จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : ดาด้า
วันๆหนึ่ง หลายคนหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ว่า "มื้อกลางวันและเย็นนี้จะกินอะไรกันดี หรือมีอาหารร้านไหนเด็ดๆบ้าง" สักแต่ว่าจะเอาอะไรเข้าปาก
ฉะนั้นอย่าได้แคร์ว่าอาหารจะสะอาดถูกหลักอนามัยหรือ ไม่ แค่อร่อยถูกปากเป็นพอ หรือจะลำบากเดินทางไกลเพียงใดก็ไม่หวั่น แค่ไปให้ถึงร้านโปรดเป็นใช้ได้
เราหลงลืมไปหรือเปล่าว่า การกินของเราอาจสร้างปัญหาให้ดาวเคราะห์สีฟ้ามากมายขนาดไหน
หลายคนไม่รู้ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนแทรกอยู่ในกระบวนการผลิตอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการปลูก การเลี้ยง ขนส่ง แปรรูป ขาย ตลอดจนสิ่งที่เกิดตามมา หลังจากเรากินเข้าไปแล้ว เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรมในสังคม ล้วนทำให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน
หรือจะมองแค่ผลกระทบที่จะเกิดกับ "ตัวเอง" ก็น่าจะเดาออกว่า ถ้าเราไม่เปลี่ยนนิสัยการกินเสียแต่วันนี้ ก็จะไม่เหลืออะไรให้เรากินในอนาคตอยู่ดี
เพราะทุกวันนี้ เราพึ่งพาบรรษัทเกษตรและอเาหาร และคอยฟังยุทธศาสตร์ควบคุมระบบอาหารโลก ที่เอื้อการร่วมทุนที่มีขนาดใหญ่มากให้ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ทำให้ต้นทุนต่ำ กำไรสูง โดยไม่ใส่ใจว่ากระบวนการผลิต สกัด จำหน่าย และกำจัดของเสียจะเป็นอย่างไร
อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีทางเกษตร ส่งการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและจีเอ็มโอ (GMOs) มาทำลายความหลากหลายของพันธุ์พืชอาหาร และเปลี่ยนสมดุลระบบนิเวศ แล้วเราจะหาพันธุ์พืชอาหารธรรมชาติจริงๆได้ที่ไหน
ส่วนเกษตรกรก็ถูกบีบให้ปลูกพืชปรับ ปรุงพันธุ์ที่บรรษัทเป็นเจ้าของ แต่กลับได้รับส่วนแบ่งต่ำลงเรื่อยๆ แถมทรัพยากรธรรมชาติยังถูกผลาญมาเป็นแหล่งพลังงานในการขนส่ง และแปรรูปบรรจุภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่
โดยที่เรากลายเป็นแค่ "ผู้บริโภค" ซึ่งถูกครอบงำความคิดด้วยโฆษณาชวนเชื่อ ทิ้งให้อาหารธรรมชาติค่อยๆตายจากความคิด ของเราไปเรื่อยๆ
จึงมีคนกลุ่มหนึ่งริเริ่มโครงการรณรงค์กินเปลี่ยนโลก เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของคน โดยสร้างวิธีคิดใหม่ ร่วมกันทำให้โลกของเราน่าอยู่ เพื่อนร่วมโลกมีความสุข และร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นด้วยวิธีการง่ายๆ แค่พิจารณาอาหารอย่างใส่ใจ ตามกฎ "3 เลือก"
- เลือกอาหารที่ดี มีคุณค่า วัตถุดิบที่นำมาปรุงมีคุณภาพดี สดใหม่ ใส่ใจทุกขั้นตอนการปรุง และมีคุณค่าทางโภชนาการ
- เลือกอาหารที่สะอาดทุกขั้นตอน ทั้งก่อนและหลังที่เรากินเข้าไป ไม่ก่อมลพิษให้สิ่งแวดล้อม ไม่ล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ
- เลือกอาหารที่เป็นธรรมต่อทุกคน ที่เกี่ยวข้องในสายพานการผลิต ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย คนงานในการขนส่งแปรรูป พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย จนถึงคนกิน จะต้องไม่มีใครถูกเอารัดเอาเปรียบ
คราวนี้ มีตัวอย่างง่ายๆสำหรับเปลี่ยนโลกให้ลองทำกันดู
เริ่มแรก ตั้งกฎว่าจะไม่กินอาหารสำเร็จรูปกันก่อน เพราะมันมีคุณค่าทางอาหารน้อย แล้วเปลี่ยนมาทำอาหารกินเองที่บ้านดีกว่า จะทำเพื่อความเพลิดเพลินเจริญใจของตัวเอง หรือสานสัมพันธ์ร่วมกันของคนในครอบครัวก็สุดแล้วแต่
ลองเหลียวมองไปรอบๆบ้านสักนิดว่าเคยสร้างสวนสวยกินได้ เราปลูกพืชผักสวนครัวไว้บ้างรึเปล่า เช่น โหระพา กระเพรา สะระแหน่ พริก ตะไคร้ ใบเตย หรือมีถั่วพลู บวบ เลื้อยตามรั้วบ้างไหม แล้วลองเด็ดพวกมันมาปรุงอาหารที่สด สะอาด มีคุณค่า ปลอดภัย และยังลดค่าใช้จ่ายไปในตัว แล้วแบ่งปันอาหารปรุงสุดสดใหม่ให้เพื่อนบ้าน ข้างเคียงดูสิ เราจะรู้สึกว่าโลกจะเย็นขึ้นทันที
หากอยู่บนตึกสูงไร้พื้นดินไว้ทำเกษตรขนาดย่อม โปรดไปเดินตลาดสด อุดหนุนคุณป้าคุณยาย ก่อนที่ตลาดไม่ติดแอร์แบบนี้จะวายไปจากเมืองไทย หรืออุดหนุนร้านค้ารายย่อย ให้ร้านทางเลือก ร้านโชว์ห่วยลืมตาอ้าปากได้อย่างเคย และหันมาเลือกซื้ออาหารท้องถิ่น เพื่อช่วยเศรษฐกิจชุมชน กระจายเงินสู่มือคนจน รักษาวิถีภูมิปัญญา ร่วมกันฟื้น คืนค่ายใยแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างเกษตรกรกับผู้บริโภค และเชิดใส่ผัก ผลไม้นอกฤดูกาล เพราะพวกมันใช้สารเคมีเร่ง และใช้น้ำมากกว่าปกติในฤดูแล้ง ใช้พลังงานในการจัดการมากขึ้น แถมยังมีราคาแพงอีกด้วย
เวลาไปเลือกซื้อ ท่องเอาไว้ในใจเสมอว่า ต้องถามที่มาของวัตถุดิบ ลองพิถีพิถัน เจ๊าะแจ๊ะกับสิ่งที่เราจะกินสักหน่อยเถิด เช่น พันธุ์อะไร ปลูกที่ไหน ใครปลูก ฉีดยาฆ่าแมลงหรือเปล่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสด ทุกคำถามสร้างการเรียนรู้ใหม่ๆ ถ้าพ่อค้าแม่ขายรู้ลึกรู้จริงว่ามันเป็นผักจีเอ็มโอ หรือ ใช้สารเคมี อาทิ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลีน บอแรกซ์ ผงชูรส หรือสารกันบูดแล้วล่ะก็ จงเดินเลี่ยงไปอุดหนุนร้านอื่นดีกว่า
เชื่อเถอะว่า สไตล์การกินที่ถูกต้องทำให้สุขภาพกายและใจดีขึ้นฉันใด "ปากของเรา" ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งโลกได้ฉันนั้น