จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
เมื่อขุน นาง-ข้าราชการระดับสูง- คนในราชสำนัก-คนรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ถูกครหา
เพราะ นักการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ-ฝ่ายบริหาร ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในกรอบของสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรี
ฝ่าย ตุลาการ-ฝ่ายข้าราชการ-ผู้นำ เหล่าทัพ จึงปรากฏตัวอยู่ในโครงสร้างอำนาจหลัก
แม้กระทั่ง 18 องคมนตรี ที่มีเกียรติประวัติจากการเป็นอดีตนายพล-ข้าราชการ-นักกฎหมายยังถูกพาดพิง ว่า อิงการเมือง
ในนาม "ตุลาการภิวัตน์" ทำให้ "ดร.อักขราทร จุฬารัตน" ประธานศาลปกครองสูงสุด ต้อง "มอนิเตอร์" สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ถี่ยิบ-ต่อเนื่อง
ในนามของ "คนกลาง" ทำให้ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ถูกสปอตไลต์ฉายจับ ยามเกิดวิกฤตการเมือง
ปฐมเหตุการแห่งการพิพากษาคดี ยุบพรรคพลังประชาชน-คดีเขาพระวิหาร และเหตุแห่งอาหารค่ำพร้อมบทสนทนาใน "บ้านสุขุมวิท" ของ "ปีย์ มาลากุล" ทำให้ "ดร.อักขราทร" ถูก "ทักษิณและพวก" กาดอกจัน เป็นฝ่ายตรงข้าม
เศรษฐี หมื่นล้าน-นักโทษหนีคดี-อดีตนายกรัฐมนตรี-หัวขบวนไพร่ จึงตอกย้ำ-ปั่นราคา "ไพร่" บนเวทีการชุมนุมมั่วสุมทางความคิดของชนชั้น "รากหญ้า-สีแดง" กระทบ-กระเทียบไปถึง "ดร.อักขราทร" ในนามหัวขบวนตุลาการภิวัตน์
แม้ชื่อของ "ดร.สุเมธ" จะไม่ได้ "ถูกอ้าง" ในที่ชุมนุมของขบวนเศรษฐี-ไพร่
แต่ ในวงนินทาของ "เศรษฐีใหม่" มักมีชื่อ ข้าราชการ-ราชสำนัก "ดร.สุเมธ" อยู่ในหัวข้อสนทนา
บ้างก็หาว่า ทำตัวเป็น "คนกลาง" เพื่อจะได้ตำแหน่ง บ้างก็กล่าวหาเป็นพวก "แอบอ้าง"
เมื่อเสียงครหา -นินทา ก้องไปถึงหู จึงมีเสียงสะท้อนจาก "ดร.สุเมธ"
"จะให้ทำ อย่างไร...เราก็ไม่เคย ถ้าพระองค์ไม่เรียกก็ไม่เข้าเฝ้าฯ เรียกหาก็ เข้าเฝ้าฯ เรื่องอ้าง เรื่องข่าวลือ มันมีมา ตั้งแต่สมัยไหนแล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเรื่องหยุมหยิม เรื่องมูลฝอย ผมเคยอ่านหนังสือสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งว่า "เลิกนินทากันซะทีเถอะ" ขอให้พอทีเถอะ ข่าวโกหกคนโง่ก็เป็นเหยื่อ คนฉลาดฉุกคิดได้ก็รอดไป สำคัญว่ามีคนเชื่อหรือเปล่า...ทำไมถึงเชื่อกันง่าย"
เช่นเดียวกับ "ดร.อักขราทร" ที่เตรียมตัวจะสะท้อนเสียงนินทา-วาทกรรม ที่ถูกสร้างผ่าน "ฝ่ายแพ้" ในเครือข่าย "ทักษิณ" ต่อเนื่องทุกหย่อมหญ้า ในวันที่เกษียณ จากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ปลายปี 2553
ระหว่างนี้ จึงต้องเป็น "มีเดียมอนิเตอร์" เพื่อตรวจสอบ เสียงเล่า-เสียงลือ ผ่านสื่อทั้งหนังสือพิมพ์-วิทยุ-โทรทัศน์
"...ผมอ่านหนังสือพิมพ์ วันละ 14-15 ฉบับ อ่านทุกวัน แล้วผมตาม มานาน ผมจะรู้ว่าใครเป็นใคร เดี๋ยวนี้รู้หมดแล้ว แต่ก็ยังต้องตามอยู่ เพราะยังอยู่ ในงาน แต่ถ้าปลอดเกษียณแล้ว ก็คงจะอ่านบ้างนิดหน่อย"
"ผมตามข่าวทุกวัน แต่ไม่เครียด เพราะเราเข้าใจว่า ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพียงแต่ให้รู้ว่าใครเป็นใครก็แล้วกัน ถ้าเขาอยากได้ความเห็นของเราจริง ๆ เราก็อธิบาย แต่ถ้าติดตามแบบไม่ใช้สติก็เครียด ถ้าไม่รู้ข่าวสารบ้านเมือง จะเครียดมากกว่า"
คนตุลาการ-ประมุขศาลประชาชน ตามอ่าน "เอาเรื่อง" แต่ในฐานะคนใกล้ชิดราชสำนัก เมื่อสถาบันถูกกระทบกระเทียบ จากฝ่ายต่าง ๆ "ดร.สุเมธ" จึงเปิดตัว- เปิดหน้า-ท้าชน
"โดนโจมตีว่าเป็นอำมาตย์ ผมจะเจียระไนให้ดูว่า อำมาตย์คนนี้ทำอะไรบ้าง เป็นคนทำงานพัฒนาชนบท เคยออกรบ โดดร่มกลางป่า ตอนนี้เป็นอดีตอำมาตย์ที่เกษียณ แต่ยังกินเงินเดือนอำมาตย์อยู่"
"ผมเป็นอำมาตย์ 100% ในชีวิตไม่เคยทำอะไร นอกจากเป็นข้าราชการ อำมาตย์ก็คือข้าราชการ มียศ มีศักดิ์ ใช่...แล้วไง แล้วตอนบ้านเมืองจนมุม ก็มีแต่พวกอำมาตย์กู้ชาติ จำนวนคนอวิชชามันเยอะ ถ้าเขาฟังก็ฟัง เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบ ทำตามบทบาทหน้าที่ ทำได้เท่านี้ แล้วก็ ทำไม่เคยหยุด"
ในอำนาจ-ในวงการเมือง "ดร.อักขราทร" ถูกลากเข้าสู่วงโคจรความขัดแย้ง จึงจำเป็นต้อง "รู้เขารู้เรา" อย่างทะลุถึงราก
"ผมรู้ว่าใครเป็นใคร รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครคิดอะไรอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ไปยุ่งเขา"
ใน ปรากฏการณ์ "เหลือง-แดง" ตั้งแต่ปี 2538-2553 ยังไม่มีทีท่าจะถึงตอนอวสาน "ดร.อักขราทร" บอกว่า ถ้าจะให้จบ ต้องเลิกยึดติด-ยึดถือ ว่าตัวเองทำถูกกว่าคนอื่น และต้องไม่ "บิดเบือน" ข้อมูลของฝ่ายตัวเอง เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้ ตัดสินใจ บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง
"...วันนี้ อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด แม้จะไม่อยากให้เกิด แต่เวลานี้ มันเลยจุดที่จะพูดกันแบบมีเหตุมีผล เลยจุดนั้นไปแล้ว ฉะนั้นลองตั้งสติดู แล้วคิดว่าเราทุกคนรักบ้านเมืองหรือเปล่า รักแล้วทำอะไรบ้างที่ทำไม่ให้เกิดปัญหา"
"ดร.สุเมธ" ติดตามการเมือง อย่างเป็นห่วงและอยากเตือนสติ "ถ้ามีสติ จะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากให้ลูกหลานอยู่ที่นี่ ใครจะสร้างรัฐใหม่ ไปอยู่รัฐใหม่ เราไม่ไป เราจะอยู่รัฐเก่านี่แหละ"
เมื่อถูกเรียกร้อง-เป็นคนกลาง "ดร.สุเมธ" โยน-ย้อนกลับมา "สื่อนั่นแหละ คนกลาง ผมคาดหวังในพลังของ สื่อมาก ต้องนำมาใช้ในทางบวก ที่ผมพูดนี้พูดโดยบริสุทธิ์ใจ ผมเสนอว่า ควรเป็นสื่อ กู้ชาติ"
"ผมอยู่ตรงกลางจริง ๆ แดงก็ด่า เหลืองก็ด่า... อย่าพะวงว่าจะโดนด่า พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา โดนทำร้ายด้วย แล้วเราจะเหลืออะไร"
บ้านเมือง-กรุงรัตนโกสินทร์ จะรอดพ้นจากวิกฤตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอะไร "2 อำมาตย์" มีคำตอบ
ดร.สุเมธ : คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด
ดร.อักขราทร : การมีจริยธรรมก็คือ ต้องรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ต้องยึดมั่นตรงนั้น และต้องยึดให้มั่น แม้ตัวเองจะเสียผลประโยชน์ ซึ่งตรงนี้แหละมันยาก เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ถ้าทำอย่างนี้ได้บ้านเมืองก็ไปรอด