จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : หมูหวานยกกำลัง 2
สัมภาษณ์ พิเศษ
หลังเหตุ การณ์พฤษภา 53 ยังมี ผู้สูญหาย-สูญเสีย ทั้งชีวิต-อิสรภาพ
พื้นที่ แนวรบในเมือง สงบไปชั่วคราว
แต่การต่อสู้ทางความคิด ยังคงดำรงอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่ "แดง" จะฟื้นตัวได้และอำมาตย์ผุพังไปตามกาลเวลา
ตามแนววิเคราะห์ของ "อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" นักวิชาการที่สร้างประวัติศาสตร์ อดข้าวประท้วง 8 ชั่วโมง เพื่อแลกกับหนังสือ 6 เล่ม
หนึ่งในเหยื่ออธรรม เปิดเผยปากคำผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ทุกห้วงนาทีที่ถูกควบคุมตัว 8 วันในค่ายทหาร
- ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้เข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง
ผม เป็นคนเสื้อแดง...ผมเป็นหนึ่งในคนเสื้อแดง เพราะผมคิดว่าเป้าหมายในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือเรื่องประชาธิปไตย เรื่องความเสมอภาค สองมาตรฐาน ผมเห็นด้วยทั้งนั้น และผมก็ไม่ไมนด์ที่ผมจะเป็นคนเสื้อแดง และเป็นความภูมิใจที่ผมเป็นคนเสื้อแดง
- ไม่สนข้อวิจารณ์ว่าจะเข้าทาง "ทักษิณ" หรือเข้าทางกลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายนั้น
จะ เข้าทางใครก็ตาม ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็ช่างมึง (หัวเราะ) คือหมายความว่า ไม่มีการต่อสู้ใดบริสุทธิ์ ถ้าไม่เข้าทางใคร ก็ต้องเข้าทางใครคนใดคนหนึ่ง ใช่ไหม สมมติว่าเราอยู่อเมริกา เราไม่ชอบบุชก็ต้องเข้าทางเดโมแครต ถ้าเราไม่ชอบ โอบามา อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นแนวร่วมกับรีพับลิกัน ถ้าเราจะไม่ชอบทั้งคู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะ
ฉะนั้น ถ้าผมเป็นเสื้อแดงแล้วเข้าทางทักษิณ ถ้าผมเกลียดเสื้อแดงก็เข้าทางอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี ผมขอเข้าทางทักษิณดีกว่า
- เป็นครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีการเมือง
ในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ผมไม่เคยเลย ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองการบ้านหรืออะไร
- แนวคิดอาจารย์ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์รัฐ
รัฐประชาธิปไตยเขาไม่กลัว การวิจารณ์ อย่างรัฐบาลคุณชาติชาย (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) คงไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แม้แต่รัฐบาลคุณทักษิณยังมีการด่ากันโขมงโฉงเฉงกลางถนน ไม่เห็นจับเข้าคุกกันสักคน...ก็มีรัฐบาลชุดนี้ที่กลัวคนวิจารณ์ จับคนวิจารณ์เข้าคุก
- ถูกสอบสวนเรื่องอะไรบ้าง
ไม่มีการ สอบเลยจนกระทั่งสัก 2 วันมั้ง ตำรวจจึงเรียกมาสอบ แต่ตำรวจไม่อ้างว่า "สอบสวน" นะ ตำรวจอ้างว่า มา "พูดคุยแลกเปลี่ยน" เขาสอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ต้องหาและไม่มีความผิด เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "พูดคุยแลกเปลี่ยน" มีตำรวจ มาถึง 4 ท่าน มีหัวหน้าชุดพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นพลตำรวจตรี นอกนั้นก็เป็นพันเอก พันโท
- สรุปแล้วอำนาจที่ควบคุมอาจารย์ไป คืออำนาจอะไร
อำนาจ ศอฉ. และไม่มีข้อหา เพราะมีมาตราอะไรของเขาก็ไม่รู้ที่ให้สามารถควบคุมได้ครั้งละ 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน อำนาจก็คลุมจักรวาล เพราะ "ต้องสงสัย" ก็ควบคุมได้แล้ว สมมติเขาสงสัยว่าคุณเป็นแกนนำ นปช.รุ่น 2 ที่แฝงตัวอยู่ เขาไม่มีหลักฐานเลยว่าจริงหรือไม่จริง เขาสามารถสั่งตำรวจให้เอาไปคุมตัวอยู่คอกม้าได้เลย เขาก็ทำตามอำนาจนั้น
- โดนข้อหาล้มสถาบัน หรือชุมนุมเกิน 5 คนด้วยหรือเปล่า
ไม่เกี่ยว ไม่มีเลย ผมก็อยู่โดยไม่รู้ข้อหา แต่มารู้ข้อหาเมื่อวันดีคืนดี ตำรวจดีเอสไอ โทร.มาบอกว่า ทางตำรวจได้ทำเรื่องขอยื่นอายุขังต่ออีก 7 วัน จาก 7 วันแรก จะขอขังต่อ มาถามว่าผมคัดค้านไหม ผมตอบว่า ผมถูกจับมาก็ยังไม่รู้ข้อหาอะไร แล้วผมจะไปค้านได้ยังไง เขาก็เลยแจ้งข้อหาให้ทราบว่า "ต้องสงสัยว่าจะเป็นแกนนำ นปช. รุ่น 2" จะไปจัดชุมนุม อะไรทำนองนี้นะ ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายในภาวะฉุกเฉิน ฉะนั้นมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผมเอา ไว้ก่อน
ผมก็เลยบอกเขาว่า เข้าใจผิดหมดเลยคุณ ไอ้ที่จับมานี่คือปัญหาของการจับโดยไม่สอบสวน เพราะผมไม่ใช่ นปช.รุ่น 2 และรุ่น 1 ผมก็ไม่ได้เป็น ผมเป็นอาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัยก็จะเปิดแล้ว ผมต้องเตรียมการสอน ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งประชุมกับผู้คน ศักยภาพก็ไม่มี ความสามารถผมก็ไม่มี ทำก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาแบบนี้เป็นไปไม่ได้ จับผิดตัวแล้ว ฉะนั้นขอให้ปล่อยตัว
- อาจารย์เป็นเสื้อแดง ขณะที่สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย "อำมาตย์"
ผมมองว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะ และมีข้อดีคือเป็นลิเบอรัล เสรีนิยม แม้ว่าดูโครงสร้างอาจจะอนุรักษนิยม ผมคิดว่าอาจารย์จุฬาฯหรือ ผู้บริหาร ฟังความเห็นที่แตกต่างได้ เขาไม่ได้ปิดกั้นความคิดที่แตกต่างนะ หรืออาจจะมีกติกาที่กลั่นกรองว่า ความคิดที่ต่างจะอย่างไรก็ตาม สักวันหนึ่งมึงเข้าไปบริหาร มึงก็คิดเหมือนกู (หัวเราะ)
- แม้ประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าขุนมูลนาย
เอาเข้าจริงผมว่านั่นค่อนข้างเป็น "มายาคติมากกว่า" มหาวิทยาลัยแห่งนี้สร้างในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัชกาล ที่ 6 ก็จริง แต่คนที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้น คือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ก็เป็นขุนนางคนสำคัญ แต่หลังยุค 2475 จอมพล ป. หรือไม่ก็ประยูร ภมรมนตรี ด้วยซ้ำไปมาเป็นอธิการบดี อาจารย์ส่วนใหญ่ก็นักเรียนนอกเยอะ พวกนี้ก็ไม่ถือว่าคอนเซอร์เวทีฟ
- มองการเมืองไทยหลังจากนี้อย่างไร
ผมคิดว่า "อำมาตย์" คงอยู่อีกพัก ใหญ่ ๆ เพราะฝ่ายเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำ เสียหาย และฟื้นตัวยาก ด้วยความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะทำให้อำมาตย์แข็งตัวและก็อยู่ได้อีกระยะหนึ่งใหญ่ ๆ ทีเดียว แต่ท้ายที่สุดอำมาตย์ก็พังอยู่ดี
- พังตามเวลาหรือสาเหตุอื่น
ตามเวลา ตามสังขาร ไม่มีอำมาตย์ใดอยู่ค้ำฟ้า
- ทิศทางเสื้อแดงจะเติบโตหรือเล็กลง
ระยะ เฉพาะหน้านี้ โตก็ไม่มาก ผมคิดว่าขบวนการเสียหายฟื้นยาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นและตอนนี้ก็ฟื้นยากจริง ๆ พี่วีระคาดว่าจะวางมือ ผมคาดเดาเองนะ ตู่ จตุพร คงฟื้นลำบาก ณัฐวุฒิ อาจจะพอได้ แต่ว่าคงต้องใช้เวลา มีอีกคนหนึ่งที่ผมชอบก็คือจักรภพ เพ็ญแข เพราะเขาเป็นคนมีความคิด มีความสามารถ แต่ว่าคงลำบากที่จะเข้ามาจัดตั้ง แต่พี่วีระก็โอเคนะ แต่ผมคาดเดาว่าแกคงวางมือ ผมคิดว่าตอนนี้ แกนนำควรจะลาออกแล้วให้มวลชนเลือกขึ้นมาใหม่
- สาเหตุให้เสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำเป็นเพราะขบวนการติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือไม่
ไม่ มี ไม่มี เหลวไหลทั้งนั้น ขบวนการติดอาวุธบ้าบอคอแตกอะไรโผล่มาวันเดียวแล้วก็หายไป ถ้าสมมติมีขบวนการติดอาวุธก็ต้องยิงจนถึงวันนี้ หรือถ้ามีพวกซุ่มยิงในวันนั้นก็ไม่ต้องยิงใครมาก ก็ยิงอภิสิทธิ์ สักนัด ยิงสุเทพสักนัด ก็จบ ไปซุ่มยิงชาวบ้านชาวเมืองเขาทำไม เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง
ขบวน การติดอาวุธเนี่ยนะ ฝ่ายไหน หรือใครยิง เสธ.แดง ? ใครได้ประโยชน์จากการตายของ เสธ.แดง ? ฝ่ายรัฐทั้งนั้น หลังจาก เสธ.แดงตายก็กระชับพื้นที่ เพราะฉะนั้นไม่มีหรอกฝ่ายที่ 3 มีวันเดียวได้ไง
ถ้า เราเชื่อโครงเรื่องทั้งหมดที่รัฐบาล เป็นคนเล่า เราก็ต้องเชื่อโครงเรื่องที่ว่า การ์ดเสื้อแดงหรือผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงมีปืนแต่ไม่ยิงทหาร และยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จก็เอาไปซ่อนไว้ในวัดปทุมฯ ถ้าเราเชื่อ สุเทพกับอภิสิทธิ์ก็ต้องเชื่อว่าข้อความที่ผมพูดทั้งหมดนั้นเป็นจริง คุณเชื่อไหม ?
เออ ทำไมถ้ามีอาวุธมากขนาดนั้น มึงไม่ยิงทหาร แต่ไปยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จ เอาไปซ่อนไว้วัดปทุมฯ มึงจะบ้าหรือเปล่า ถ้าเราไม่เชื่อในโครงเรื่องนี้ สิ่งที่สุเทพกับอภิสิทธิ์ทำก็เหลวไหลหมด ที่น่าวิตกคือคนส่วนมากเชื่อในโครงเรื่องแบบนี้เป็นการฟังความข้างเดียว ทั้งที่หากเป็นไปตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าเสื้อแดงใช้อาวุธมากขนาดนี้ ทหารก็ต้องตายไม่น้อยกว่าร้อย
- ช่วยเล่าย้อนนาทีที่ถูกตำรวจควบคุมตัวจนถึงถูกยึดหนังสือ อดข้าวประท้วง
วัน อาทิตย์ (23 พ.ค.) ตำรวจไปค้นที่บ้านผมตอนบ่าย ผมก็เลยโทร.ไปคุยกับตำรวจ เขาบอกว่า ที่มาค้นเพราะมีหมายค้น มาตามคำสั่งของ ศอฉ. ผมก็เลยนัด ผู้กำกับให้มารับที่จุฬานิเวศน์ และคนที่มารับอีกคนก็เป็นคนระดับ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) จากนั้นท่านก็พาผมไปส่งที่กองปราบฯ พอมาถึงที่กองปราบฯท่านผู้บัญชาการไถง (พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู) ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ก็มารับด้วยตัวเอง
จากนั้นท่านก็แจ้งว่ามีหมายจับของ ศอฉ.ส่งมาโดยได้ขออนุมัติศาลมาเรียบร้อยแล้วว่าให้ควบคุมตัวผมไปไว้ที่ค่าย อดิศร (จ.สระบุรี) ทันที ผมก็ไปอยู่ค่ายอดิศรเป็นเวลา 8 วัน
- ระหว่างเดินทางไปที่ค่ายอดิศร อาจารย์ถูกควบคุมด้วยรถอะไร
ไปรถตำรวจ มีตำรวจถือปืนขนาบซ้าย-ขวานั่งคู่ไปด้วย ในรถมี 5 คน มีตำรวจ 4 คน นั่งหน้า 2 คน นั่งหลัง 2 คน ผมนั่งตรงกลางเบาะหลัง มีรถหวอนำขบวน ตลอดทาง
ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมเข้าใจว่านี่คงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ได้นั่งรถโดยมีรถนำขบวน ได้รับเกียรติอย่างสูงมากที่ ผู้บัญชาการไถง ได้มอบให้ผม (หัวเราะ)
- เหตุการณ์ที่อาจารย์ตัดสินใจอดข้าว หลังถูกยึดหนังสือ
ทหารก็มา แจ้งว่า จะต้องขอหนังสือที่ ผมอ่านทั้งหมดไปตรวจก่อนว่ามีหนังสืออะไรบ้าง ผมก็ให้เขาไปหมด อยากตรวจ ก็ตรวจ ผมถามหลายรอบนะว่าหนังสือผมจะได้คืนเมื่อไร ผมคิดว่า โอ้โฮ...ข้ามวันแล้วคงไม่ได้หนังสือคืนแน่ ถ้าไม่ทำอะไร สักอย่าง
ผม จึงได้เรียนนายทหารที่ควบคุมตัว ทราบว่าผมจะขออนุญาตไม่รับประทานอาหาร จนกว่าจะได้รับหนังสือคืน ผมไม่ได้อดอาหารประท้วงนะครับ ผมประท้วงไม่เป็น แต่ผมขออนุญาตไม่ทานข้าว
- ไม่ได้เรียกว่าประท้วง
อ้าว...ก็ ท่านอภิสิทธิ์ก็ไม่เคย "สลาย การชุมนุม" ท่านเพียงแต่ "ขอพื้นที่คืน" ไม่เคยสลายการชุมนุมมาก่อน ผมก็ไม่ได้ "ประท้วง" เพียงแต่ "ขออนุญาตไม่ทานข้าว" และที่เอาตัวผมไป ผมก็ไม่เคยถูกขัง ผมแค่ถูก "ควบคุมตัวชั่วคราว" โดยมีลวดหนามล้อมรอบ (หัวเราะ)
ผมไม่ทาน ข้าวอยู่ 8 ชั่วโมง ผมมีโรคประจำตัว แต่ในที่สุดผมก็ได้หนังสือคืน ผมก็เริ่มทานข้าวปกติ ผมคิดว่าถ้าไม่ทำอย่างงั้นก็คงตรวจหนังสือผมอีกหลายวัน อยู่อย่างงั้นถ้าไม่มีหนังสืออ่านก็เป็นชีวิตที่แย่มาก
- หนังสือของอาจารย์ในระหว่างถูกควบคุมตัว
มีหนังสือปรัชญาประวัติ ศาสตร์ เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ Philosophy of History หนังสือประวัติศาสตร์เมืองมาลายา Red star over Malaya หนังสือประวัติมิเชล ฟูโก คนเขียนชื่อธีรยุทธ บุญมี และทฤษฎีโพสต์โมเดิร์น ฉบับการ์ตูน เป็นงานแปล อีกเล่มชื่อ คนไทยในกองทัพนาซี คนเขียนชื่อ พ.อ.วิชา ฐิตวัฒน์ และอีกเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือของผมเอง ผมเอาไปตรวจพิสูจน์อักษร ชื่อ "แผนชิงชาติไทย"สัปดาห์นี้มา เอาใจคนเหนือ หัวใจรักมะเขือเทศกันซักนิด กับสูตรน้ำเงี้ยวแสนอร่อย ที่ ร้านชื่อ ‘ขนมเส้น’
สัปดาห์นี้มาเอาใจคนเหนือ หัวใจรักมะเขือเทศกันซักนิด ว่าแต่เป็นมะเขือเทศกินได้แถมยังอร่อยสร้างเสริมสุขภาพที่ดี เป็นมะเขือเทศแท้ๆ ซึ่งหมูหวานเคยพูดในรายการวิทยุว่า ตามตำราแล้วมะเขือเทศลูกแดงๆ นั้นรับประทานสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดของมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ได้กว่าร้อยละ 45 เชื่อไหมว่า มะเขือเทศป้องกันโรคมะเร็งได้ เพราะมีสารแอนติออกซิแดนซ์ อย่างน้อย 2 ตัว ผักสีแดงชนิดนี้มีรสชาติอร่อยในตัว เพราะมีกรดอะมิโนเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ว่าไปแล้วเป็นกรดตัวเดียวที่มีอยู่ในผงชูรส ใครที่ไม่อยากกินชูรสแต่อยากให้อาหารรสชาติดี ใช้มะเขือเทศแทนได้แถมยังไม่ต้องกลัวว่ามะเร็ง หรือความแก่ชรา หน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรจะถามหาอีกด้วย
บ้านเกิดของมะเขือเทศอยู่ที่อเมริกา คนพื้นเมืองที่นั่นใช้เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงมาตั้งแต่ดั้งเดิม แพร่ขยายสู่ทวีปยุโรป อิตาลี ถือว่าเป็นประเทศแรกๆ ที่รู้จักมะเขือเทศ เมื่อประมาณต้นปี ค.ศ.1544 (ก็ประมาณ 466 ปีที่แล้ว) ต่อมาประเทศอื่นๆ ในยุโรปก็เลยปลูกกันอย่างกว้างขวาง
มะเขือเทศเป็นพืชล้มลุก ปลูกได้ตลอดปี เป็นพืชที่ขึ้นง่าย ปลูกง่ายในบ้านเรา ปลูกในกระถางเล็กๆ ก็ยังได้ ที่ปลูกง่ายในบ้านเราก็เพราะว่ามะเขือเทศชอบอากาศที่อบอุ่น และชอบแสงแดด แค่ 40 วันก็ออกผลแล้วละว่าแต่พูดเรื่องมะเขือเทศมายืดยาวทำไมละ หมูหวานแค่อยากจะบอกว่า อาหารที่กำลังจะแนะนำนั้นขาดมะเขือเทศไม่ได้ นั่นก็คือ ‘น้ำเงี้ยว’ สูตรชาวเชียงใหม่ ที่คุณ ‘สุพัตรา ศุขเนตร’ ตั้งใจปรุงให้อร่อยมาช้านาน ด้วยความที่เป็นแม่บ้านสามีและลูกชายทำงานอยู่ที่การบินไทย จึงขึ้นชื่อระบืออยู่ในหมู่ฝูงบิน (ฮา) เธอหางานให้ลูกสาว (น้องแตน-ยุพาวรรณ) ทำด้วยการเปิดร้านชื่อ ‘ขนมเส้น’ อยู่ปากซอยหมู่บ้านทาวน์พลัส ขายไม่กี่วันพนักงานย่านนั้นก็ติดกันงอมแงม (ไม่รู้ว่าติดแม่ค้าหรือติดอาหาร เอาเป็นว่าถูกทุกข้อก็แล้วกัน)
น้ำเงี้ยวสูตรนี้ ฝีไม้ลายมือใกล้เคียงกับสูตรเชียงรายบ้านหมูหวาน ต่างกันตรงใส่มะเขือเทศทั้งลูก ต้มจนเปื่อย เวลารับประทานน้ำเงี้ยวตักเนื้อมะเขือเทศรับประทานไปด้วยก็อร่อยไปอีกแบบ แต่ถ้าเป็นสูตรบ้านหมูหวานใช้มะเขือเทศลูกเล็ก หากใหญ่ไปจะผ่าครึ่งหรือหั่นพอดีคำมากกว่า แต่สูตรไหนก็อร่อยทั้งนั้น ถ้าแม่ครัวเป็นชาวเหนือแท้ๆ แบบร้านนี้ไงละ
“เมื่อก่อนก็ทำน้ำเงี้ยวรับประทานกันที่บ้าน เห็นลูกสาวอยู่ว่างๆ ก็เลยเปิดร้าน น้ำพริกที่จะทำน้ำเงี้ยวเราก็สั่งเจ้าอร่อยมาจากเชียงใหม่ (ร้านเม็งราย) สูตรนี้ขาดไม่ได้เลยต้องมีดอกงิ้ว 1 กำมือ เต้าเจี้ยว และปลากระป๋อง ร้านเราใช้หม้อเบอร์ 36 ก็จะมีปลากระป๋อง 2 กระป๋อง ....”
ร้านเพิ่งเปิดได้ 3 อาทิตย์ หมูหวานบังเอิญได้มาชิมแล้วติดใจยกนิ้วให้ น้ำเงี้ยวเขาอร่อยเข้มข้นมี กระดูกซี่โครงหมูต้มจนเปื่อย ใส่ดอกงิ้ว มีเลือดหมูในปริมาณที่พอดี มีมะเขือเทศที่หมูหวานชอบ น้ำซุปไม่มันจนเลี่ยน ที่สำคัญน้ำเงี้ยวร้านนี้ เขาเลือกขนมเส้น หรือขนมจีน เส้นเล็กๆ น่ารับประทาน
สูตรอร่อยประจำตัวหมูหวานก็คือ ปรุงน้ำเงี้ยวด้วยพริกป่นคั่วใหม่ๆ ใส่ผักกาดดองให้มีรสเปรี้ยว เติมกะหล่ำปลีดิบหั่นฝอย บีบมะนาวลงไปเล็กน้อย ให้มีรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ใครชอบหวานปรุงน้ำตาลลงไปเพิ่มนิดหน่อยก็จะครบ 4 รส บางคนก็ชอบรับประทานแกล้มกับพริกขี้หนูแห้งทอด แต่หมูหวานต้องแกล้มกับแคบหมูทอดใหม่ๆ ร้านนี้นอกจากน้ำเงี้ยวอร่อยแล้ว ยังมีข้าวซอยไก่ ที่วัตถุดิบอิมพอร์ตมาจากเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน ขายชามละ 30 บาท ร้านหยุดวันอาทิตย์วันเดียว เปิดบริการเวลา 09.00-15.00 น.
‘ร้านขนมเส้น’ อยู่ในซอยกิ่งแก้ว 37/4 ทางเข้าหมู่บ้านทาวน์พลัส เข้าซอยไปประมาณ 50 เมตรร้านอยู่ขวามือตรงกลางระหว่างมินิมาร์ทกับร้านกาแฟ โทร.086-669-8899 ร้านเล็กๆ แต่น้ำเงี้ยวอร่อยไม่เล็กนะจ๊ะ แถมยังเต็มไปด้วยคุณค่ามะเขือเทศแท้ๆ