เราเฝ้ามองเหตุการณ์ความไม่สงบ ด้วยความไม่เห็นด้วย มาเรื่อยๆ ทั้งทีโดนผลกระทบกับม็อบนี้เต็มๆ หลายครั้ง
ลูกค้าเราอยู่ย่านประตูน้ำได้รับความเดือนร้อนหลายราย พนักงานเดือดร้อนทั้งการเดินทางการดำรงชีพในระหว่างเวลาทำงาน เราเห็นคนรู้จัก โดนหยิบกระเป๋าสตางค์ โดนยึดโทรศัพท์มือถือ ขัดขืนไม่ให้ก็บอกเดี๋ยวเจอเรียงคิว (มันทำเหมือนมันได้ License to rape มาอย่างนั้น) ได้แต่ส่ายหน้ากับความไม่สงบเรื่อยมา
พยายามคิดว่ามันไม่ใช่ผูุ้ชุมนุม แต่มันก็ใส่เสื้อ นปช.
พยายามคิดว่า เป็นการแสดงความเห็น แต่มันก็ไม่แสดงอะไรให้เราเห็นว่ามันคิดได้
พยายามคิดว่าความเดือดร้อนทางการเมือง คุยดูก็ไม่เห็นรู้เรื่องอะไรกับเหตุการณ์บ้านเมืองนอกจากพูดเหมือนกับแกนนำ แบบแผ่นเสียงตกร่อง
พยายามคิดว่า เป็นการดำรงชีพของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อจะบอกอะไรบางอย่างเพื่อให้ภาครัฐเขาไปแก้ปัญหา แต่เวลาดูก็ไม่เห็นว่ามีความขยันขันแข็งเหมือนกับคนภาคเดียวกันที่เข้ามาทำมาหากินในเมือง นอกจากจะนอนตอนบ่ายทั้งที่มันร้อนตับแทบแตก
ครั้นจะเบ่งกับมันซักหน่อยว่าเพื่อนลูกค้าฉันก็มีหมายจับของ ศอฉ น่ะโว้ย ก็ไม่เคยชินกับการเอาชื่อคนอื่นไปเบ่งซะด้วย
เราจึงมองดูด้วยการชุมนุมที่ อ้างว่า สันติ อหิงสา ด้วยความอดทน
ถ้าคุณติดตามข่าวเวปไซต์เรา จะเห็นว่าเราพยายามจะไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เพราะมันเป็นเรื่องความคิด (บางคนพูดสวยหรู ว่ามันเป็นอุดมการณ์)
วันนี้ เราคิดว่ามันเกินความเป็นการเมือง แ่ต่เป็นอาชญากรรมไปแล้ว
ทำไม ?
เพราะมันเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ซึ่งเราคิดว่า "วิญูญูชนเขาไม่ทำกัน"
บางเรื่องทำให้เราสงสัยว่า และมีคำถามว่า "มันเป็นคนไทยหรือเปล่า"
จนสุดท้ายที่เราทนไม่ได้ต้องประณาม และต้องถามดังๆว่า
พวกมึงยัง เป็นคนกันอยู่หรือเปล่า
เราขอไล่เรียงลำดับของเหตุการณ์และข่าวที่เกิดขึ้น จากเบาไปหนัก ที่ทำให้เรารับไม่ได้
เหตุการณ์ ที่ ๑ วางระเบิดสถานศึกษา
เหตุการณ์ ที่ ๒ คุกคามสื่อ
เหตุการณ์ ที่ ๓ บุกโรงพยาบาล
เหตุการณ์ ที่ ๔ หลอกลวงคนทั้งโลกว่า สันติอหิงสา
เหตุการณ์ ที่ ๕ หมิ่นและรบกวนสถาบัน
เหตุการณ์ ที่ ๖ ใช้โ่ล่ห์มนุษย์ (โดยเฉพาะเด็กในพื้นที่อันตราย)
และต้องประณามการกระทำของคนกลุ่มนี้
กลับบ้านไป ความชอบธรรมของม็อบ
หมดไปพร้อมกับความเป็นคนของพวกมึงแ้ล้ว
เหตุการณ์ที่ ๑ วางระเบิดสถานศึกษา
เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เป็นการดูถูกสถานศึกษา ข่มขู่กับการแสดงความเห็นของบุคคลอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับตนเอง ไม่พยายามใช้เหตุผลหักล้างทำความเข้าใจ แต่ใช้วิธีการข่มขู่การแสดงออกของสถานศึกษาที่สามารถเป็นหลักในด้านวิชาการ ที่จะตอบปัญหาของความขัดแย้งได้
เท่ากับขาดความเคารพในความคิดความเห็นของบุคคลอื่น และแสดงให้เห็นถึงจิตใจลึกๆ ที่ไม่ต้องการยอมรับปัญญาชน
ด่วน! ลอบวางระเบิดแสวงเครื่องหน้าจุฬาฯ
ข่าวจาก เดลินิวส์ออนไลน์
คนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องหน้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โชคดีระเบิดทำงานไม่เต็มที่ ไร้คนเจ็บ
วันนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจนครบาล (ศกป.น.) ได้รับแจ้งเหตุที่ต้องรายงานด่วนจาก สน.ปทุมวัน ว่า เมื่อเวลา 06.30 น.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งจากพนักงานวิทยุ ว่า มีเจ้าหน้าที่เก็บขยะของกรุงเทพมหานคร พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายวัตถุระเบิดอยู่ในถุงพลาสติก วางไว้บริเวณใกล้เก้าอี้เหล็กห่างจากประตูทางเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระยะประมาณ 11 เมตร พนักงานสอบสวนจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ขวดอลูมิเนียมขนาดประมาณ 5 ลิตร ภายในมีวัตถุเชื้อประทุไฟฟ้าจำนวน 1 ชุด ไฟแช็คจำนวน 5 อัน สายไฟจำนวน 1 ชุด ปุ๋ยยูเลีย น้ำมันโซล่า และดินระเบิด ลักษณะมีการจุดฉนวน และรอยไหม้ แต่ยังไม่ระเบิด เนื่องจากระเบิดแสวงเครื่องอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ จึงยึดไว้เป็นของกลาง พร้อมส่งไปตรวจสอบ และเก็บร่องรอยลายนิ้วมือแฝงที่วัตถุของกลาง ที่กองพิสูจน์หลักฐานต่อไป
เหตุการณ์ที่ ๒ คุกคามสื่อ
เหตุการณ์นี้เป็นการคุกคามวิชาชีพ ซึ่งต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพในการทำงาน เ็ป็นองค์กรที่มีการจรรยาบรรณและมรรยาทบังคับผู้ที่อยู่ในวิชาชีพ การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง
การดูถูกบุคคลอื่น และ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน มีความประสงค์และปรารถนาที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ข่าว จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
2องค์กรสื่อประณามแดงข่มขู่สื่อ-บุกร.พ.จุฬาฯ
2 สมาคมสื่อมวลชน แถลงการณ์ประณามแกนนำนปช.คุกคามนักข่าวกรณีบุกร.พ.จุฬาฯ ตอบคำถามผ่านไมค์ปลุกเร้าม็อบต้านสื่อ วอนปรับท่าที
แถลงการณ์ร่วมองค์กร วิชาชีพสื่อเรื่อง ประณามการข่มขู่นักข่าว ในกรณีการบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอประณามการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ใช้พฤติกรรมข่มขู่คุกคามผู้สื่อข่าว จากกรณีการแถลงข่าวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ซึ่งได้กล่าวอ้างว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการซ่องสุมกำลังเพื่อเตรียมสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในการแถลงข่าวดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้ถามกลับไปว่า มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานหรือไม่ ว่าในโรงพยาบาลมีทหารอยู่จริง แต่สิ่งที่นักข่าวได้รับจากแกนนำ โดยเฉพาะนายจตุพรนอกจากไม่ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ยังแสดงอารมณ์ความฉุนเฉียว คุกคาม พร้อมกับท้าว่า “ถ้าไม่เชื่อให้ไปดูพร้อมกัน” และย้ำว่านักข่าวคนนี้ต้องไปด้วยให้ได้“
ซึ่งถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมคุกคามการทำ หน้าที่ของสื่อมวลชนและจับนักข่าวเป็นตัวประกันในการบุกเข้าไปในโรงพยาบาล จุฬาฯ
นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวได้มีการต่อสายไปยังเครื่องขยายเสียงที่เวทีปราศรัย ทำให้คำกล่าวของนายจตุพร ถูกกระจายเสียงให้ได้ยินกันทั่วพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ กลายเป็นชนวนชักชวนให้มวลชนเสื้อแดงให้บุกโรงพยาบาลในค่ำคืนนั้น
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ ไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องให้แกนนำหยุดการกระทำที่เป็นการคุกคามสื่อ และยั่วยุให้เกิดความรุนแรงดังนี้
1.ผู้สื่อข่าวไม่ใช่คู่ขัดแย้งของกลุ่ม ผู้ชุมนุม และการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวเป็นการทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ความรับผิดชอบต่อสังคม ฉะนั้นจึงขอให้แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมหยุดพฤติกรรมอันเป็นการข่มขู่ คุกคามสื่อมวลชน
2.ขอให้แกนนำปรับเปลี่ยนวิธีการแถลงข่าว โดยการถ่ายทอดเสียงออกไปยังผู้ชุมนุม เพราะนอกจากจะทำให้ผู้สื่อข่าวไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยอิสระแล้ว ยังถูกผู้ชุมนุมห้อมล้อม และถูกโห่ไม่พอใจหากตั้งคำถามไม่ถูกใจ ซึ่งเป็นการลิดรอนการทำหน้าที่
ทั้งนี้ ขอเป็นกำลังใจให้สื่อมวลชนทุกท่านในการทำหน้าที่ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ และขอให้หน่วยงานต้นสังกัด ตระหนักถึงความปลอดภัยของนักข่าวเป็นสำคัญ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ ไทย
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
30 เมษายน 2553
เหตุการณ์ที่ ๓ บุกโรงพยาบาล
เหตุการณ์นี้ เป็นนอกจากจะเป็นการรบกวนงานวิชาชีพที่เป็นที่ยอมรับในสังคม ยังเป็นการขาดมนุษย์ธรรม สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับความเดืิอดร้อนและทุกข์อยู่แล้ว ให้ทุกข์หนักขึ้นไปอีก และตอนท้ายข่าวยังเป็นการรบกวนสมเด็จพระสังฆราชซึ่งถือเป็นประมุขฝ่ายสงฆ์
นั่นเท่ากับว่าการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าวขาดความยำเกรงและความเคารพในสัญญลักษณ์ทางศาสนา
ข่าวจาก คมชัดลึก
5 สภาวิชาชีพออกแถลงการณ์ประณามกลุ่มคนเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลจุฬาฯอ้างมีทหาร ซ่อนอยู่ ชี้ไม่เป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม ขณะที่รพ.จุฬาฯโกลาหลย้ายผู้ป่วยออกหวั่นเสื้อแดงเถื่อนอีก นปช.แก้เกมเปิดหน้า.พ.จุฬานักช็อปอาจมีเฮเย็นนี้
ที่แพทยสภา เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ได้ประชุมร่วมกับ ศ.เกียรติ ดร.วิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาการพยาบาล ภก.รศ. (พิเศษ) กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ อุปนายกสภาเภสัชกรรม นางสุมนา ตัณฑเศรษฐี นายกสภากายภาพบำบัด รศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์
จากนั้น นพ.สมศักดิ์ ได้อ่าน แถลงการณ์ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย เรื่อง ขอให้ยุติการคุกคามและปฏิบัติต่อโรงพยาบาล รถพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้บาดเจ็บ ที่ไม่เป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม ว่า เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองมีความขัดแย้งนำมาซึ่งการสูญเสีย และบาดเจ็บของประชาชนและเจ้าหน้าที่จำนวนมาก และปรากฏว่า มีการบุกรุกตรวจค้นโรงพยาบาล คุกคามบุคลากรทางการแพทย์ และขัดขวางการเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์การปะทะ ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย
ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม สภาเทคนิคการแพทย์ และสภากายภาพบำบัด มีความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอประณามการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม หลักสากลและหลักมนุษยธรรม ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้อง ให้ทุกฝ่ายมีสติ หนักแน่น เคารพหลักการสากลและหลักมนุษยธรรมในการดูแลรักษาผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ดังนี้
1.ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพฯ ขอให้สมาชิกยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าภายใต้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น 2.ในหลักสากลแม้กระทั่งในยามสงครามหรือความขัดแย้ง สู้รบระหว่างประเทศ โรงพยาบาล รถพยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับการคุ้มครองจากทุกฝ่ายให้มีความปลอดภัยและสามารถปฏิบัติหน้าที่ ตามหลักมนุษยธรรมได้อย่างเต็มที่ 3.ในประเทศไทยขณะนี้เป็นเพียงความขัดแย้งทางความคิดของคนในชาติเดียวกัน จึงขอให้ทุกฝ่ายเคารพความเป็นกลางของบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล รถพยาบาล ถอยห่างจากพื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 100 เมตร และละเว้นการกระทำใดๆ ที่ขัดขวางการปฏิบัติงานและกีดขวางทางเข้า-ออกโรงพยาบาล 4. ผู้บาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม และผู้ที่เข้าให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จะต้องได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการนำส่งเพื่อการ รักษาอย่างทันท่วงทีจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 5.ขอให้ทุกฝ่ายยุติการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักสากลโดยทันที
นายกแพทยสภา กล่าวต่อว่า ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทยหวังในความร่วมมือจากทุกฝ่าย แก้ไขการปฏิบัติให้ถูกต้องโดยทันที เพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกคนในชาติ และขอให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลัก มนุษยธรรมโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยอยู่ในขณะนี้
รพ.จุฬาฯโกลาหลย้ายผู้ป่วยออกหวั่นแดงเถื่อนอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่บริเวณตึกคัคณางค์ และตึกนวมินทราชินี ซึ่งเป็นตึกผู้ป่วยใน ที่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ปรากฏว่ามี แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่กว่า 100 คน ได้ช่วยกันทะยอยขนย้ายผู้ป่วย ที่มีทั้งอาการอยู่ขั้นโคม่า และผู้ป่วยธรรมดา โดยได้มีการลำเลียงขนย้ายไปยัง รพ.ต่างๆทั่ว กทม.เนื่องจากทางโรงพยาบาลได้ประกาศปิดรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั้วไปอย่างไม่มี กำหนด หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกค้นโรงพยาบาลเมื่อวานนนี้ โดยทางโรงพยาบาลจะทำการรักษาเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น จนกว่าเกตุการณ์ความไม่สงบจะคลี่คลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการขนย้ายผู้ป่วยครั้งนี้ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการหนักหลายราย อย่างเด็กหญิงอายุประมาณ 1 เดือน.ที่มีอาการหลอดเลือดหัวใจที่ค่อนข้างป่วยหนัก ต้องถูกนำออกมาจากห้อง ไอซียู โดยผู้ปกครองจะนำไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัดที่เป็นบ้านเกิด และยังมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวชื่อ " น้องอรนัท " อายุ 7 ขวบ ที่ต้องถูกขนย้ายออกอย่างโกลาหล โดยน้องอรนัท ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ประมาณ 2 ปีแล้ว แต่เมื่อเหตุกาณณ์ความไม่สงบ น้องอรนัท ตเองถูกย้ายกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัดทั้งที่อาการหนักน่าเป็น ห่วง โดยแม่ของน้องอรนัท ได้ร้องห่มร้องไห้ขณะทำการขนย้ายเนื่องจากเกรงว่าลูกสาวจะได้รับอันตราย
ส่วนดญ.กาญชนิต์ พวงแก้ว อายุ 1 ขวบ ซึ่งป่วยเป็นโรคตับม้ามโต ตัวเหลืองซีด โดยมารดาของหนูน้อยกล่าวว่าอยู่ รพ.มาเกือบ 10 วัน แต่ต้องถูกย้ายออกไป โดยจะหมอนัดให้มาใหม่วันที่ 13 พ.ค.เดือนหน้า กลัวว่าลูกจะมีอาการหนัก ซึ่งหากลูกเป็นก่อนก็จะเอามาหาอีกที นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยชรรา ที่ป่วยเป็นโรคประจำตัวและอยู่ในห้องไอซียู อีกหลายราย ที่จะต้องขนย้ายเช่นกัน และยังมีเด็กแรกเกิดเป็นแฝด 4 คน รวมถึงเด็กที่อยู่ในอาการโคม่า ที่ต้องคอยปั้มหัวใจให้อ๊อกซิเย่นตลอดเวลาระหว่างการขนย้าย ซึ่งทุกคนก็ล้วนอาการหนักทั้งสิ้น ขณะที่หมอและพยาบาลไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆกับผู้สื่อข่าวและผู้สังเหกตุการณ์
นอกจากนี้บริเวณอาคารเพิ่มพูล ว่องวานิช ได้มีการตั้งขบวนเสด็จเพื่อนำสมเด็จพระสังฆราช ไปพักรักษาตัวต่อยัง รพ.ศิริราช โดยขณะนี้ที่ รพ.ศิริราช ได้มีการจัดเตรียมห้องพักรักษาไว้เรียบร้อย ท่ามกลางกองทัพนักข่าวที่ปักหลักรอทำข่าวเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์ที่ ๔ หลอกลวงคนทั้งโลกว่า สันติอหิงสา
เหตุการณ์นี้เป็นการหลอกลวงคนทั้งโลกเพราะกลุ่มดังกล่าว ได้ประกาศต่อชาวโลกตลอดเวลาว่าสันติ อหิงสา แต่เมื่อมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จะมักกล่าวอ้างเสมอว่าไม่มีอาวุธสงคราม ไม่มีกองกำลัง ไม่มีความรุนแรงในกลุ่มคนของตนเอง จนผู้สื่อข่าวต่างชาติได้ออกมาระบุชัดเจนว่า การชุมนุมมีกองกำลังติดอาวุธ จะสังเกตุว่าผู้สื่อข่าวยังไม่แน่ใจว่าแกนนำคุมได้ แต่สุดท้าย แกนนำมีการยอมรับเองว่า สามารถสั่งกองกำลังถอยได้
นั่นเ่ท่ากับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา แกนนำมีส่วนรู้เห็นในเจตนาฆ่าและทำร้ายประชาชนคนในชาติ
สื่อผู้ดีระบุเสื้อแดงมีกองกำลังติดอาวุธชุดดำ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สื่อผู้ดี ระบุกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลขณะนี้ มีกองกำลังติดอาวุธสวมชุดดำ บอกหลักฐานปรากฏชัด แต่ไม่แน่ใจแกนนำคุมได้
นายทิม จอห์นสัน ผู้สื่อข่าว ของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส ได้นำเสนอบทความเรื่อง "แนวหน้าในการปะทะของคนชุดดำ" ในหน้าเว็บไซต์ มีใจความว่า นปช.มีกองกำลังติดอาวุธคอยหนุนหลัง ซึ่งสวนทางคำกล่าวอ้างมาตลอดว่าการชุมนุมของนปช.เป็นการชุมนุมโดยสันติ และในการทำสงครามระหว่างคนเสื้อสีต่างกันครั้งนี้ กลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า "คนชุดดำ" กองกำลังเงามืดและใช้ความรุนแรงถูกถ่ายภาพไว้ได้ แต่ไม่เคยเปิดเผยตัวออกมาอย่างชัดเจน
ผู้สื่อข่าวของไฟแนนเชียลไทม์ส ระบุว่า สถานที่ชุมนุมรอบราชประสงค์ มีกลุ่มวัยรุ่นชายเมายา แสดงความคลั่งไคล้รองเท้าดำ กางเกงดำและเสื้อยืดสีดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่มีโลโก้ของบริษัทปืนชั้นนำของโลกอย่าง กล็อก เฮคเลอร์แอนด์ โคช
นอกจากนี้ ไฟแนนเชียลไทม์ส ยังระบุด้วยว่า แกนนำสายประนีประนอมของคนเสื้อแดง ดูเหมือนจะพ่ายแพ้ต่อพวกหัวรุนแรงที่ปฏิเสธข้อเสนอยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ใน เดือนพ.ค.ของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม นายจอห์นสัน ระบุว่า แม้ว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมใน ความขัดแย้งนี้ต่อสู้กับทหารด้วยหนังสติ๊ก ระเบิดทำเองและระเบิดขวด แต่ก็มีหลักฐานปรากฎชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่ากลุ่มคนเสื้อแดง มีกองกำลังติดอาวุธ ที่อาจจะอยู่หรือไม่ได้อยู่ ภายใต้การควบคุมของแกนนำ
จี้ทหารหยุดยิง 'ณัฐวุฒิ'ดอด เคลียร์เลขานายก
ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์
"กอร์ปศักดิ์"แฉ"ณัฐวุฒิ"โทรศัพท์หาขอเจรจาราว 5 นาที ให้รัฐบาลหยุดยิง และจะเรียกคนเสื้อแดงกลับที่มั่นเวทีราชประสงค์ ระบุสิ่งที่เห็นตรงกันคือไม่ต้องการสูญเสีย จวกแกนนำไม่ต้องมาเรียกร้องให้ทหารหยุดยิง...
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวระบุโทรศัพท์ไปหานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.โดยยืนยันว่า ไม่ได้โทรศัพท์ไป เป็นฝ่ายนายณัฐวุฒิ ที่โทรศัพท์เข้ามา ซึ่งได้มีการพูดคุยกันประมาณ 5 นาที โดยนายณัฐวุฒิ เสนอว่า วันนี้ควรมีการหยุดยิง และพวกเขาเองก็จะเรียกพี่น้องคนเสื้อแดงที่อยู่ตามจุดต่างๆ ให้กลับมารวมตัวกันที่เวทีแยกราชประสงค์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทหารไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นยิง จึงบอกไปว่าสิ่งที่นายณัฐวุฒิบอกว่าสามารถสั่งให้พี่น้องคนเสื้อแดงกลับไป ได้ ก็แสดงว่าเป็นคนสั่งให้เขาเหล่านี้ไป ทั้งที่เผายางและการเอาเด็กไปเป็นโล่กำบัง
สำหรับสิ่งที่ขอเรื่อง สันติหรือยุติชั่วคราวนั้น นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า จะไม่มีกระสุนของทหารออกไปแม้แต่นัดเดียว หากนายณัฐวุฒิ สั่งพี่น้องคนเสื้อแดงกลับไปยังเวทีแยกราชประสงค์ได้ ส่วนประเด็นที่เห็นตรงกันคือ ไม่อยากเห็นการสูญเสีย และขอยืนยันว่า ทหารบุกเข้าไปที่ราชประสงค์เป็นการกระชับวงล้อม ทั้งนี้รัฐบาลจริงใจในการเจรจากับกลุ่ม นปช. และได้พยายามมาโดยตลอด แต่ขณะนี้การเจรจาหยุดมาหลายวันแล้ว จนกระทั่งมีโทรศัพท์ของนายณัฐวุฒิ เข้ามาหาตนในวันนี้ อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องออกมาเรียกร้องให้ทหารหยุดยิงก่อน เพราะหากแกนนำ นปช.เรียกผู้ชุมนุมกลับ ก็จะไม่มีการยิงกันอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ยืนยันทหารไม่ได้ยิงประชาชน เป็นการยิงป้องปรามเพียงเท่านั้น.
เหตุการณ์ที่ ๕ หมิ่นและรบกวนสถาบัน
เหตุการณ์นี้ที่เรารับไม่ได้ถึงแม้ว่าสื่อที่สนับสนุนการชุมนุมจะได้บอกว่าเป็นการฉีดพ่นข้อความไม่สมควร แต่เมื่อพิจารณาถึงข่าวจากสำนักข่าวอื่นแล้วจะเห็นว่า นอกจากสถานที่ฉีดพ่นไม่เหมาะสมเช่นพื้นถนน จะเห็นว่าสำนักข่าวอื่นระบุชัดเจนว่า ข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตลอดเวลาที่มีการชุมนุมและโฟนอิน มีการกล่าวอ้างเสมอว่า จงรักภักดีต่อสถาบัน แต่จากพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมชุมนุมและข้อความต่างๆ ในพื้นที่ชุมนุมแต่มีการบิดเบือนข่าวว่าเป็นพื้นที่ใกล้เคียงที่ชุมนุม เหตุการณ์ดังกล่าวบังเอิญมีการย้ายผู้ชุมนุม จึงได้เห็นก่อนการย้ายออกเมื่อจบการชุมนุม ซึ่งถ้าเป็นเวลานั้นข้อความจะมากขึ้นกว่าเดิมมากและจะเป็นการทำร้ายจิตใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากในการชุมนุมมีการตรวจตราของการ์ดและแกนนำเสมอ จึงควรเห็นเมื่อมีการเดินตรวจและให้ระงับหรือจัดการผู้ที่ทำได้ไม่เป็นการสะสมเป็นจำนวนมากอย่างที่เห็น นอกจากจะเห็นดีเห็นงามด้วย แกนนำจึงไม่สามารถกล่าวปัดความรับผิดชอบในการการกระทำดังกล่าวได้ การหมิ่นได้กระทำอย่างต่อเนื่องตลอดการชุมนุม แต่เมื่อสุดท้ายแกนนำกลัวแพ้ เพียงเพื่อจะหาทางออกเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า กลับคิดจะรบกวนเบื้องพระยุคลบาทเข้ามาระงับการสลายการชุมนุม โดยคิดเอาเองว่าไม่รบกวนเบื้องพระยุคลบาทในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในช่วงการพักฟื้นจากอาการพระประชวร และจะถือโอกาสในการไปโจมตีภายหลังว่าทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง เหมือนที่ได้เคยอ่านในกระทู้บางกระทู้ได้เคยกล่าวหาในเวปไซต์ประชาไท หรือฟ้าเดียวกัน
การไม่ห้ามและละเลยในการพ่นข้อความหมิ่น และการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทในการแก้ปัญหา ทั้งที่การแก้ปัญหาง่ายมากเพืยงเลิกการชุมนุมและเจรจาก็จะสงบแต่กลับไม่ทำ การกระทำดังกล่าวคนไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถยอมรับได้
ณัฐวุฒิ แถลงข่าวด่วน ย้ำเสื้อแดงจงรักภักดี
ข่าวจาก VOICE TV
แกนนำนปช.ประกาศสั่ง การ์ดตรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด หลังพบกลุ่มวัยรุ่นฉีดพ่นข้อความไม่สมควร
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. แถลงข่าวด่วนหลังพบกลุ่มวัยรุ่น ฉีดพ่นข้อความที่พื้นถนนและกำแพงใกล้พื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดง โดยมีข้อความหมิ่นต่อสถาบัน
นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังประกาศสั่งการ์ดนปช.ทุกจุด สำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด หากพบข้อความไม่สมควร ให้ลบข้อความทิ้งทันที และหากพบตัวผู้ฉีดพ่นขอ้ความให้จับตัวมาส่งแกนนำนปช. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
แดงล่ามือมืดโพสหมิ่นเบื้องสูง
ข่าวจาก โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ 16 พฤษภาคม 2553 เวลา 13:32 น.ณัฐวุฒิแกนนำนปช.ขึ้นเวทีราชประสงค์สั่งการ์ดล่าตัวมือมืด พ่น-ติดโปสเตอร์ข้อความหมิ่นสถาบัน เผยกลุ่มผู้ชุมนุมค่อนข้างบางตากว่าทุกวัน
ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำนปช. ขึ้นเวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์ สั่งการ์ดนปช.บุกตรวจรอบพื้นที่การชุมนุมทุกด่าน หลังพบมือมืดพ่น และเขียนข้อความโปสเตอร์ก้าวล่วงสถาบัน พร้อมสั่งให้ลบข้อความ และหากพบตัวคนลงมือทำให้จับมาสอบสวน
แกนนำนปช.จอพึ่งพระบารมี เมินส่งเด็ก-ผู้หญิง-คนชราออกจากม็อบ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"จตุพร"บอกขอตายคา ราชประสงค์ แต่ขอพึ่งพระบารมีในหลวง ไม่สนศอฉ.ประสานขออพยพ เด็ก สตรี คนแก่ ออกจากม็อบ
......
นายจตุพรกล่าว ว่า เหตุการณ์ที่ 20 พฤษภาคม 2535 หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เรียก คู่ขัดแย้งมาหยุดยั้งความตายในวันนั้น ไม่รู้จะมีกี่พันศพ วันนี้ก็เช่น กัน พวกตนเป็นพสกนิกร ก็ขอพึ่งพระบารมีพระองค์ เพราะเราไม่มีที่พึ่ง จริงๆ และหากทหารยังไม่หยุดการยิง ประเทศไทยก็จะเหมือนประเทศราวันดา และอีก หลายๆ ประเทศที่เกิดสงครามกลางเมือง ล้างเผ่าพันธุ์ นายจตุพรกล่าวว่า นอกจากนี้การที่กองทัพยังมีการใช้อาวุธ เอ็ม 79 และ โยนความผิดให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นไม่เป็นความ จริง เพราะในคลังแสงทุกหน่วยของกองทัพยังมีอาวุธดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้อพยพเด็ก และสตรี ไปไว้ในวัดปทุมวนาราม เพื่อ ความปลอดภัยนั้น เรื่องนี้ต้องไปบอกทหารให้หยุดยิง เพราะคนที่ตายคือพวก ตน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐทหารไม่ยิงใส่พวกเขาก็ไม่มีใครตาย ผู้สื่อข่าวถามว่าเพราะเหตุใดจึงขอพึ่งพระบารมี นายจตุพร กล่าว ว่า เรื่องนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์ สวัสดิ์ อดีตนายกฯ รวมถึงตนก็ออกมาแสดงความคิดเห็นนี้ เพราะเวลานี้คนไทย เห็นว่า พระบารมีเป็นที่พึ่งสุดท้าย และเชื่อว่า แนวทางนี้จะไม่ก่อให้เกิด ความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทมีแต่จะเพิ่มพระบารมี เพราะหากปล่อยให้มีการ ฆ่าประชาชน จะเป็นการเพิ่มความระคายเคืองมากกว่า
เหตุการณ์ที่ ๖ ใช้โ่ล่ห์มนุษย์ (โดยเฉพาะเด็กในพื้นที่อันตราย)
เหตุการณ์นี้ไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากจะถามว่า
พวกมึงยังเป็นคนกันอยู่หรือเปล่า
ข่าว จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เสื้อแดงใช้เด็กเป็นโล่กำบัง
กลุ่มแดงนปช.จัดแนว บังเกอร์ยางรถช่วงบ่อนไก่ คลองเตย แต่นำเด็กวัยไม่เกิน 8ขวบมายืนเหนือแนวบังเกอร์ ซึ่งศอฉ.ระบุละเมิดสิทธิเด็กเอาเป็นโล่กำบัง