกล้เคียงกัน แต่ Tech MNEs มีการลงทุนในต่างประเทศที่น้อยกว่า สะท้อนว่าไทยไม่อาจคาดหวังให้เม็ดเงินลงทุนจาก Tech MNEs ได้มากเหมือนกับ MNEs ทั่วไปอย่างในอดีต

2.การลงทุนแบบใหม่กระทบการจ้างงาน

เมื่อการลงทุนใช้เทคโนโลยีซับซ้อนมากขึ้น ก็ยิ่งต้องการแรงงานที่ทักษะสูง ในการทำงานร่วมกับเครื่องจักรมากขึ้น และยังมีโอกาสที่เทคโนโลยีจะเข้ามาทดแทนแรงงานด้วย โดยเมื่อหุ่นยนต์และ A.I. เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตมากขึ้น บทบาทของแรงงานแบบเดิมลดลง เกิด “Job Polarization” กลุ่มแรงงานทักษะสูงและทักษะพื้นฐานจะได้รับผลกระทบน้อย แต่แรงงานทักษะระดับกลางจะค่อย ๆ หายไป

เพราะกลุ่มแรงงานทักษะสูงที่ทำงานร่วมกับเครื่องจักรและเทคโนโลยีได้ดี รวมถึงเป็นผู้คิดค้นผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ ถูกแทนที่ได้ยาก อีกทั้งแรงงานกลุ่มนี้ยังมีความสามารถในการสร้างงานประเภทใหม่ ๆ สูงขึ้น ส่วนกลุ่มแรงงานทักษะพื้นฐานที่ค่าแรงถูก ก็ไม่จูงใจต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงาน หรือแรงงานที่ทำงานด้านบริการก็ยังจำเป็น เพราะมนุษย์ยังต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากกว่าเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี

เราเริ่มเห็นตัวอย่างแรงงานทักษะระดับกลางที่ถูกทดแทนด้วย IT และ Automation แล้วในต่างประเทศ เช่น ในจีน บริษัท Foxconn ผู้ผลิตสินค้าให้กับ Apple ลดพนักงานลงเกือบครึ่งหนึ่งในโรงงานแห่งหนึ่งที่มณฑลเจียงซู จากที่เคยมีพนักงานในสายการผลิตถึง 110,000 คน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50,000 คน จากการใช้หุ่นยนต์ทดแทนในสายการผลิต หรือในญี่ปุ่น บริษัท Fukoku ที่เป็นประกันภัย ใช้ A.I. มาคำนวณเบี้ยประกันภัยแทนพนักงานเดิมที่เคยมีอยู่ถึง 30 คน

ตัวอย่างข้างต้น ทำให้เกิดประเด็นที่ชวนคิดว่า ขนาดบริษัท Foxconn ยังมีการปรับลดพนักงาน แล้วอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยที่มีแรงงานสูงถึงประมาณ 300,000 คน จะได้รับผลกระทบนี้เท่าไร

หรือแม้แต่กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะสูง ก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้ในทุกอาชีพ เพราะอาชีพที่เราเคยคิดว่าถูกทดแทนได้ยาก อย่างบุคลากรทางการแพทย์ยังอาจมีคู่แข่งเป็นเทคโนโลยีได้ เช่น ล่าสุดมีการพัฒนา A.I. มาใช้ช่วยในการอ่านฟิล์ม X-rays เพื่อวินิจฉัยโรค หรือแม้แต่บทความนี้เอง ในอนาคตอาจถูกเขียนด้วย A.I หากเรามองดูจากปัจจุบันที่ A.I. เริ่มถูกนำมาใช้ในการเขียนรายงานข่าว

3.มีแนวโน้มเป็นโลกที่มีความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น

โดยผลประโยชน์จากการลงทุนจะกระจุกตัวในรายใหญ่หรือผู้นำตลาด และกระจุกตัวในบางประเทศ

เมื่อการลงทุนสามารถใช้เทคโนโลยีได้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสสูงที่ผลประโยชน์จากการลงทุนจะกระจุกตัวในรายใหญ่หรือผู้นำตลาด (winner-take-all)

เพราะธุรกิจที่พึ่งพาเทคโนโลยีสูง บริษัทที่เป็นผู้นำจะมีผลิตภาพการผลิตที่ดีกว่าบริษัทขนาดเล็กมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้นำตลาดจะมีความสามารถในการประยุกต์ใช้และพัฒนาเทคโนโลยีได้ดีกว่าบริษัทขนาดเล็ก และทำให้ยิ่งสร้างรายได้ทิ้งห่างจากบริษัทขนาดเล็ก

ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด คือ ธุรกิจ ICT ที่ศักยภาพการผลิต (productivity) ระหว่างกลุ่มผู้นำและกลุ่มรั้งท้าย (frontier firm and laggards) มีความแตกต่างสูง

แถมในกลุ่มผู้นำด้วยกันเอง บริษัท Top 2% (Elite) ก็ยังทำได้ดีกว่าบริษัทที่อยู่ใน Top 10% มาก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้ได้รับประโยชน์มีน้อยรายและสามารถสร้างผลประโยชน์จากการลงทุนและผลิตได้เรื่อย ๆ จึงเกิดประเด็นที่ชวนคิดต่อว่า

หากหน้าตาโลกใหม่เป็นแบบนี้ จะยิ่งทำให้รายใหม่หรือรายเล็กมีโอกาสเกิดและอยู่รอดได้ยากมากขึ้นหรือไม่

โดยหากดูโครงสร้างธุรกิจของไทยเรา มีสัดส่วนธุรกิจขนาดเล็กค่อนข้างสูง มีการจ้างงานมาก แต่ศักยภาพการผลิตต่ำเมื่อเทียบกับมาเลเซียและฟิลิปปินส์ จึงอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กของไทยเผชิญกับความยากในการปรับตัวต่อ trend ใหม่

นอกจากนี้ ผลประโยชน์จากการลงทุนยังมีแนวโน้มกระจุกตัวในประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน

โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพิงการใช้ข้อมูลอย่างเข้มข้น อย่าง facebook, google, Alibaba จึงยากที่ประเทศกำลังพัฒนาจะสามารถแข่งขันในธุรกิจลักษณะนี้ได้ ทำให้ผลประโยชน์จากการลงทุนด้านเทคโนโลยี ไม่กระจายไปสู่ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ

และการเพิ่มขึ้นของบริษัทผู้นำนี้ ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของการจ้างงานในบางบริษัท และการจ้างงานโดยรวมลดลง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้น ทั้งในระดับธุรกิจ (sector) และระดับประเทศ

ตัวอย่างที่เห็นชัดในไทย คือการจ้างงาน แนวโน้มของเทคโนโลยีใหม่นี้จะส่งผลต่อไทยอย่างไร

เพื่อให้เห็นภาพ ลองนึกดูว่า หากความฝันของการมีชีวิตที่ดีขึ้น คือการออกจากบ้านเกิดเพื่อเข้ามาหางานในเมืองใหญ่ ทำงานในโรงงานหรือห้างสรรพสินค้า หรือหากความฝันสู่การเป็นชนชั้นกลาง คือการเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงานในบริษัทที่มั่นคง ทั้งสองความฝันต่างคาดหวังต่อการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

แต่จะเป็นอย่างไรหากพบว่าต้องใช้เวลาหรือลงทุนหาความรู้ใส่ตัว มากถึง 1 ใน 4 ของชีวิต เพียงเพื่อจะรู้ว่า ฝันนั้นเริ่มเลือนราง โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว

ความรู้ ความสามารถแบบเดิมไม่เพียงพอต่อการปรับตัวอยู่รอดได้ในโลกใหม่ เพราะสิ่งที่โลกคาดหวังกลับกลายเป็นระบบที่ชาญฉลาดและทรงประสิทธิภาพ (A.I. & Automation)

ท้ายที่สุดอาจพบว่าตำแหน่งงานที่คาดหวังมีโอกาสถูกแทนที่ด้วย automation

โดยจากงานของ McKinsey (2017) พบว่า 3 ภาคเศรษฐกิจหลักของไทย (ภาคการผลิต, โรงแรมและภัตตาคาร, ค้าส่งค้าปลีก) มีโอกาสมากกว่า 50% ที่จะถูกทดแทนด้วย automation ซึ่ง 3 ภาคเศรษฐกิจดังกล่าวมีจำนวนแรงงานกว่า 40% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด

เมื่อเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เส้นทางสู่การมีความเป็นอยู่ที่ดีมีทางเลือกน้อยลง พร้อมกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น การวางแผนเพื่อรับเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เพราะถึงที่สุดแล้วไม่ใช่การลงทุนหรือเศรษฐกิจที่ดีที่เราใส่ใจ หากแต่เป็นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่างหาก

จากการพยายามวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการลงทุนไทย รวมถึงพยายามวาดภาพหน้าตาการลงทุนในอนาคต ให้สอดรับกับช่วงเวลาของการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 จึงเป็นความท้าทายที่ต้องคิดร่วมกัน ว่าจะทำอย่างไร จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้เราต้องคิดใหม่เกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโจทย์ของไทยในการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง

ดังนั้น 1) แม้การลงทุนของไทยที่ผ่านมาจะต่ำไม่ว่ามองจากมุมไหน แต่การหมกมุ่นกับเม็ดเงินลงทุนเพียงอย่างเดียว ไม่อาจตอบโจทย์ของประเทศได้

ดังนั้น การลงทุนต้องเพิ่มศักยภาพการผลิต โดยเน้นการพัฒนาทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้

2) ไม่ใช่แค่พยายามยกระดับห่วงโซ่การผลิต (value chain) เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปรับตัวสู่ digital value chain ที่ต้องการศักยภาพและทักษะแบบใหม่ในการเกาะเกี่ยวกระแสเทคโนโลยีเพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศรายได้สูง

3) ปรับบทบาทภาครัฐจากการเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยตัวเอง สู่การเป็นผู้สร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยความสะดวกต่อภาคประชาชน และเอื้อต่อกลไกการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของภาคเอกชน

ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีคนอื่นทำ แต่มีความจำเป็นต่อประเทศเช่น การลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น (regulatory guillotine) สร้างระบบแรงจูงใจให้ธุรกิจลองผิดลองถูก ให้คนที่ล้มเหลวสามารถลุกขึ้นได้ไม่ยาก และพัฒนาระบบการศึกษาให้คนมีทักษะตรงกับที่ธุรกิจต้องการ

4) ไม่ส่งเสริมการลงทุนตามประเภทอุตสาหกรรม แต่ควรส่งเสริมตามสิ่งที่ผลิตแล้วมีมูลค่าเพิ่ม เพราะมีตัวอย่างให้เห็นถึงการเลือกสนับสนุนบางภาคเศรษฐกิจ แต่ไม่ยั่งยืน ดังกรณีอินเดียที่เรามักคิดว่าเป็นประเทศที่มีจุดแข็งด้าน IT business แต่ตอนนี้บางตำแหน่งงานถูกทดแทนจากการมาของ A.I.

ทั้งหมดนี้ เพื่อให้การลงทุนตอบโจทย์แท้จริงของประเทศ ที่ไม่เพียงแต่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตดี หรือพัฒนาศักยภาพการผลิตโดยรวม แต่เป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยเสมอหน้า ขยายโอกาสให้กับธุรกิจรายย่อย และกระจายความเท่าเทียมแรงงาน ในช่วงเวลาต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : หน้าตาการลงทุน ในอนาคต จะเป็นรูปแบบใด

view