จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
พรุ่งนี้แล้ว.. วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” อันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งชีวิตของปวงชนไทย..
ต้องเตือนกันแรงๆ อีกครั้งว่า “ใครหน้าไหน” ที่บังอาจทำเรื่องร้ายๆ ในชาติไทย รัฐบาล “บิ๊กตู่” จะต้องลงโทษอย่างเด็ดขาดรุนแรงและประชาชนทั้งหลายผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ต้องเป็น “ตาสับปะรด” สอดส่องเปิดโปง และประณาม ฯลฯ “กลุ่มคนชั่ว” ให้ไร้ที่ยืนในสังคม..
“ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม มีพระราชดำรัสเรื่อง “การถวายสัตย์ปฏิญาณฯ” เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะตุลาการศาลปกครอง ซึ่งเนื้อหาอันทรงคุณค่านี้ สามารถน้อมนำมาใช้กับข้าราชการทุกฝ่าย รวมถึงนักการเมืองที่มาจาก “การเลือกตั้ง” และ “รัฐประหาร” ที่ถือเป็นข้าราชการการเมืองดังนี้
“ท่านปฏิญาณว่า จะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลปกครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในความตั้งใจ และขอให้ท่านปฏิบัติตามปฏิญาณซึ่งอยู่ที่ท่านปฏิญาณว่า จะทำหน้าที่อย่างดีในฐานะผู้พิพากษา และขอให้ท่านทำตรงตามหน้าที่ผู้พิพากษานั้น และให้มีความเรียบร้อยในการคดีทั้งหลาย ที่จะมีขึ้นได้ในอนาคต ขอให้ท่านได้เข้าใจว่า การปฏิญาณนั้นมิใช่ของเล่น เป็นของจริง ถ้าท่านปฏิญาณท่านทำกฎหมาย และท่านจะได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างดี ขอให้ท่านได้ปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว ท่านจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วย ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านพูด แล้วเป็นการปฏิบัติตามคำปฏิญาณนั้น เป็นเรื่องของความดี และท่านจะสามารถปฏิบัติสำเร็จเรียบร้อย คนเราถ้าปฏิบัติตามที่ตั้งใจ ก็จะเจริญรุ่งเรือง
ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตามที่ปฏิญาณไว้ ท่านก็ต้องระวังตัว ฉะนั้น ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านได้ปฏิญาณท่านก็จะได้แสดงว่า ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของท่าน และท่านได้ปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้เกี่ยวข้องกับท่าน ให้มีความดี ความศักดิ์สิทธิ์และทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้ ก็ขอให้ท่านปฏิบัติถูกต้องตามคำปฏิญาณ และสามารถที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ต้องพูดมากกว่านี้ ขอให้ท่านมีความสำเร็จในหน้าที่ของท่าน”
“ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ยังเคยมีพระราชดำรัส ให้ทุกคนทำความเข้าใจในอำนาจหน้าที่ของตนให้ถ่องแท้ และต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ประมาท เพราะความประมาทจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อตนเอง และต่อชาติบ้านเมือง
ที่ถือว่าประมาทจนชาติเสียหายสุดๆ เห็นจะเป็นผู้นำและคณะรัฐประหารที่ผ่านมา ที่ไม่กระทำให้พระราชดำรัสอันทรงค่าของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ปรากฏเป็นจริงในยามมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในกำมือ
นั่นคือ ไม่ได้ทำให้ “กลุ่มคนดี” ได้บริหารชาติ ซ้ำร้ายยังปล่อยให้ “กลุ่มคนชั่ว” กลับมามีอำนาจ ผ่านการเลือกตั้งสกปรกครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำร้ายทำลายความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาชน มาโดยตลอด
ความประมาทของผู้นำและคณะรัฐประหารที่ผ่านมา ได้นำพาความเสียหายอย่างใหญ่หลวงซ้ำซากมาสู่ชาติไทย โดยทั้งนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งที่โกงชาติ และนักการเมืองที่มาจากการรัฐประหาร กระทำเพียงแค่ “สมบัติชาติผลัดกันโกง” เท่านั้น
อีกทั้งยังไม่เคยสำนึกผิด และรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกตนได้กระทำ อันส่งผลให้ชาติและประชาชน ต้องแบกรับเคราะห์กรรมอันเลวร้ายนี้เลย..
ผู้นำและคณะรัฐประหารที่ผ่านมา ได้กระทำการอัน “ประมาท” จะโดยด้อยความรู้ หรือจงใจแกล้ง “ประมาท” ด้วยมีผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเร้น ทั้งในการจะปกปิดความผิดตนเอง และต้องการสืบทอดอำนาจเพื่อหวังจะกอบโกยผลประโยชน์สารพัดใส่ตนและพวกพ้อง
ดังนั้นการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่โกงชาติและล้มเจ้า แต่กลับไม่ยอมลงโทษกลุ่มคนโกงชาติและล้มเจ้าเท่าที่ควร! ไม่ยอมทำการปฏิรูปชาติทุกภาคส่วน! โดยเฉพาะไม่ปฏิรูปชาติในด้านการเมืองและเรื่องสำคัญอื่นๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุอันชั่วร้าย ที่ส่งผลให้ชาติและประชาชนไทยส่วนใหญ่ต้องประสบกับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาจนทุกวันนี้
ชาติไทยโชคร้ายจริงๆ ที่มีทั้งนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งที่โกงชาติและล้มเจ้า มีทั้งผู้นำและคณะรัฐประหาร ที่ลากรถถังมาโค่นล้มรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งสกปรก ที่ปากพร่ำพูดว่า “รักในหลวงรัชกาลที่ ๙” รักสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต แต่การกระทำกลับรักตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก
ชาวไทยส่วนใหญ่ ปฏิบัติตามคำสอนของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ตลอดมา แต่ “ผู้นำชาติ” กับพวกพ้องในรัฐทั้งสองรูปแบบ ไม่ได้ทำตามคำสอนของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” เท่าที่ควร แถมยังทำให้ชาติไทยต้องจมปลัก อยู่กับวิกฤตเลวร้ายตราบจนทุกวันนี้
ด้วย “ผู้ยึดอำนาจรัฐ” ทั้งสองรูปแบบ ไม่ได้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาชน จึงเป็นรัฐบาลไร้ผลงานโดดเด่นดีงาม ที่ยึดผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก เท่าที่ควร
โดยเฉพาะการทำให้คนดีได้บริหารชาติ และกีดกันคนชั่วมิให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนและทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองได้..
“ผู้นำ” และรัฐประหารชุดนี้ บริหารชาติมากว่า 3 ปีได้กระทำเรื่องสำคัญยิ่งตามพระราชดำรัสของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ให้ชาติและประชาชนไปแล้ว..แค่ไหน??
“ผู้มีอำนาจ” ถ้า “รักในหลวงรัชกาลที่ ๙” จริง! ต้องมิใช่ “ดีแต่พูด” ทว่า..ต้อง “ทำ” ให้พระราชดำรัสอันล้ำค่าเป็นจริง!
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
พรุ่งนี้แล้ว.. วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” อันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งชีวิตของปวงชนไทย..
ต้องเตือนกันแรงๆ อีกครั้งว่า “ใครหน้าไหน” ที่บังอาจทำเรื่องร้ายๆ ในชาติไทย รัฐบาล “บิ๊กตู่” จะต้องลงโทษอย่างเด็ดขาดรุนแรงและประชาชนทั้งหลายผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ต้องเป็น “ตาสับปะรด” สอดส่องเปิดโปง และประณาม ฯลฯ “กลุ่มคนชั่ว” ให้ไร้ที่ยืนในสังคม..
“ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม มีพระราชดำรัสเรื่อง “การถวายสัตย์ปฏิญาณฯ” เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะตุลาการศาลปกครอง ซึ่งเนื้อหาอันทรงคุณค่านี้ สามารถน้อมนำมาใช้กับข้าราชการทุกฝ่าย รวมถึงนักการเมืองที่มาจาก “การเลือกตั้ง” และ “รัฐประหาร” ที่ถือเป็นข้าราชการการเมืองดังนี้
“ท่านปฏิญาณว่า จะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลปกครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในความตั้งใจ และขอให้ท่านปฏิบัติตามปฏิญาณซึ่งอยู่ที่ท่านปฏิญาณว่า จะทำหน้าที่อย่างดีในฐานะผู้พิพากษา และขอให้ท่านทำตรงตามหน้าที่ผู้พิพากษานั้น และให้มีความเรียบร้อยในการคดีทั้งหลาย ที่จะมีขึ้นได้ในอนาคต ขอให้ท่านได้เข้าใจว่า การปฏิญาณนั้นมิใช่ของเล่น เป็นของจริง ถ้าท่านปฏิญาณท่านทำกฎหมาย และท่านจะได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างดี ขอให้ท่านได้ปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว ท่านจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วย ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านพูด แล้วเป็นการปฏิบัติตามคำปฏิญาณนั้น เป็นเรื่องของความดี และท่านจะสามารถปฏิบัติสำเร็จเรียบร้อย คนเราถ้าปฏิบัติตามที่ตั้งใจ ก็จะเจริญรุ่งเรือง
ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตามที่ปฏิญาณไว้ ท่านก็ต้องระวังตัว ฉะนั้น ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านได้ปฏิญาณท่านก็จะได้แสดงว่า ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของท่าน และท่านได้ปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้เกี่ยวข้องกับท่าน ให้มีความดี ความศักดิ์สิทธิ์และทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้ ก็ขอให้ท่านปฏิบัติถูกต้องตามคำปฏิญาณ และสามารถที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ต้องพูดมากกว่านี้ ขอให้ท่านมีความสำเร็จในหน้าที่ของท่าน”
“ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ยังเคยมีพระราชดำรัส ให้ทุกคนทำความเข้าใจในอำนาจหน้าที่ของตนให้ถ่องแท้ และต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ประมาท เพราะความประมาทจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อตนเอง และต่อชาติบ้านเมือง
ที่ถือว่าประมาทจนชาติเสียหายสุดๆ เห็นจะเป็นผู้นำและคณะรัฐประหารที่ผ่านมา ที่ไม่กระทำให้พระราชดำรัสอันทรงค่าของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ปรากฏเป็นจริงในยามมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในกำมือ
นั่นคือ ไม่ได้ทำให้ “กลุ่มคนดี” ได้บริหารชาติ ซ้ำร้ายยังปล่อยให้ “กลุ่มคนชั่ว” กลับมามีอำนาจ ผ่านการเลือกตั้งสกปรกครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำร้ายทำลายความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาชน มาโดยตลอด
ความประมาทของผู้นำและคณะรัฐประหารที่ผ่านมา ได้นำพาความเสียหายอย่างใหญ่หลวงซ้ำซากมาสู่ชาติไทย โดยทั้งนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งที่โกงชาติ และนักการเมืองที่มาจากการรัฐประหาร กระทำเพียงแค่ “สมบัติชาติผลัดกันโกง” เท่านั้น
อีกทั้งยังไม่เคยสำนึกผิด และรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกตนได้กระทำ อันส่งผลให้ชาติและประชาชน ต้องแบกรับเคราะห์กรรมอันเลวร้ายนี้เลย..
ผู้นำและคณะรัฐประหารที่ผ่านมา ได้กระทำการอัน “ประมาท” จะโดยด้อยความรู้ หรือจงใจแกล้ง “ประมาท” ด้วยมีผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเร้น ทั้งในการจะปกปิดความผิดตนเอง และต้องการสืบทอดอำนาจเพื่อหวังจะกอบโกยผลประโยชน์สารพัดใส่ตนและพวกพ้อง
ดังนั้นการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่โกงชาติและล้มเจ้า แต่กลับไม่ยอมลงโทษกลุ่มคนโกงชาติและล้มเจ้าเท่าที่ควร! ไม่ยอมทำการปฏิรูปชาติทุกภาคส่วน! โดยเฉพาะไม่ปฏิรูปชาติในด้านการเมืองและเรื่องสำคัญอื่นๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุอันชั่วร้าย ที่ส่งผลให้ชาติและประชาชนไทยส่วนใหญ่ต้องประสบกับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาจนทุกวันนี้
ชาติไทยโชคร้ายจริงๆ ที่มีทั้งนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งที่โกงชาติและล้มเจ้า มีทั้งผู้นำและคณะรัฐประหาร ที่ลากรถถังมาโค่นล้มรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งสกปรก ที่ปากพร่ำพูดว่า “รักในหลวงรัชกาลที่ ๙” รักสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต แต่การกระทำกลับรักตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก
ชาวไทยส่วนใหญ่ ปฏิบัติตามคำสอนของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ตลอดมา แต่ “ผู้นำชาติ” กับพวกพ้องในรัฐทั้งสองรูปแบบ ไม่ได้ทำตามคำสอนของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” เท่าที่ควร แถมยังทำให้ชาติไทยต้องจมปลัก อยู่กับวิกฤตเลวร้ายตราบจนทุกวันนี้
ด้วย “ผู้ยึดอำนาจรัฐ” ทั้งสองรูปแบบ ไม่ได้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาชน จึงเป็นรัฐบาลไร้ผลงานโดดเด่นดีงาม ที่ยึดผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก เท่าที่ควร
โดยเฉพาะการทำให้คนดีได้บริหารชาติ และกีดกันคนชั่วมิให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนและทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองได้..
“ผู้นำ” และรัฐประหารชุดนี้ บริหารชาติมากว่า 3 ปีได้กระทำเรื่องสำคัญยิ่งตามพระราชดำรัสของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ให้ชาติและประชาชนไปแล้ว..แค่ไหน??
“ผู้มีอำนาจ” ถ้า “รักในหลวงรัชกาลที่ ๙” จริง! ต้องมิใช่ “ดีแต่พูด” ทว่า..ต้อง “ทำ” ให้พระราชดำรัสอันล้ำค่าเป็นจริง!