จากประชาชาติธุรกิจ
นายปรีชา ส่งกิตติสุนทร ผู้อำนวยการกองข่าว สำนักราชเลขาธิการ เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 เมษายน กรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย (พท.) อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ จะขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก้ไขปัญหาบ้านเมืองนั้น พล. อ.ชวลิต ได้มอบหมายให้ผู้แทนมายื่นหนังสือเพื่อขอพระราชทานเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับความคิดเห็นต่างๆ ของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อย่างรอบคอบ โดยจะต้องพิจาณาถึงความเหมาะสมเป็นหลัก เพราะการขอเข้าเฝ้าฯ ทำในนามของประธานพรรคเพื่อไทย เมื่อทุกขั้นตอนเสร็จสมบูรณ์ตามระเบียบปฏิบัติของสำนักราชเลขาธิการ ทางราชเลขาธิการก็จะได้นำความกราบบังคมทูลต่อไป
"สมชาย"โยน"จิ๋ว"ตอบขอพระมหากรุณาธิคุณ ไม่รู้เรื่อง"ท่านผู้หญิงจ.จ."
จากประชาชาติธุรกิจ
เมื่อวันที่ 21 เม.ย.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ(กสม.) เข้าพบ ว่า ไม่ได้หารือกรณีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ขอพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกสม.ก็ไม่ได้สอบถามในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเห็นว่าเรื่องที่พล.อ.ชวลิตได้พูดออกไปเป็นสิ่งหนึ่งที่ประชาชน คนไทยมีความผูกพัน คนไทยทุกคนที่มีความจงรักภักดีความผูกพันอย่างสูงยิ่งต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์ ซึ่งพวกเราทุกคนให้ความเคารพ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นและมองไม่เห็นว่าเหตุการณ์จะสงบลงได้ก็มองถึงพระบารมี พระมหากรุณาธิคุณเป็นสิ่งที่คิดและยังเป็นการให้ความเคารพ ความเทิดทูนในสถาบันเบื้องสูง หากพระบารมีจะปกแพร่ไพศาลมายังประชาชนแล้วก็เกิดความร่มเย็นเป็นสุขขึ้น
เมื่อถามว่ามีสัญญาณจากข้างบนมาอย่างไรบ้าง นายสมชาย กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ถ้าพล.อ.ชวลิตท่านทราบจะลองถามท่านดู ที่พูดไปตนถือว่าพล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่ท่านเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อนหลายๆท่าน เคยเป็นผู้นำกองทัพ เคยรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ตนขอยกให้พล.อ.ชวลิต เป็นผู้นำในเรื่องนี้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง อ้างว่ามีข้อมูลว่า "ท่านผู้หญิงจ.จ." โทรศัพท์หาผบ.ทบ.เพื่อขอให้ดำเนินการสลายการชุมนุม นายสมชาย กล่าวว่า ไม่รู้จักใครสักคน ไม่รู้จักใครจริงๆ ตนไม่ค่อยไปยุ่งกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราต้องเจียมเนื้อเจียมตัวหน่อย
"อานันท์"ระบุ"ชวลิต-สมชาย"ไม่เข้าข่ายมีสิทธิ์เข้าเฝ้าฯ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อดีตนายกฯระบุ สังคมพัฒนาไปแค่รูปแบบปชต.ไม่พอ เผยคนเข้าเฝ้าฯได้ต้องอยู่ตำแหน่งใน3อำนาจรัฐ และทำเงียบๆ สงสัยทำไม"ชวลิต"ป่าวร้อง แนะมีสติเจรจา
ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ถนนวิภาวดีรังสิต นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระ กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมทำความตกลงในกาจัดตั้ง องค์การอิสระ และคัดเลือกกรรมการบริหารองค์การอิสระตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
โดยระบุว่า ในโลกปัจจุบันทุกประเทศไม่มีใครปฏิเสธการปกครองของประเทศของเขาว่าไม่ใช่การ ปกครองที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งครั้งหนึ่งประชาธิปไตยเป็นคำที่มีความหมายมาก และขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะปกครองประเทศดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ทุกประเทศก็เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย และการปกครองระบอบนี้อาศัยสาระสำคัญคือการมีรัฐธรรมนูญ การจัดการเลือกตั้ง การมีรัฐสภา ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่ในระยะ 30-40 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยพัฒนาไปค่อนข้างมาก ความสำคัญในหลักการเดิมจะไม่ได้น้อยลงไป แต่มีประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในสาระเดิมคือหัวใจและความเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยว่าคืออะไร
"ที่ผ่านมาอาจจะให้ความสำคัญเพียง เรื่องรูปแบบเท่านั้น แต่ปัจจุบันคงไม่พอแล้ว แต่เราต้องให้โครงสร้างพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหนึ่งในกระบวนการนี้คือภาคสังคม โดยคำนึงถึงสิทธิและหน้าที่ และขึ้นอยู่กับว่าประชาชนมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน และแก่นสารของเรื่องอยู่ที่ว่าประชาชนมีส่วนในกระบวนการพิจารณาตั้งแต่ต้นจน จบหรือไม่"
จากนั้น นายอานันท์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประสานงานไปสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณยุติปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองขณะนี้ ว่า ตนไม่ทราบความตั้งใจของ พล.อ.ชวลิต และนายสมชาย แต่ในฐานะที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อน ก็น่าจะทราบดีว่าการขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ประธานสภา หรือมีตำแหน่งที่จะนำความไปขอพระราชทานคำปรึกษา แต่การเข้าเฝ้าตามปกติ ส่วนใหญ่เป็นการทำแบบเงียบๆ ทำตามระเบียบแบบแผน จึงไม่เข้าใจว่าการทั้งสองที่ออกมาประกาศในที่สาธารณะเป็นความถูกต้องหรือ ไม่ เพราะถือว่าไม่เป็นไปตามแบบฉบับที่เคย เป็นมา เมื่อถามว่ามีนัยอะไรหรือไม่ นายอานันท์ บอกไม่ทราบ
นายอานันท์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ในสังคมมีหลายประเด็นที่ถกเถียงในทางสาธารณะ แต่ประเด็นที่แต่ละคนแต่ละกลุ่ม หยิบมาต้องมีการดูแลและมีความสำคัญต่ออนาคตของสังคม และระเบียบวาระต้องทำไปตามขั้นตอนคงไม่สามารถทำได้พร้อมกัน และต้องดูความเร่งด่วนก่อนและหลัง โดยส่วนตัวเห็นว่าสิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือรัฐบาลต้องยัยยั้งความวุนวาย โกลาหล และต้องรีบนำความสงบกลับคืนมา ไม่เช่นนั้นจะนำไปสู่ ความหายนะทางสังคม ความขัดแย้งตอนนี้ เป็นการทะเลาะเบาะแว้งในระดับหัวหน้า แต่กลับทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนและหมดโอกาสทำมาหากิน
"ขณะนี้ผมเสียใจที่เห็นประชาชนต้อง เดือดร้อน ต้องนั่งตากแดดตากฝน ไม่มีโอกาสทำมาหากิน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องยอมรับว่าเป็นคนจน ส่วนคนรวยคงไม่ลำบากไม่ว่าจะอยู่สีไหน อย่างไรก็ตาม อยากเห็นการพัฒนาของสังคมส่วนรวม ไม่ว่าจะพูดอยู่ที่นี่ หรือเดินขบวนอยู่ในท้องถนนก็อยากให้มีความสงบ มีความเป็นระเบียบถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่มีแต่ความดุเดือด ความเกลียดชัง และความอาฆาตพยาบาท ถึงเวลาที่ต้องนำความสงบกลับมา” อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุ
เมื่อถามถึงทางออกในการแก้ปัญหาด้วยการ เจรจาของทั้งสองฝ่ายนั้น นายอานันท์ กล่าวว่า ถ้าจะคุยกันมานั่งห้องเดียวต้องคุยกันว่าประเด็นที่จะคุยกันคือเรื่องอะไร มีระเบียบวาระเพราะไม่อย่างนั้นก็จะมาเถียงกันพูดกันคนละทาง และคงไม่สามารถเจอกันได้ ทั้งนี้ สำหรับตนคิดว่าไม่เคยปิดเรื่องการเจรจา ถ้าตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังมีสติ มองประโยชน์ของสังคมก็ยังสามารถพูดคุยกันได้ และอยากให้เจรจากัน เมื่อถามถึงกรณีการเผยแพร่สติ๊กเกอร์รัฐไทยใหม่นั้น นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ว่าใครเป็นคนเริ่มต้น อย่างไรก็ตามแล้วรัฐเก่าจะเอาไปไว้ที่ไหน