จากประชาชาติธุรกิจ
คนในซอยชอบมาขอให้ผมคุยเรื่องการเมืองให้ฟัง เพราะผมวิจารณ์ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อหลากสี หรือพวกสมาร์ตตี้ แบบไม่เลือกข้าง
วันหนึ่ง ป้าที่อยู่ท้ายซอยรี่เข้ามาหาผม แล้วคุยเรื่องการเมือง เธอว่าน่าสงสาร นายกฯอภิสิทธิ์ จังเลย (นะ) เสื้อแดงยังไม่ทันจบ พวกพันธมิตรฯออกมาอีกแล้ว
...ดูซิ ใบหน้าที่หล่อ ๆ ของนายกฯ แก้มตอบไปเลย น่าสงสาร (นะคุณ)
ผมตอบไปว่า ไม่เห็นน่าสงสาร พวกเขาเป็นนักการเมือง อาสาเข้ามาเอง ไม่มีใครเอาปืนจ่อให้เป็นนายกฯ ถ้าไม่อยากเป็นก็ลาออกไป มีคนอยากเป็นนายกฯอีกเยอะ
ผมบอกป้าผู้สนใจการเมืองว่า สงสารตัวเองดีกว่า เราเป็นคนเสียภาษีให้นักการเมืองมาทำงาน แต่ดูพวกนี้ใช้เงินของเรา (ซิ) ไม่คุ้มค่าเลย
...ไม่เพียงแต่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ยังโกงเงินของเราอีก แต่ที่น่าเจ็บใจคือ พวกนี้ชอบพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ทำให้คนไทยเกลียดชังกันเอง
คุณป้าอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนออกไปตลาดหุ้น ผมไม่รู้ว่า แกยังสงสารนายกฯอยู่ต่อไป หรือสงสารตัวเอง ดีกว่ากัน
แต่สำหรับผม สงสารประเทศไทย ประเทศที่คนพูดความจริงกันแค่ครึ่งเดียว
มีคนบอกว่า การพูดความจริงครึ่งเดียว เลวร้ายกว่าการพูดเท็จ เพราะการพูดเท็จ คนฟังก็ตัดสินได้ทันทีว่า มึงโกหก
แต่คนพูดความจริงครึ่งเดียว ทำให้คนเสพข่าวแบบลวก ๆ แบบฟาสต์ฟู้ด เชื่อไปเลยว่า นี่คือความจริง
สัปดาห์ก่อน สังคมไทยบ้าไปกับข่าวลือ อย่างน้อย 2 เรื่อง เรื่องแรก ทักษิณชักตาย อีกเรื่อง ป๋าถูกซ้อมปางตาย
ผมรู้ว่าข่าวทั้งสองชิ้น ใครปล่อยออกมา และออกมาจากช่องทางไหน ?
เพื่อนผมบอกว่า ข่าวทักษิณชักตาย คนเสพข่าวก็รู้อยู่ว่าไม่จริง แต่เป็นข่าวที่พวกเขา...อยากให้จริง
อีกข่าว พอป๋าปรากฏตัวในวันที่ 5 พ.ค. ยืนหลังตรง หน้านิ่วคิ้วขมวด ...พิมพ์นิยมแบบนี้ ของจริง เลียนแบบไม่ได้ จากนั้นข่าวลือก็หายไป
ในช่วงสงครามข่าวลือ ผมได้ฟอร์เวิร์ดเมล์เป็นร้อย ๆ จากทั้งพวกเหลือง และพวกแดง
ผมเปิดดูและอ่าน พร้อมตั้งคำถามว่า คนพวกนี้มันคิดกันได้แค่นี้เองหรือ ?
สำหรับการพูดความจริง ครึ่งท่อน ของคนในรัฐบาล ที่ผมได้ยินบ่อยครั้งที่สุดก็คือ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
ถ้าเพียงคุณสุเทพพูดคำว่า ผู้ก่อการร้าย ให้น้อยลง บางทีประเทศไทย อาจไล่นักท่องเที่ยวออกจากประเทศไทย ...น้อยลง
แต่สื่อของรัฐก็เป็นใจ เปิดช่องให้คุณสุเทพพูดเรื่อง อาวุธสงคราม การก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม และพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ทุกวันทุกคืน
ผมตั้งข้อสงสัยว่า เมื่อลิเกเปลี่ยนฉาก จากฉากสงคราม เป็นฉากปรองดอง
คุณสุเทพจะเรียกผู้ก่อการร้าย บนแยกราชประสงค์ว่า ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ไหม)
เช่นเดียวกับความจริงครึ่งเดียว บนเวทีของพวกเสื้อเหลืองกับพวกเสื้อแดง
ผมก็เคยแว้บไปดู ไปฟังมาทั้งสองเวที แต่เมื่อเอามาตรวจสอบข้อเท็จจริงก็พบว่า พวกเสื้อสีพูดความจริงกันแค่ครึ่งเดียว
ส่วนพวกสมาร์ตตี้ ผมไม่ค่อยใส่ใจ เพราะรู้อยู่ว่าใครเป็นใครในพวกสมาร์ตตี้
แต่ที่แย่แบบสุดๆ คือพฤติกรรมการคุกคาม เสรีภาพทางความคิดของคนที่เห็นต่าง ผมเองรับไม่ได้เลยกับการใช้เครือข่ายเฟซบุ๊กสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว
เป็นบรรยากาศเหมือนยุคมืด ที่ศาสนจักรในยุคนั้นผูกขาดความรู้ ความถูกต้อง ความผิดชอบชั่วดี ใครที่เห็นต่างต้องตาย ต้องถูกกำจัดไปให้สิ้น
การไล่ล่าจับแม่มดมาเผา กำลังย้อนยุคกลับมาอีกครั้ง อย่างนั้นหรือ
โลกไซเบอร์ดูเหมือนท้องฟ้าแห่งการสื่อสาร กว้างไกล ไร้พรมแดน แต่ใจคนกลับคับแคบเสียนี่กระไร เหมือนที่ใครพูดว่า โลกกว้าง ทางแคบ
คนในเครือข่ายออนไลน์ พวกเขายินดีปรีดากันแบบสุด ๆ ที่ปรากฏการณ์ โห่ฮาป่า ไล่ลูกสาวอดีตนายกฯ หรือปลื้มปีติที่ได้คุกคามลูกเหวง หรือลูกวีระ แกนนำเสื้อแดง
สังคมแบบนี้ไม่ใช่สังคมที่ดีแน่ๆ วันนี้ในสังคมไทย ใครที่เห็นต่าง ถูกถีบให้อยู่กับอีกมุมหนึ่งทันที
เพื่อนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศเล่าว่า วงสนทนาของเหล่าอาจารย์คือ กินอะไร ไปเที่ยวไหน ดูหนังเรื่องอะไร
พวกด็อกเตอร์เลิกถกเถียงกันเรื่องการเมือง เพราะถ้าถกกันเรื่องการเมืองอาจชกต่อยกันได้
นี่คือความอัปลักษณ์ของสังคมไทย...ที่สื่อมวลชนไทยเป็นตัวการและผู้สนับสนุน ขุนสำราญภักดี