จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ ชั้น 5ประชาชาติ
โดย ณัฏฐ์พิชญ์ วงษ์สง่า montien_dear@yahoo.com
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนกระทรวงการคลังจะไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการนำมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” กลับมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายในช่วงท้ายปีสำหรับปีนี้ เพราะมองว่าบรรยากาศโดยรวมทางเศรษฐกิจปีนี้เริ่มกลับมาดีขึ้น และดีกว่าปีที่ผ่านมา
แต่ท้ายที่สุดเมื่อ นายกลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการให้นำมาตรการดังกล่าวกลับมาพิจารณาโดยด่วน คลังจึงได้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดยในรายละเอียดทั้งหมดยังคงเหมือนเดิมที่จัดไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อปี 2558 และ 2559 คือประชาชนสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริงสูงสุดแต่ไม่เกิน 15,000 บาท เพียงแต่ปีนี้ได้ขยายวันช็อปให้ยาวขึ้นเป็น 23 วัน คือจากวันที่ 11 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2560
นั่นหมายความว่า ตัวเลขการจับจ่ายของประชาชนโดยรวมในปีนี้ควรที่จะเพิ่มมากกว่าปีที่ผ่านมา ที่สำคัญก็ควรที่จะส่งผลต่อการขยายตัวของ GDP มากกว่า 2 ครั้งที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
เมื่อจำนวนวันเพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้ประชาชนที่จะมาใช้สิทธิ์ก็น่าจะเพิ่มขึ้น แน่นอนว่ารัฐบาลก็จะต้องสูญเสียรายได้ภาษีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงสะท้อนจากหลายฝ่ายในสังคมว่า มาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” นี้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลจริงหรือ แล้วทำไมถึงต้องนำมาใช้อีก ในเมื่อรัฐบาลเองก็ประกาศไว้ชัดเจนว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นแล้ว
หากเศรษฐกิจของประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจริงตามที่รัฐบาลแถลง กำลังซื้อของประชาชนก็น่าจะพลิกฟื้นกลับมาแล้ว และมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยโดยไม่ต้องออกมาตรการอะไรออกมาช่วย
จึงตั้งข้อสังเกตว่า การนำมาตรการดังกล่าวออกมาใช้ต่อเนื่องอีก 1 ปีนี้สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง ประชาชนยังไม่กล้าจับจ่าย
ประเด็นดังกล่าวนี้ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจากการมอนิเตอร์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อการจับ จ่ายใช้สอย รวมถึงจากการที่ได้สัมผัสกับผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มคนระดับกลาง มนุษย์เงินเดือน ที่รายได้และกำลังซื้อมีแต่ทรงและทรุด เนื่องจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ยิ่งกลุ่มคนระดับรากหญ้าก็ยังคงได้รับผลกระทบหนัก เพราะราคาพืชผลทางการเกษตรยังไม่กระเตื้อง ทุกหย่อมหญ้ารัดเข็มขัดกันเอวกิ่ว
การออกมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” มาใช้อีกปียิ่งไปกระตุ้นมู้ดให้คนทั่วไปอยากจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ด้วยหวังว่าจะได้ช่วยลดภาษี ในประเด็นนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำให้ทุกคนดูรายละเอียดของมาตรการให้ละเอียด ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจ “ช้อปช่วยชาติ” และควรต้องคำนวนให้รอบคอบ ว่าจากจำนวนเงินที่เราจับจ่ายไปนั้น จะช่วยลดภาษี
ให้ตัวเองได้เท่าไหร่ เพราะแต่ละคนจะได้ส่วนลดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับฐานรายได้และฐานการเสียภาษีเงินได้ของแต่ละคน ซึ่งหากแจกแจงให้เห็นภาพชัดเจนก็คือ หากใช้สิทธิเต็มมูลค่า 15,000 บาท คนที่มีรายได้ตั้งแต่ 150,000-300,000 บาทต่อปี หรือมีเงินเดือนเฉลี่ยที่ 12,500-25,000 บาท ได้ส่วนลดคืนภาษี 5% หรือสูงสุดที่ 750 บาท
คนที่มีรายได้ตั้งแต่ 300,001-500,000 บาทต่อปี หรือมีเงินเดือนเฉลี่ยราว 25,001-41,600 บาท จะได้คืนภาษี 10% หรือสูงสุดที่ 1,500 บาท คนที่มีรายได้ 500,001-750,000 บาทต่อปี หรือเงินเดือนเฉลี่ย 41,600-62,000 บาท ได้ส่วนลด 15% หรือสูงสุด 2,250 บาท หรือคนที่มีรายได้ตั้งแต่ 750,001-1,000,000 บาทต่อปี หรือมีเงินเดือนเฉลี่ย 62,501-83,000 บาท ได้ส่วนลด 20% หรือสูงสุด 3,000 บาท เป็นต้น
เหตุผลง่าย ๆ ที่รัฐบาลให้ส่วนลดเงินลดหย่อนภาษีไม่เท่ากันนั้น ก็เพราะแต่ละคนมีฐานการเสียภาษีที่ต่างกัน คนไหนเสียภาษีน้อยก็ได้ส่วนลดน้อย ส่วนใครที่เสียภาษีมากก็ได้ส่วนลดมาก เพราะรัฐบาลบอกว่า มาตรการนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้คนมีเงินเกิดการจับจ่ายที่มาก ขึ้น หรือเป็นมนตร์เรียกเงินออกจากกระเป๋าคนมีเงิน
ส่วนใครที่เงินในกระเป๋าน้อยก็ควรที่จะต้องคำนวณให้ละเอียดและรอบคอบ
ถ้าตื่นเต้นไปกับมาตรการรัฐบาลอาจเผลอตัวสร้างหนี้เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ !
ช้อปเพื่อชาติต้องเสมอภาคเท่ากันทุกคน
บทบรรณาธิการ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบ กฎกระทรวงการคลังออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการ “ยกเว้น” รัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2560) หรือที่รู้จักกันดีในนาม มาตรการช้อปช่วยชาติ ระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2560 รวม 23 วัน
มาตรการดังกล่าวกำหนดให้ผู้เสียภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่ายเท่าที่ได้จ่ายไปในการซื้อสินค้า-บริการ แก่ผู้ขายที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในระหว่างวันดังกล่าว (23 วัน) มาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยการซื้อสินค้า-บริการนั้นจะต้องเป็นสินค้า-บริการเพื่อใช้ภายในประเทศ เท่านั้น และจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 มีหลักฐานการซื้อสินค้าบริการเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ มาขอหักลดหย่อนด้วย
กระทรวงการคลังในฐานะผู้เสนอมาตรการช้อปช่วยชาติ ได้ให้เหตุผลถึงความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการนี้ว่า เพื่อต้องการให้การบริโภคของภาคเอกชนที่ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่แล้วนั้น มีการขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ครัวเรือน อีกทั้งยังเป็นการ “กระตุ้น” อุปสงค์ในการซื้อสินค้าและบริการในช่วงปลายปี 2560 ซึ่งจัดเป็นมาตรการทำนองเดียวกันกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วง ปลายปี 2559
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง มาตรการช้อปช่วยชาติ กลับสร้างคำถามขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วมาตรการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ แล้ว “ใคร” เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง และประโยชน์นั้นเป็นไปโดย “เสมอภาค” กับประชากรทั้งประเทศหรือไม่ หรือกระจุกตัวอยู่กับหมู่คนบางพวกบางกลุ่มเท่านั้น
อย่าลืมว่า การหักลดหย่อนจากมาตรการนี้จะทำให้ “รายได้” จากภาษีหายไป เป็นรายได้ที่รัฐควรจัดเก็บได้ แต่มาถูกหักเพื่อประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังน่าสงสัยอยู่ว่า จะกระตุ้นได้จริงหรือจากช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 23 วัน แถมยังกลับกลายเป็นการชะลอการบริโภคโดยรวมในช่วงปลายปีลงเสียอีก เพราะรู้ว่าจะมีมาตรการแบบนี้ออกมาทุก ๆ ปี
ส่วนใครจะเป็นผู้ได้ ประโยชน์มากน้อยนั้น ต้องดูที่ว่า ผู้ช็อปเป็นใคร เนื่องจากสินค้า-บริการที่เป็นเป้าหมายส่วนใหญ่จะอยู่ในห้างสรรพสินค้า เป็นห้างที่ชนชั้นกลาง-สูงเข้ามาจับจ่ายใช้สอย ขณะที่คนจน 11.67 ล้านคนกลับไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะคนจนไม่อยู่ในระบบภาษี
แม้อ้างว่า คนจนมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่แล้ว แต่เทียบกันไม่ได้กับการหักลดหย่อนที่รัฐให้เฉพาะเจาะจงกับคนชั้นกลางและคน ชั้นสูงเท่านั้น
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน