จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ธาริต"แฉ แหลกอดีตผู้บริหารดีเอสไอ ชักจูงลูกน้องเก่าให้ข่าวดิสเครดิต แถมยังแอบตั้งวอร์รูมช่วยนปช. แจงสำนวนคดียุบพรรคปชป.มีหลักฐานไม่พอจริงๆ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงเปิดใจนานกว่า 30 นาที โดยชี้แจงว่าจำเป็นต้องแถลงข่าวเพื่อไม่ให้ข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน กรณีคดียุบพรรค ปชป.ว่า ตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอต่อจากพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง โดยการดำเนินคดียุบพรรค ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว พนักงานสอบสวนนำสำนวนส่งให้กกต. ตนเข้ามารับตำแหน่ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับคดีดังกล่าวเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ได้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาในกระทรวงยุติธรรม 2 ครั้ง ครั้งแรก สมัยที่พ.ต.อ.ทวี เป็นอธิบดีดีเอสไอ และอีกครั้งเมื่อตนเข้ามาเป็นอธิบดี โดยข้อร้องเรียนระบุว่า ความผิดหลักคดีเมซไซอะ บิซิแนลแอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เป็นความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ของบริษัททีพีไอ แต่พนักงานสอบสวนกลับไม่มุ่งทำคดีหลัก กลับไปมุ่งทำแต่คดียุบพรรค
นอกจากนี้ ยังร้องเรียนด้วยว่ามีการทำพยานหลักฐานไม่ถูกต้องหรือการปั้นพยานเท็จ ทำให้ทีพีไอ ไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะพยานปากนายประจวบ สังข์ขาว ซึ่งถูกกักตัวหรืออุ้มตัวไปบังคับเพื่อให้การไม่ตรงกับความจริง
นายธาริต กล่าวอีกว่า หนังสือร้องเรียนยังเรียกร้องให้ตรวจสอบกรณีการนำความลับในสำนวนคดีไปมอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไปใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2552 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทีพีไอ จึงร้องขอให้ตรวจสอบพนักงานสอบสวน ตนในฐานะอธิบดีถือว่ามีอำนาจสูงสุดในการสั่งคดีทุกเรื่อง การเรียกสำนวนมาตรวจสอบถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่พึงต้องทำ ไม่ใช่ไม่ทำ การที่พนักงานสอบสวนบางคนออกมาแถลงข่าวว่าไม่สบาย และขอถอนตัวจึงไม่มีมูล อีกทั้งหนังสือขอถอนตัวก็ไม่ได้อ้างถึงเหตุผลว่าถูกบีบบังคับจากใคร แต่อ้างว่าเป็นการพิจารณาตัวเอง ถอนตัวเพราะถูกร้องเรียนจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา ตนเมื่อเห็นว่าพนักงานสอบสวนไม่สบายใจที่จะทำคดี จึงอนุญาติให้ถอนตัว ซึ่งทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค ซึ่งจบไปแล้ว
"ในส่วนคดีไซฟ่อนเงินของทีพีไอ ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร อยากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพกับคดีลักทรัพย์ ลักของโจร ในคดีนี้ควรพิสูจน์ว่าทีพีไอไซฟ่อนเงิน และนำไปใช้ไม่ถูกต้องแต่กลับไม่สอบสวนให้ชัดเจนแล้วไปสรุปว่ามีการรับของโจร เกิดขึ้นแล้ว การที่พนักงานสอบสวนถอนตัว จึงไม่ทำให้คดีเสียหาย แม้จะมีการนำไปอ้างว่าจะไม่สามารถนำพนักงานสอบสวนชุดเดิมขึ้นเบิกความต่อศาล ก็ไม่เป็นความจริง เพราะระบบกฎหมายไทยต้องใช้พนักงานสอบสวนคนเดิมขึ้นเบิกความ แต่อยากชี้แจงว่าพนักงานสอบสวนไม่ใช่พยานหลักเป็นแค่พยานประกอบ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพ้ชนะของคดี"
นายธาริต กล่าวว่า การบิดเบือนและปรุงแต่งข้อมูล เป็นขบวนการดิสเครดิตดีเอสไอ ซึ่งกำลังรับผิดชอบคดีก่อการร้าย ข่าวที่ออกมาเป็นเพียงแผนขั้นต้น ตนจึงปล่อยให้มีแผนขั้นต่อไปอีกไม่ได้ ดังนั้น จึงขอให้อดีตผู้บริหารดีเอสไอยุติการชักจูงลูกน้องเก่า ไม่ให้เอาเรื่องเท็จมาพูด
"การที่ผมพูดอย่างนี้ก็จะมีคำถามว่าดีเอสไอมีแตงโม และมะเขือเทศ เรื่องนี้ก็อยากให้คิดกันเอง ความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างกันเป็นเรื่องไม่ผิด และคิดว่าทุกส่วนราชการก็มีเช่นกัน คนในดีเอสไอ 95% ตั้งใจทำงานอย่างมืออาชีพ แยกเรื่องศรัทธา และการเมืองเอาไว้ต่างหาก แต่ผมผิดหวังกับคนเพียง 5% ที่ถูกชักจูงโยอดีตผู้บริหารดีเอสไอบางคนไปตั้งวอร์รูมช่วย นปช.ทำผิดกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ผมไม่ทราบว่ากระทรวงยุติธรรมจะจัดการอย่างไร แต่ผมจะไม่ยอมให้เกิดการกระทำเป็นแผนขั้นที่ 2 หรือ 3 เพื่อดิสเครดิตดีเอสไออีก หวังว่าการออกมาพูดอย่างเปิดใจจะเป็นคำเตือนที่จะช่วยหยุดยั้งคนเหล่านี้ ให้หยุดทำสิ่งไม่ถูกต้อง"
นายธาริต ยังกล่าวถึง เรื่องการถูกโจรกรรมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ในรถของพ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัตน์ ก็ไม่มีความกระทบกระเทือนกับคดี เพราะหลักฐานได้ส่งไปที่กกต. หมดแล้ว ซ้ำร้ายเรื่องนี้ยังเป็นพิรุธต้องตรวจสอบให้ได้ความจริง เพราะได้ข่าวว่ารถไม่ได้ถูกทุบอะไรเลย แต่มีการตัดตอน ส่งคนอื่นขับรถไปจอดไว้อีกที่หนึ่ง แล้วก็บอกว่าของหาย และให้การทำนองว่าคงจะปิดประตูไม่แน่น ทุกอย่างมันมีความไม่ชอบมาพากล ตนจะทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ยอมให้ผู้ที่ตั้งใจทำงาน และหวังดีกับบ้านเมืองของดีเอสไอต้องถูกใส่ร้าย และเสียชื่อเสียงจากการตั้งใจทำงาน
"ผมเชื่อว่าสื่อมวลชนเป็นตัวแทนของประชาชน จะมีความสามารถ และมีความเป็นผู้รอบคอบในฐานะสื่อ เราคงไม่ต้องพูดกันก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชนให้ช่วยกันดูแลสถาบันนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อ ประชาชน"
เมื่อถามว่าประเด็นที่อัยการสั่งให้สอบเพิ่ม 8 ประเด็นได้ตรวจสอบพบหรือไม่ว่าขาดตกบกพร่องอย่างไร นายธาริต กล่าวว่า เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ถ้าตนไม่เรียกสำนวนมาดูคงเป็นเรื่องผิดปกติ การเรียกสำนวนมาตรวจสอบจึงไม่ใช่เรื่องการแทรกแซงแต่เป็นการดูว่ามีการปั้น พยานหรือไม่ การที่อัยการบอกว่าพยานไม่เพียงพอฟ้องถึง 8 ประเด็น ตนตรวจสอบแล้วเห็นด้วยกับอัยการ สำนวนคดีไม่มีอะไรหายไปแต่ที่ส่งไปมีอยู่แค่นั้น ก่อนหน้านี้มีการประโคมข่าวว่าทำสำนวนครบถ้วนสมบูรณ์
"ผมเติบโตมาสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเจริญรุ่งเรืองในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่การทำงานของผมทำอย่างข้าราชการคือตรงไปตรงมา ไม่เคยฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับถูกแทรกแซงด้วยการดิสเครดิตในการสอบสวนเพิ่มเติมคดียุบพรรคก็เป็นการ ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับกกต. ไม่เกี่ยวกับดีเอสไอ จึงไม่สามารถตอบได้ว่าจะแสวงหาหลักฐานเพิ่มให้คดีมีน้ำหนักพอฟ้องได้หรือไม่ แต่ในส่วนของคดีทีพีไอ เมื่อพนักงานสอบสวนชุดเก่าลาออกก็จะตั้งพนักงานสอบสวนชุดใหม่ทำหน้าที่แทน แต่ขณะเดียวกันจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบว่าชุดเก่าได้ทำในสิ่งที่ไม่ ถูกต้องจริงหรือไม่ รวมทั้งจะตรวจสอบรวมไปถึงกรณีงัดตู้เก็บสำนวนคดีฆ่าตัดตอนในสำนักคดีอาญา พิเศษด้วย"