จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : น.พ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ จ.ปัตตานี
"จุกในลำคอ" คืออาการแรกหลังอ่านบรรทัดสุดท้ายจบ งานเขียนชิ้นนี้แม้ไม่ได้มาอย่างมืออาชีพ หากบีบหัวใจด้วยภาษาเรียบง่ายจาก "คุณหมอ"...คนหนึ่ง
(เรื่อง : น.พ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ จ.ปัตตานี)
แดดคล้อยแล้ว แสงสีทองยามนี้แลดูล้าเต็มที แรงแดดที่เคยแผดเผาทุกสิ่ง จนต้องหาที่ซ่อนเร้น ยามนี้แสงของมันกลับอ่อนแรงจนไม่สะท้านผิวเลย
...อ่อนแรงเหมือนผมเวลานี้ หลังสิ้นเสียงหนึ่งกระทบโสตประสาท
"หมอคะ พบศพโดนเผาค่ะ" สีหน้าพยาบาลสาว เจ้าของเสียงดูแตกตื่นระคนกังวล สมองของผมพลุ่งพล่านไปด้วยคำถามมากมาย ใครกันนะที่ถูกเผา เป็นคนรู้จักหรือเปล่า แล้วเกิดเหตุการณ์ได้อย่างไร ทำไมผมต้องมาประสบกับเรื่องบ้าๆ ซ้ำซากแบบนี้ด้วย ทำไมผมต้องเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินในวันนี้
นึกย้อนถึงรุ่งอรุณ ยามที่แสงแดดอ่อนๆ เริ่มฉาบฉาย สีเขียวอ่อนแก่ของใบไม้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ลมที่พัดมาแผ่วเบาสัมผัสร่างกายจนรู้สึกถึงความเย็นสบาย นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเช้าวันจันทร์ งานวันนี้เริ่มต้นด้วยการดูแลรักษาผู้ป่วยที่นอนในโรงพยาบาล เสร็จแล้วจึงออกตรวจผู้ป่วยนอกที่คาดคะเนได้ว่า มากพอที่จะทำให้หมอสองคนนั่งตรวจตลอดจนถึงเที่ยงโดยก้นแทบไม่ขยับลุกจาก เก้าอี้เลย
เวลาก้าวกระโดดมาหยุดนิ่งในเหตุการณ์ปัจจุบัน ผมกำลังประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมอหิวาตกโรคที่ระบาดอยู่ในพื้นที่ เสียงพยาบาลสาวที่แทรกขึ้น ทำให้ต้องรีบจบการประชุม ต่างคนต่างแยกย้ายกันด้วยความแตกตื่นเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ชั่วพริบตาเดียว ผมก็มายืนอยู่ในห้องฉุกเฉินพร้อมพยาบาลเตรียมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวของศพที่ถูกเผา ได้ความว่า ผู้ตายเป็น คุณครูผู้ชายท่านหนึ่ง ทำงานในพื้นที่แห่งนี้ฟูมฟักและสร้างลูกศิษย์มาหลายสิบรุ่น เป็นบุคลากรเก่าแก่ท่านหนึ่งที่เสียสละทำงานมายาวนานในดินแดนอันกันดารและ เสี่ยงภัย นานจนเป็นที่รักของชาวบ้าน จนคาดไม่ถึงว่าวันนี้จะต้องมาจบชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ขณะเดินทางกลับบ้านในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา
ขณะรอการเคลื่อนย้ายศพจากจุดที่เกิดเหตุ ผมตรวจรักษาผู้ป่วยที่ห้องฉุกเฉินไปพลางๆ นาฬิกาบนผนังบอกเวลาทุ่มเศษ ศพครูผู้เสียสละก็ยังไม่มา อาจเนื่องจากความยากลำบากและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจกลับบ้านพัก ตามคำเรียกร้องของกระเพาะอาหารและความแห้งผากของริมฝีปากและลำคอ จำได้ว่ามันได้น้ำหยดท้ายสุดไปเมื่อช่วงเที่ยงวัน มือที่ยกแก้วน้ำจึงสั่นราวกับเป็นน้ำดื่มแก้วแรกกลางทะเลทราย
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น "หมอคะ ศพเคลื่อนมาถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ" เสียงคุ้นหูที่ไม่อยากได้ยินเลยในเวลานี้
เหมือนไม่รู้ตัว ตอนนี้ผมกำลังเดินไปที่โรงพยาบาล เท้าที่สาวไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดสลับแสงไฟเป็นระยะๆ เค้าลางของต้นไม้ทรงพุ่มข้างทางที่ดูเป็นระเบียบสวยงามสะกิดให้ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นในใจอย่างมากมาย ภาพอดีตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาช่างแจ่มชัดจนเหมือนว่าผมกำลังอยู่ในเหตุการณ์ นั้นอีกครั้ง เหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอ
* เรื่องของใหญ่
ภาพชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวสีแทน หน้าตาซื่อๆ แบบคนชนบททั่วไป พูดน้อย แต่ความขยันกลับไม่น้อยตามคำพูด ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดทักทายทุกคนอย่างจริงใจ จนเป็นที่รักของทุกคนในโรงพยาบาล เขาชื่อ “ใหญ่” เป็นคนสวน
ผมกับใหญ่คุยกันน้อยมาก แต่กลับรู้สึกสนิทกันอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่ทักทายกันทุกเช้า
ทันใดนั้น ภาพผมกำลังใช้อุ้งมือกดที่หน้าอกเพื่อปั๊มหัวใจช่วยชีวิตใหญ่กลับผุดแทรก ขึ้น ใหญ่โดนยิงขณะขี่รถมอเตอร์ไซด์มาทำงานในตอนเช้า แต่เป็นเช้าที่เช้ากว่าปกติ เพราะมีงานค้างอยู่มาก ใหญ่จึงมาเช้าเป็นพิเศษ หลังทราบข่าวว่าใหญ่ถูกนำส่งโรงพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุ ผมจึงตามไปดูอาการ
ผนังหน้าอกของใหญ่ส่งเสียงดังกรึ๊บกร๊าบตามแรงมือของผมที่กดลงบนผนังปอด ที่ถูกยิงทะลุจนลมรั่วออกแทรกตัวอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในหูผม ใบหน้าของใหญ่ที่คอยยิ้มแย้มตลอดเวลาดูอ่อนล้าเต็มที
หัวใจใหญ่หยุดเต้นแล้ว แต่ผมยังไม่หยุด ผมยังปั๊มหัวใจอยู่ด้วยความหวัง ..หวังจะให้หัวใจของคนดีคนหนึ่ง กลับมาเต้นใหม่ หวังจะเห็นรอยยิ้มของใหญ่กลับมาทักทายผมทุกเช้าอีก ผมต้องพยายามเต็มที่ เหงื่อบนใบหน้าผมหยดลงบนหน้าอกใหญ่ หยดแล้วหยดเล่า ไม่ต่างไปจากน้ำตาที่มีให้เพื่อนที่ลาจากไป
...ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง รอยยิ้มนั้นหายไปกับกระสุนปืนที่วิ่งผ่านร่างของใหญ่ไปในเช้าวันนั้น
* คิดถึง "อัมรัน"
ภาพพยาบาลหนุ่มที่ชื่อ อัมรัน ปรากฏชัดเจนไม่แพ้ภาพของใหญ่ หนุ่มร่างท้วม มีเคราน้อยๆ ผิวคล้ำ บุรุษผู้เสียสละท่ามกลางเพื่อนพยาบาลสาว อาสามาอยู่แทนในอำเภอแห่งนี้ที่กันดารและเสี่ยงภัย เป็นพยาบาลน้องใหม่อยู่มาประมาณ 1 ปี อัมรันเป็นผู้ชายนิสัยดี คอยช่วยเหลือพี่ๆ พยาบาลเท่าที่ตัวเองทำได้ จนเป็นที่รัก และเมื่อข่าวอัมรันถูกยิงมาถึงโรงพยาบาล ผู้ที่อยู่เวรวันนั้นแทบช็อก บางคนถึงกับร้องให้โฮ ส่วนผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
"ทำไม" ผมเปรยกับตัวเอง แม้รู้ว่าไม่มีคำตอบ แต่คำถามนี้กลับยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด จนผมมายืนอยู่หน้าศพอัมรัน บรรยากาศมีแต่ความโศกเศร้า การจากอย่างกะทันหันย่อมนำไปสู่การทำใจไม่ได้ของผู้เป็นพ่อแม่ เสียงร้องไห้ปนเสียงสะอื้น ช่างรันทดเหลือเกิน
ขณะกำลังอาบน้ำศพก็พบว่า แผลที่ถูกยิงบริเวณกลางหลังมีเลือดไหลไม่หยุด ราวกับจะฟ้องคนที่ยิงว่าเจ้าของเลือดยังไม่อยากหยุดชีวิตที่ยังหนุ่มแน่นไว้ แค่นี้ ความฝันของคนเพิ่งจบการศึกษาที่อยากทำอะไรมากมาย ไม่อยากหยุดที่ตรงนี้
สีแดงของเลือดดูร้อนแรง ราวกับจะบอกว่า เขายังมีพลังมากมาย พลังที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่นตามวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ทำไมต้องมาทำกับเขาแบบนี้
ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้ตกแต่งศพยังไม่สามารถหยุดการไหลของเลือด ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามต่อได้ จนผมต้องมาเย็บแผลนั้นด้วยมือของผมเอง
...คิดถึงทั้งใหญ่ และอัมรันแล้ว ผมรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างที่เดินอยู่นั้นมันล้าเต็มที
ภาพศพอื่นๆ อีกมากมายยังประดังมาไม่ขาดสาย ศพทหารผู้กล้าที่โดนยิง โดนระเบิด แล้วต้องจบชีวิตบนปลายด้ามขวานนี้ ภาพศพของชาวบ้านที่รู้จัก ทำไมมันมากมายจนผมนับตามไม่ไหว เหนื่อยเหลือเกิน
* ธงชาติแด่คุณครู
ภาพต่างๆ หยุดฉายลงพร้อมเท้าที่หยุดชั่วขณะ ผมมาถึงตัวโรงพยาบาลแล้ว แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี
ศพที่ปรากฏเบื้องหน้า นอนอยู่บนเปลหน้าห้องฉุกเฉิน ไม่สามารถเข็นเข้าไปในห้องได้ อันเป็นผลจาก แขนทั้งสองข้างของร่างที่ไร้วิญญาณ กางออกกว้างและแข็งเกร็งจากเปลวไฟที่เผาไหม้จนเอ็นและกล้ามเนื้อทั้งตัวแข็ง ตึงจนไม่สามารถดัดงอได้
สภาพศพที่ดำเกรียมโดยเฉพาะส่วนศีรษะที่ถูกเผาจนไม่เหลือสภาพเดิม ผสมผสานกับกลิ่นไหม้ฉุนคลุ้งไปทั่ว กลิ่นแรงจนชวนอาเจียน
ศพที่น่าอเนจอนาถนี้ย่อมไม่เหมาะที่จะตั้งไว้ประเจิดประเจ้อ ผมจึงให้คนงานเข็นเปลเคลื่อนย้ายศพเข้าในห้องเอ็กซเรย์ที่ประตูกว้างพอ แล้วผมก็เริ่มขั้นตอนการพิสูจน์ศพ โดยมีพยาบาลคอยจดบันทึกลักษณะบาดแผลตามคำบอกของผม
ผมเพ่งพินิจมองศพอย่างตั้งใจ ไล่เรียงตั้งแต่ส่วนศีรษะลงไป เห็นส่วนกะโหลกศีรษะซ้ายหลุดหายไปประมาณอุ้งฝ่ามือเนื่องจากแรงกระสุน เปิดให้เห็นเนื้อสมองสีขาวปนไขมันเยิ้ม เนื้อก้อนนี้เคยทำให้ร่างไร้วิญญาณร่างนี้อ้าปากสั่งสอน ยกแขนหยิบชอล์คเขียนกระดานดำเพื่อบ่มเพาะคนจำนวนนับไม่ถ้วนให้มีความรู้ ใบหน้าผู้ตายไม่สามารถบอกถึงเค้าหน้าเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ได้เลย เนื่องจากแรงไฟที่ร้อนจนทำให้เนื้อหนังหายไปหมด
ถัดจากศีรษะ ก็เป็นส่วนลำตัว แขน และขาที่ถูกเผาจนไหม้ ยกเว้นส่วนมือและแขนท่อนล่างขวาที่ไม่โดนเผา นับว่าโชคดี เพราะลายนิ้วมือบนมือขวาข้างนี้จะช่วยพิสูจน์ตัวบุคคลได้
ปัญหาใหญ่ต่อมาหลังพิสูจน์ศพก็คือการตกแต่งศพ เพราะหากญาติมาเห็นสภาพศพตอนนี้คงทำใจไม่ได้ แต่ตอนนี้พยาบาลมา รวมตัวกันไม่น้อย เมื่อมีกำลังคนมากขึ้นการแต่งศพกลับไม่ยากอย่างที่กังวล กระบวนภาพแห่งความร่วมมือร่วมใจเริ่มจากการนำผ้ามาผูกบริเวณขาที่กางออก เนื่องจากขากางออกไม่มากเท่าแขนจึงผูกให้ชิดกันได้ง่าย แล้วจึงจัดแจงใส่เสื้อผ้าผู้ป่วยของโรงพยาบาลให้กับผู้ตาย เนื่องจากญาติไม่ได้นำเสื้อผ้ามาด้วย
เสื้อใส่ลำบากมาก แม้จะเป็นเสื้อโรงพยาบาลที่สวมใส่ได้ง่ายโดยสอดแขนทีละข้างแล้วผูกเชือกตรง กลาง แต่ด้วยความกว้างและแข็งตึงของแขนทั้งสองข้าง กว่าจะใส่ได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน นี่หากญาติเอาเสื้อผ้าของผู้ป่วยมาก็คงใส่ให้ไม่ได้แน่
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เราจึงค่อยมาผูกมืออันเป็นขั้นตอนที่ยากสุด ต้องค่อยๆ ดันแขนทั้งสองข้างเข้าหากัน ถ้าดันหรือดัดแรงเกินไปอาจทำให้ข้อต่อบางส่วนที่ถูกไฟเผาจนเนื้อกรอบเกรียม นั้นหักหรือหลุดออกได้ แต่เราก็ผูกมือทั้งสองเข้าหากันจนสำเร็จด้วยความตั้งใจและประณีต ไม่มีชิ้นส่วนที่หักหรือหลุดเลย
ขณะช่วยกันทำอยู่นั้น ผมสังเกตว่าพวกเราทุกคนมีความตั้งใจจะช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ได้มีเส้นแบ่งของคำว่าศาสนา ไม่มีเส้นแบ่งของคำว่าพุทธหรือมุสลิม ไม่มีเส้นแบ่งทางวัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์ และไม่มีความรังเกียจใดๆ ให้เห็นเลย
เมื่อศพห่อด้วยผ้าขาวแล้ว เราก็ช่วยกันกางผืนธงชาติห่มร่างครูผู้ล่วงลับ มองดูเหมือนมีพลังอย่างน่าประหลาด ธงชาติอันประกอบด้วยสีแดง ขาว น้ำเงินคล้ายจะรวมเอาจิตวิญญาณของผู้กล้าผู้เสียสละทั้งหมดไว้ที่ผืนธงชาติ ผืนนี้ ช่างเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีสำหรับข้าราชการผู้ล่วงลับไปแล้ว
สักพักหนึ่ง นายอำเภอพร้อมด้วยญาติผู้ตายเดินทางมาถึง นายอำเภอแนะนำผมให้รู้จักกับพ่อของครู สีหน้าท่านเคร่งขรึม สายตาที่แฝงด้วยความเศร้ามากมายกลับไม่พบรอยน้ำตาเลยในดวงตาคู่นั้น ท่านพูดกับผมว่า “ขอดูศพลูกชายได้ไหม” “ได้ครับ” ผมตอบกลับ หลังประเมินด้วยสายตาว่าบุคลิกที่เข้มแข็งพอๆ กับหินผานั้นคงจะเพียงพอที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะอยู่ตรงหน้า
เมื่อเดินมาถึงศพ พ่อผู้ตายถามว่า “ไหนส่วนหัว ส่วนขา ” เนื่องจากศพที่ถูกธงชาติคลุมนั้นดูไม่เห็นเป็นรูปร่างคน ผมจึงชี้ไปส่วนศีรษะ และบอกว่า “ตรงนี้ส่วนหัวครับ” พ่อผู้ตายพยักหน้าเชิงรับทราบ สายตาท่านเพ่งมองบนร่างไร้วิญญาณ มือซ้ายยกขึ้นช้าๆ ลูบศีรษะ และไล่ลงช้าๆ อย่างทะนุถนอมเท่าที่พ่อจะทำต่อลูกเป็นครั้งสุดท้ายได้ และตบลงบนลำตัวอย่างหนักแน่นหลายต่อหลายครั้ง ประหนึ่งจะบอกถึงความภูมิใจ ความรักต่อลูกชายคนหนึ่ง แล้วคำพูดที่แทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ขอให้ลูกไปสบายเถอะ ตัวพ่อแก่แล้ว คงทำได้แค่นี้” ประโยคสั้นๆ แต่ทำไมมันถึงเย็นเฉียบจนจับจิตเช่นนี้
ทิ้งระยะชั่วครู่ เขาก็พูดซ้ำ “ขอให้ลูกไปดีเถอะ พ่อแก่แล้ว คงทำอะไรมากกว่านี้ให้ลูกไม่ได้แล้ว”
อีกแล้ว คำพูดนี้เหมือนกับเคยได้ยินซ้ำๆ ใช่ มันเป็นคำพูดเมื่อ 2 - 3 เดือนก่อน คำพูดของพ่อของทหารพรานที่ถูกยิงเสียชีวิต และเดินทางมารับศพของลูกชายคนเดียว นึกแล้วเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากเคลื่อนศพมาไว้บนรถ และมีทหารขึ้นนั่งบนท้ายรถกระบะ คอยคุ้มครองศพและญาติผู้ตายส่งกลับไปจังหวัดยะลา ก่อนก้าวขึ้นรถ พ่อของครูผู้ล่วงลับ หันมาทางผมพร้อมยกมือไหว้ พร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ” ผมได้แต่ยกมือไหว้ตอบ พูดอะไรไม่ออก พูดไม่ออกเพราะสายตาคู่นั้นแสดงความขอบคุณอย่างมากมาย มากมายอย่างที่ผมนึกไม่ออกว่าผมทำอะไรมากมายให้เจ้าของสายตาคู่นั้น
พระจันทร์เคลื่อนคล้อยจนเกือบจะวางตำแหน่งตรงกับศีรษะ ดวงดาวบนท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ทำไมจึงฉายแสงพร่างพราวชัดเจนเช่นนี้ แสงอันสุกสว่างของมันวาววับขับกับท้องฟ้าที่มืดสนิท ผมคิดว่าผมไม่เคยเห็นแสงดาวสดใสอย่างนี้มาก่อนเลย
ถ้าดาวที่ทอแสงงามนี้มีหัวใจ ใจของมันจะงดงามสดใสเหมือนใจของผมในเวลานี้ไหมนะ