จาก โพสต์ทูเดย์
แค่ปิดเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างราชประสงค์ธุรกิจก็เดือด ร้อนพออยู่แล้ว หากม็อบลุยด่านไปถนนสีลมได้จริงๆ เศรษฐกิจไทยคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
โดย...ทีมข่าวการเงิน
ธุรกิจหลายแห่งทุ่มลงทุนทั้งเงินและพนักงาน หวังจะโกยเงินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปรากฏว่าเจอม็อบแดงปิดแยกราชประสงค์ ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ทำให้ทุกอย่างพังครืน
กำไรที่คิดว่าจะได้ “หด” – ทุนที่ลงไว้ค่อยๆ “เลือนหาย”
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ค้าปลีก โชห่วย เอสเอ็มอี ธุรกิจบริการสปา ภาคขนส่งสินค้า สนามบิน ท่าเรือ ร้านอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ฟาสต์ฟู้ด เปรียบเสมือนห่วงโซ่ทางธุรกิจ ที่กำลังเหี่ยวแห้งไปตามๆ กัน สุดท้ายอาจลามไปถึงความเชื่อมั่นของ ลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อ “ออร์เดอร์” ของผู้ส่งออก
กระทรวงการคลังประเมินผลกระทบทางตรงว่างานนี้เสียหาย 2 หมื่นล้านบาท
แต่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า ถ้ารวมเกิดผลต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และม็อบไปสีลมด้วย อาจ มีผลกระทบมหาศาลถึง 7 หมื่นล้านบาท!!!
แน่นอนในระยะสั้นธุรกิจจะเกิดภาวะ “เงินชอร์ต” แต่ในระยะกลาง ธุรกิจต้อง “ลอยแพ” พนักงาน ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะสูง โดยเฉพาะในสาขาที่มีธุรกิจอยู่ในพื้นที่ชุมนุมหรือมีเครือข่ายธุรกิจที่ เชื่อมโยงกับธุรกิจในย่านราชประสงค์ และจะมีผลต่อแนวโน้มการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อย่างยากที่จะหลีก เลี่ยง ลูกค้าของธนาคาร อาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมในแง่ของกระแส เงินสด คุณภาพสินทรัพย์ ตลอดจนความต้องการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อ
รวมไปถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาคหรือแนวโน้มเศรษฐกิจในภาพ รวม ที่อาจชะลอตัวลงจากการสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยว และการชะลอตัวของการ ใช้จ่ายของผู้บริโภค
หากสถานการณ์การเมืองยังคงยืดเยื้อออกไป แผนการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ทั้งการรุกสินเชื่อและการดึงเงินฝาก เพื่อเตรียมขยายธุรกิจในปีนี้ อาจจะต้องถูกทบทวน
ตัวอย่างรูปธรรมที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีของร้านค้าย่อยในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ เตรียมออกมาขอให้ทางห้างลดค่าเช่าลง หลังจากตั้งแต่การชุมนุมกว่า 2 สัปดาห์ ร้านค้าเหล่านี้ยังไม่มีรายได้เข้ามา มีแต่รายจ่ายที่ต้องเลี้ยงลูกจ้างต่อไป
ขณะที่ร้านค้าย่านสยามสแควร์ ที่เคยเป็นแหล่งช็อปปิ้งเงินสะพัด ก็กลายเป็นธุรกิจที่ “ง่อยเปลี้ยเสียขา” ร้านรวงปิดเงียบ โรงเรียนสอนพิเศษร้างเด็กนักเรียน ร้านอาหารบางแห่งปิดชั่วคราว บางร้านที่เปิดก็มีการลดปริมาณอาหารการกินลง
โรงภาพยนตร์ที่เคยเป็นศูนย์รวมความบันเทิง อย่างโรงหนังสยาม สกาลา ลิโด้ กลายเป็นที่หลบแดดฝนให้คนเสื้อแดง บางรอบมีคนดู ไม่ถึง 5 คน บางรอบไม่มีคนดู เจ้าของโรงหนังก็ต้องปิดโรง ปล่อยให้ “จอ มืด” เรียกว่าลูกค้าหายเกลี้ยง จากปกติจะเป็นนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานมาใช้บริการ โรงหนังยังงดให้บริการสำหรับรอบ 6 โมงเย็น และ 2 ทุ่ม เพราะนอกจากคนดูน้อยแล้วยังเพื่อความปลอดภัยของสถานที่
ย้ายไปดูร้านค้าในย่านถนนสีลม ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน
ด้านร้านวัตสัน สาขาอาคารซีพีทาวเวอร์ ได้ปิดประกาศหยุดให้บริการเร็วขึ้นจาก 24.00 น. เป็น 21.00 น. โดยชี้แจงลูกค้าว่าเนื่องจากมีเหตุความไม่สงบทางการเมือง ทั้งนี้ พนักงานร้านได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ได้ร่นเวลาปิดทำการเร็วขึ้นตั้งแต่มีการชุมนุมคนเสื้อแดงย่านราชประสงค์ แต่ยังไม่เคยปิดร้าน
เช่นเดียวกับร้านแมคโดนัลด์ สาขาอาคารซีพีทาวเวอร์ ได้ปิดประกาศขอหยุดทำการในเวลา 22.00 น. จากเดิมสาขาเปิดตลอด 24 ชั่วโมง
หากนึกย้อนไปถึงการเทเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน มี.ค. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่มีใครคิดว่าม็อบจะเดินไปไกลจนถึงวันนี้ ปิดที่แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นเส้น เลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ
และถ้าวันที่ 20 เม.ย. ม็อบลุยด่านสกัดไปถนนสีลมปิดหน้าแบงก์กรุงเทพได้จริงๆ เท่ากับว่า เศรษฐกิจไทยป่นปี้ไม่มีชิ้นดี...
มีการคาดการณ์ว่าจีดีพีไตรมาสแรก 2553 จะเติบโตถึง 9% แต่ไตรมาส 2 คิดว่าคงดูไม่จืด!!!
เหมือนกับว่าตอนนี้นักธุรกิจกำลังถูกปัญหาทางการเมือง “สูบ เลือด” การปิดถนนราชประสงค์ก็คือการเจาะเข็มฉีดยาเข้า ไปยังเนื้อหนังมังสาของภาคเอกชน มันเจ็บปวด เจ็บแปลบ เจ็บแค้น และเดือดดาล ที่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น การใช้เศรษฐกิจเป็นตัวประกัน ไม่ต่างอะไรกับการเรียกค่าไถ่คนไทยทั้งประเทศ
งานนี้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไป 4.6 หมื่นล้านบาทแล้ว ก็คงยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น!!