สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิด เส้นทางทัวร์ทีมการค้ามะกัน ปักธง ตลาดเกิดใหม่ เป้าหมายส่งออก

จากประชาชาติธุรกิจ



รัฐบาล สหรัฐส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังตระเวน ทัวร์จีน อินเดีย บราซิล และตลาดที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเจรจาให้ซื้อสินค้าอเมริกันเพิ่ม ตามยุทธศาสตร์เพิ่มการส่งออกเป็น 2 เท่า ใน 5 ปี

ฟรานซิสโก ซานเชซ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ฝ่ายกิจการการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า 95% ของผู้บริโภคทั่วโลกอาศัยอยู่นอกสหรัฐ ดังนั้นสหรัฐจะให้ความสำคัญไปยังตลาดที่มีศักยภาพและมีอำนาจซื้อ

ก่อน หน้านี้ ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มการส่งออกเป็น 2 เท่า ระหว่างแถลงนโยบายประจำปี และได้ตั้งคณะทำงานระดับรัฐมนตรีเพื่อผลักดันให้บรรลุผลตามเป้าหมายดังกล่าว

แผน ริเริ่มดังกล่าวมีสาระครอบคลุมถึงการเพิ่มการสนับสนุนแก่ผู้ส่งออก รวมทั้งการผลักดันให้มีการบังคับใช้ข้อตกลงทางการค้า เพื่อให้แน่ใจว่า ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการเปิดตลาด

ในส่วนของซานเชซ ซึ่งได้เริ่มภารกิจใหม่ของเขาตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม มีกำหนด เยือนจีนและบราซิลในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นจะเดินทางไปเยือนอินเดียและซาอุดีอาระเบียในเดือนมิถุนายน จากนั้น จะมีการเดินทางเยือนแคนาดาและเม็กซิโกในเดือนถัด ๆ ไป

การ เดินทางเยือนจีนเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนการค้า นำโดย แกรี ล็อค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่พลังงานสะอาด ในเงื่อนเวลาที่คาบเกี่ยวกับการประชุมทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐ และจีนในปีนี้ที่กรุงปักกิ่ง

จีนกลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญใน ยุทธศาสตร์การค้าของสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐกำลังมีปัญหาทั้งการว่างงานที่อยู่ในอัตราสูง และการขาดทุนการค้ากับจีนเป็นตัวเลขมหาศาล ซึ่งได้เพิ่มแรงกดดันต่อประธานาธิบดีโอบามาให้ต้องใช้จุดยืนที่แข็งกร้าวต่อ จีนในประเด็นค่าเงินและปัญหาการค้าอื่น ๆ

ซานเชซเปิดเผยว่า สหรัฐจะกดดันจีนในประเด็นที่ข้อกังวลอย่างชัดแจ้ง แต่ก็เป็นไปในแนวทางที่จะเพิ่มการค้ามากกว่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย

ปลัด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐย้ำด้วยว่า ทั้งสหรัฐและจีนจำเป็นจะต้องบริหาร ความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเพิ่มความตึงเครียดในแนวทางที่ไม่ก่อให้ เกิด ผลประโยชน์ใด ๆ ต่อทั้งสองฝ่าย

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ซานเชซเปิดเผยว่า จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ส่งออกที่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีกทั้ง รัฐบาลจะเพิ่มการสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ อาทิ โบอิ้ง เพื่อให้ได้ประโยชน์จาก แรงกดดันอย่างเป็นมิตรของรัฐบาล

ขณะ เดียวกัน ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ประกาศเดินทางเยือนจีนในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่กรุงปักกิ่ง โดยเป็นการพบปะหารือกับ รองนายกรัฐมนตรีหวาง ฉีชาน ของจีน ในประเด็นอัตราแลกเปลี่ยน

วอลล์สตรีต เจอร์นัล อ้างคำเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐไม่ได้คาดหวังว่าการหารือครั้งนี้จะบรรลุข้อตกลงอัตรา แลกเปลี่ยนที่เป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้มีสัญญาณด้านบวกว่า รัฐบาลจีน อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการปล่อยหยวนให้แข็งค่าขึ้น

แผน การเดินทางเยือนจีนของไกธ์เนอร์ มีขึ้นอย่างฉุกละหุก เพียงไม่กี่วันหลังจากกระทรวงการคลังได้ประกาศชะลอการตัดสินใจว่าจะจัดให้ จีนเป็นประเทศที่มีการแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่าง ไม่เป็นธรรมหรือไม่ออกไปก่อน อีกทั้งการเยือนจีนของไกธ์เนอร์ยังมีขึ้นก่อนหน้าการประชุมสุดยอดระหว่าง ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และประธานาธิบดีโอบามา ในสัปดาห์หน้าด้วย ซึ่งคาดว่าประเด็นค่าเงินจะเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของการพบปะของสองผู้นำด้วย

วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ตั้งข้อสังเกตว่า การแสวงหาทางออกในประเด็นค่าเงิน เป็นไปได้ยาก เนื่องจากทั้งสองประเทศ ต่างมีผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยสหรัฐต้องการให้เกิดผลบางประการ หลังจากได้เปิดช่องให้จีนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ฝ่ายจีนต้องการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ถูกมองว่าโอนอ่อนผ่อนตามแรงกด ดันของสหรัฐ

ที่ผ่านมาไกธเนอร์ได้ย้ำมาตลอดว่า การตัดสินใจเรื่องค่าเงินตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของจีนเอง ประกอบกับการพบปะกับรองนายกรัฐมนตรีหวางครั้งนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐต้องการชี้แจงให้ฝ่ายจีนตระหนักว่า เศรษฐกิจจีนจะได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่น มากขึ้น โดยอ้างถึงปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ข้อจำกัดของอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ต่อความสามารถในการดำเนินนโยบาย การเงินและความต้องการเป็นประเทศที่ลดการพึ่งพาการส่งออก

ทั้งนี้ ครั้งล่าสุดที่ทางการจีนขยายช่องการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวน คือ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ก่อนหน้าการเจรจา เจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างสหรัฐและจีน การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นไป 0.5% ต่อวัน จากอัตราอ้างอิง เมื่อเทียบกับเพดานการเคลื่อนไหวบวกลบไม่เกิน 0.3%

อย่าง ไรก็ตามยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดว่า จีนจะดำเนินการเพื่อปรับค่าเงินหยวนรวดเร็วมากพอที่จะสร้างความพอใจให้กับ นักการเมืองสหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการผลักดันให้ออกกฎหมายกำหนดให้สหรัฐลงโทษด้วยการตั้งกำแพง ภาษีนำเข้า รวมถึงมาตรการลงโทษอื่น ๆ ต่อประเทศที่ ล้มเหลวในการจัดการปัญหาค่าเงินที่ สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานหรือไม่

ด้าน จาง หยวนเฉิง ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติ ระบุเมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมาว่า จีนอยู่ระหว่างการทำงานเพื่อปรับไปสู่อัตราแลกเปลี่ยนที่อิงกลไกตลาด

อย่าง ไรก็ตามความพยายามของรัฐบาลได้ล่าช้ามานานหลายปี เนื่องจากเผชิญกับวิกฤตการเงินในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงภาวะอัตราเงินเฟ้อที่สูงของจีนในช่วงกลางทศวรรษ 1990 วิกฤตการเงินเอเชียในปี 2540-2541 และวิกฤตการเงินโลกปี 2551

view