จาก โพสต์ทูเดย์
บางแสน ชื่อนี้คงเป็นชื่อที่แสนคุ้นเคยของใครหลายต่อหลายคน รวมถึงตัวผมด้วย เพราะตัวผมเองนั้นคุ้นเคยกับบางแสนมาตั้งแต่ตัวยังน้อยอยู่เลยครับ เป็นทะเลแห่งแรกที่ผมได้สัมผัส
โดย...นิธิ ท้วมประถม
เมื่อตอนที่แล้วผมพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวอ่างศิลาในมุมมองที่ผมเองไม่เคย เห็นมาก่อน ซึ่งก็มีหลายท่านที่อ่านแล้วบอกว่ามองข้ามทั้งตึกราชินีและตึกมหาราชไป เหมือนกัน เดินแต่ตลาดเก่ากับสะพานปลามากกว่า ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องธรรมดานะครับที่หลายต่อหลายคน “พลาด” ที่จะเที่ยวสิ่งดีๆ ในท้องถิ่น เนื่องจากไม่ได้ศึกษาก่อนว่าในที่ที่เราจะไปนั้นมีอะไร
“ซ่อน” อยู่บ้าง ทำให้เสียโอกาสได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
แหลม แท่น
สัปดาห์นี้ผมยังวนเวียนอยู่แถวชลบุรีเหมือนเดิมครับ เพราะช่วงนี้ยังไม่อยากไปไหนไกลกรุงเทพฯ ครับ อารมณ์เที่ยวไม่ค่อยจะมี ไม่ค่อยสุนทรีย์เท่าไหร่ การเมืองวุ่นๆ อย่างนี้ เซ็งสุดๆ เลยครับ
แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นานทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี และคราวนี้จะถึงเวลานักท่องเที่ยวอย่างเราๆ แล้วละครับ เพราะผมได้คุยกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในระดับนายกสมาคมหลายต่อหลายคน ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้ยังไงก็ต้องเกิดสงครามราคาในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างแน่นอน
ก็แหม...ยิงกันอย่างกับหนังสงครามอย่างนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไหนจะตีตั๋วเครื่องบินมาเที่ยวประเทศไทยละครับ เมื่อเป็นอย่างนั้น หุหุ...พวกโรงแรมหลายดาวทั้งหลายก็ต้องหันมา “ง้อ” คนไทยที่เบี้ยน้อย แต่หอยน้อยหรือไม่ไม่แน่ใจ อย่างเราให้ไปเที่ยวแทนชาวต่างชาติ
เตรียมเก็บเงินไว้ได้เลยครับ งานแฟร์ท่องเที่ยวใหญ่ๆ ที่จะมีขึ้นในเดือน มิ.ย. และ ก.ค.นี้ แคมเปญกระฉูดแน่
เอ้า... ออกนอกเรื่องไปเสียไกลเลย กลับมาเที่ยวบางแสนต่อดีกว่าครับ
บางแสน ชื่อนี้คงเป็นชื่อที่แสนคุ้นเคยของใครหลายต่อหลายคน รวมถึงตัวผมด้วย เพราะตัวผมเองนั้นคุ้นเคยกับบางแสนมาตั้งแต่ตัวยังน้อยอยู่เลยครับ เป็นทะเลแห่งแรกที่ผมได้สัมผัสรสเค็มจากน้ำทะเล เท้าเหยียบหาดทรายแห่งแรกก็ที่นี่ นั่งขุดหอยเสียบเล่นก็ที่นี่ขี่จักรยานเป็นก็ที่นี่
บางแสนในความทรงจำของผมนั้นยังสวยงามอยู่เสมอ เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่บอกว่าจะพาไปเที่ยวบางแสนก็ตาเป็นประกาย กระโดดโลดเต้นกันทั้งพี่ทั้งน้องแล้วครับ
สมัยนั้นการเดินทางไปบางแสนค่อนข้างลำบากเหมือนกันครับ เพราะถนนหนทางยังแคบเหลือเกิน ไม่เหมือนสมัยนี้ ยังต้องใช้ถนนสุขุมวิทสายเก่าที่ต้องผ่านบางปู ไม่ใช่ถนนบางนา-ตราด เหมือนในปัจจุบัน ถนนเส้นเล็กๆ รถวิ่งสวนไปสวนมา แม้ว่าถนนจะแคบ แต่ก็ไม่ติดเหมือนอย่างในปัจจุบันครับ ไปกันแบบเรื่อยๆ สุขเหลือหลายครับ
แต่ปัจจุบันการเดินทางไปบางแสนนั้นแสนสบายจริงๆ ขึ้นทางด่วนปรู๊ดเดียวก็ถึงแล้ว
และอีกอย่างที่เวลาพูดถึงบางแสนแล้วผมต้องนึกถึง คือ ไก่ย่างสีเหลืองที่แสนหอมที่รสชาติยังติดลิ้นอยู่เลยครับ
ผมขับรถออกจากอ่างศิลา ไปแบบเรื่อยๆ เพื่อต่อไปยังบางแสนครับ ผมใช้เส้นทางเลียบชายทะเล อ่างศิลา
แทนการย้อนไปถนนใหญ่ เพราะอยากเห็นบรรยากาศสบายๆ ริมทะเล ที่ตอนนี้แม้ว่าจะเห็นแต่ร้านอาหารตั้งอยู่ริมทะเลเต็มไปหมด แต่ยังได้เห็นทะเลและฟาร์มหอยแมลงภู่ หอยนางรม อยู่เต็มหน้าหาดอ่างศิลา ก็ยังชื่นใจว่าเมืองไทยยังอุดมสมบูรณ์อยู่
ห่วง ยางสัญลักษณ์บางแสน
ขับเลาะหาดไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ทางเทศบาลของที่นี่ได้ปรับปรุงถนนเลียบหาดไว้เป็นอย่างดีครับ โดยเฉพาะช่วงใกล้ๆ กับทางขึ้นเขาสามมุขนั้นถนนดีมาก มีขอบทางให้ลงไปเดินและถ่ายรูปได้ด้วย
ระหว่างทางสายตาผมเริ่มเห็นเจ้าลิงตัวน้อยเดินไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามถนนและ ริมรั้วของบ้านช่องที่อยู่แถวนี้ ผมก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้ผมเริ่มเข้าสู่ “วานรนคร” หรือ เขาสามมุขแล้ว
เขาสามมุข เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของ จ.ชลบุรี ครับ เพราะที่นี่นอกจากมีร้านอาหารทะเลชื่อดังที่แสนจะแพงแล้ว ยังมีศาลเจ้าแม่สามมุข ซึ่งเป็นที่สักการบูชาของคนแถวนั้น ถ้าผ่านแถวนั้นก็แวะลงไปได้ครับ เพราะที่นั่นนอกจากจะมีศาลเจ้า มีพระให้ไหว้สักการะแล้วยังมีตำนานอีกด้วย
จะว่าไปแล้ว เมืองไทยนี่มีตำนานเยอะมากครับ ไปที่ไหนก็มีตำนาน แต่เจ้าตำนานนี่แหละครับที่จะเป็นตัวบอกรากเหง้าของความเป็นไทยว่าเป็นอย่าง ไร
เหมือนอย่างตำนานเขาสามมุขนี่แหละครับ ที่ออกจะดรามา ละครไทยหลังข่าว ได้เป็นอย่างดี
ต้องหลับตาย้อนอดีตกลับไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายโน่นเลยครับ สมัยนั้นแถวนี้มีหมู่บ้านชาวประมงตั้งอยู่เรียงราย และในหมู่บ้านก็ต้องมีหญิงสาวแสนสวย ชื่อ มุข ซึ่งสาวน้อยคนนี้กำพร้าพ่อแม่ก็เลยต้องมาอาศัยอยู่กับยายที่กระท่อมเล็กๆ ริมชายหาด
เฮ้อ...ถ้าเป็นปัจจุบัน สาวสวยอย่างนี้มาอยู่บ้านริมชายหาดละก็ โคตรรวยเลย ครับ แต่สมัยนั้นไม่ใช่
ตามท้องเรื่อง สาวน้อยผู้นี้ต้องลำบากตรากตรำอย่างมาก หึหึ...แต่ฟ้าคงมีตา ต้องส่งหนุ่มสุดหล่อแสนรวยมาให้มาเจอะเจอกัน และก็แน่นอนหนุ่มหล่อแสนรวยคนนี้ ชื่อ แสน เป็นบุตรของกำนันปาย เศรษฐีแห่งบ้านหิน (อ่างศิลา) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น
ตำนานไม่ได้บอกครับว่าหนุ่มสาวสองคนนี้มาเจอกันได้ยังไง แต่เป็นว่ามาเจอกันแล้วก็ปิ๊งๆ รักกันน่าดู และสัญญาว่าจะรักกันชั่วนิรันดร์ (ตามฟอร์ม) และก็ต้องตามบทสุดคลาสสิก เมื่อพ่อกำนันของหนุ่มแสนรู้เข้าก็ต้องกีดกัน ไม่ให้ลูกชายมาคบหากับสาวชาวบ้านที่แสนยากจน แต่มีที่ติดทะเลอย่างนี้
อาหาร ทะเลริมทาง
และบังคับขู่เข็ญให้หนุ่มแสนเลิกกับสาวมุขและไปแต่งงานกับสาวอื่นที่ สมบูรณ์พร้อม หึหึ...เริ่มน้ำตารื้นกันแล้วใช่มั้ยครับ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องตามคาดครับ พ่อหนุ่มแสนของเราก็ต้องตามใจป๋ามากกว่าหัวใจ เลยแต่งงานกับสาวอื่นที่พ่อกำนันหามาให้
แน่นอนครับ สาวมุข ในฐานะนางเอกตามท้องเรื่องก็ต้องกลืนน้ำตาและแสดงตัวเป็นนางเอกด้วยการไปงาน แต่งงานของหนุ่มแสน เพื่อมารดน้ำสังข์หวังอวยพรให้หนุ่มแสนมีความสุข พร้อมทั้งคืนแหวนที่แสนเคยให้ไว้ (สุดยอดจริงๆ)
หลังจากคืนแหวนแล้ว สาวมุขก็วิ่งขึ้นไปบนหน้าผาแล้วกระโดดหน้าผาเพื่อบูชาความรักโดยที่ไม่มีใคร ห้ามทัน (ถ้าห้ามทันตำนานก็ไม่คลาสสิกสิ หึหึ...) เมื่อหนุ่มแสนเห็นอย่างนั้น และเพื่อให้เรื่องนี้เศร้าเข้าไปอีก แสนก็เลยตัดสินใจกระโดดหน้าผาตายตามสาวมุขด้วย
และจากตำนานเรื่องนี้ อนุสรณ์แห่งความรักของสองหนุ่มสาวนี้ คือ เขาสามมุขและหาดบางแสนมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ออกจากเขาสามมุขแบบกลิ่นธูป เทียน เต็มตัว ก็ขับรถเรื่อยๆ เรียบชายหาดมาอีกหน่อยก็มาถึงปากทางแห่งบางแสนแล้วครับ นั่นคือ แหลมแท่น ซึ่งทางเทศบาลเมืองแสนสุขได้สร้างศาลาปูนยื่นออกไปในทะเลแบบถาวรเอาไว้เป็น สถานที่พักผ่อนของชาวบ้านแถวนี้ ซึ่งดูดีและสะอาดสะอ้านมากครับ เห็นชาวบ้านออกมาเหวี่ยงเบ็ดตกปลากันเป็นแถวเลย
แถมยังมีนักท่องเที่ยวหอบข้าวปลา อาหาร มานั่งตามที่ร่มๆ ปิกนิกกันแบบสบายๆ ลมทะเลพัดตลอดเวลา ทำให้ช่วยคลายร้อนจากแดดที่จ้าได้ไม่น้อยทีเดียว
เลยแหลมแท่นไปนิดก็เข้าเขตชายหาดแล้วครับ เอกลักษณ์ที่เห็นชัดๆ คือ แนวร่มชายหาดที่ตั้งเบียดเสียดกันตลอดแนวหาดที่ยาวเกือบ 4 กิโลเมตร ถือเป็นความเป็นตัวตนของบางแสนจริงๆ
ต้องยอมรับครับว่า เทศบาลเมืองแสนสุข จัดระเบียบชายหาดบางแสนได้ดีมาก มีทางเดินปูด้วยหินเรียบสวยงามยาวตลอดหาด ซึ่งทางเดินนี้ก็เป็นที่ตั้งของร้านอาหารแบบเคลื่อนที่เร็ว หรือร้านอาหารแบบรถเข็น ซึ่งมีทั้งอาหารทะเล ทั้งนึ่ง ทั้งลวก แบบทานด่วน คือ ใส่ไว้ในจานหรือในถุง พร้อมเสิร์ฟทันที
ขนม ปังกล้วย
ผมจอดรถริมถนนแบบสบายๆ เพราะยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก เพื่อเดินลงไปสำรวจชายหาดบางแสนเสียหน่อยว่าเป็นยังไง
บอกได้เลยครับว่าชายหาดที่นี่เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งของการเที่ยวทะเล เพราะถ้าคุณมาบางแสน แน่นอน ต้องเช่าเก้าอี้ผ้าใบ ตัวละ 60 บาท ครอบครัวมีกี่คน คูณได้เลยตามจำนวน แล้วก็เลือกนั่งได้ตามใจชอบ ถ้ามาเร็วหน่อยอาจจะได้นั่งติดชายทะเลรับลมรับแดดกันได้เต็มที่ แต่ถ้ามาช้าก็ต้องถัดลึกมาด้านในหน่อย แต่ยังไงเท้าก็เหยียบทรายเหมือนกัน แต่อาจจะดูแออัดไปหน่อย ก็ทนๆ เอาแล้วกัน
ผมเดินๆ ดูแล้วไม่ค่อยถนัดกับการนั่งเล่นชายหาดแบบนี้เท่าไหร่ครับ ดูแปลกๆ แต่เห็นมีนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว จูงลูกจูงหลาน พร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มทยอยมาหาที่นั่งกันแบบต่อเนื่องก็แปลกตาดี เหมือนกัน
แต่ว่าไปแล้ว บางแสน คือที่เที่ยวทะเลที่สะดวกที่สุดครับ เพราะเมื่อวิ่งเล่นน้ำทะเลกันจนฉ่ำใจแล้ว ก็เดินข้ามถนนไปก็จะมีห้องน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ ที่มีทั้งห้องสุขาและห้องอาบน้ำไว้คอยบริการ ซึ่งก็สะดวกดีครับ ไม่จำเป็นต้องไปเปิดโรงแรมนอนก็มีห้องน้ำใช้ได้เหมือนกัน
จุดนี้น่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้หาดบางแสนได้รับความนิยมจากบรรดานัก เที่ยวทะเลแบบชั่วคราว ไม่ค้างคืน เพราะอาหารการกิน ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ก็มีให้บริการครบถ้วน
ส่วนตัวผมไม่ได้ใช้บริการเตียงผ้าใบหรืออาหารแถวนั้น ได้แต่เดินดูชายหาด ที่บอกได้เลยว่าไม่สวยเอาเลยครับ หาดทรายค่อนข้างดำ น้ำทะเลก็ออกคล้ำๆ ซึ่งทางเทศบาลแสนสุขน่าจะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้หน่อย
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ที่เดินๆ ดูจากร้านขายแล้ว ก็ถือว่าสะอาดใช้ได้ครับ แต่จะสดหรือเปล่าไม่แน่ใจ เห็นปูนึ่งอยู่ในซึ้ง หอยแครง หอยแมลงภู่ ตัวเป้งๆ อยู่ในจานโฟม หรือไม่ก็อยู่ในถุงพลาสติก พร้อมยกเสิร์ฟ ก็น่าจะโอเค แต่ที่น่ากลัวคือ พี่ๆ แม่ค้าทั้งหลายเล่นอุ่นหอย อุ่นปู ทั้งถุงพลาสติก เลยไม่รู้ว่าถ้าเนื้อหอยหนึบๆ เพราะพลาสติกหรือตัวหอยจริงๆ
ถนน คนเดินยามค่ำคืน
อ่ะฮ้า เดินเรื่อยเปื่อยดูบรรยากาศไปเรื่อยๆ ก็เห็นแล้วครับ ไก่เหลือง ไก่ย่างสีเหลืองอ๋อยที่เคยทานตั้งแต่สมัยเด็กๆ กำลังปิ้งควันฉุย แถมยังส่งกลิ่นยั่วยวนต่อมน้ำลายไม่น้อย เห็นอย่างนี้ต้องรี่เข้าไปซื้อทันทีครับ ไม่ต้องถามแล้วว่าที่ไก่เหลืองอย่างนี้ เหลืองเพราะขมิ้น หรือสี เอาเป็นว่ากินเพื่อสนองอดีตเสียหน่อย
อืมมม...หวานใช้ได้ครับ กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ แหล่มเลย แต่ให้ทานบ่อยๆ ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะไม่แน่ใจว่าผ่าน อย. หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ อย. ของผมอาหย่อยครับ ชอบๆ
ส่วนยามค่ำคืนของบางแสนกลับน่าเดินกว่าครับ แต่อ่ะอ่ะ...ไม่ใช่เดินชายหาดนะครับ แต่เป็นที่แหลมแท่นครับ เพราะที่นั่นคืนวันศุกร์และเสาร์ มี Walking Street ฮ่าฮ่า หรือถนนคนเดินนั่นเอง เป็นถนนคนเดินที่แสนเก๋ไก๋ไม่เหมือนตลาดนัดตอนกลางคืนครับ เพราะสินค้าที่มาวางขายนอกจากอาหารการกิน ซึ่งขาดไม่ได้สำหรับตลาดนัดแบบไทยๆ เราแล้ว ก็มีสินค้าน่ารักๆ ประเภทสินค้าประดิษฐ์เองขายเองอยู่ไม่น้อย และร้านแต่ละร้านก็ขายแบบแบกับดิน ใช้ไฟตะเกียงดวงเล็กๆ เป็นแสงสว่างของแต่ละแผง เก๋ดีครับ เพราะทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นสินค้า ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วเผลอซื้อได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เรียกว่าเจ้าตะเกียงนี้เป็นเหมือนตะเกียงล่อแมลงเม่าอย่างนักช็อปให้เข้าไป ซื้อของได้ชะงัดนัก
แถมยังมีศิลปิน นักวาดรูป มาเปิดร้านรับวาดรูปเหมือน ทั้งแบบการ์ตูนและแบบเหมือนจริง เลือกกันได้ตามสะดวก
เดินดูเพลินๆ เลยครับ เป็นถนนคนเดินที่เก๋ไก๋น่าเดินเล่นมากๆ แห่งหนึ่งก็ว่าได้ เพราะสินค้าไม่ใช่สินค้าตลาดนัด ที่หันไปทางไหนก็เจอเหมือนกันหมด
เฮ้อ...ไม่น่าเชื่อ บางแสนที่ผมประทับใจในวันนี้ กลายเป็นบางแสนยามค่ำคืน แทนบางแสนยามกลางวันเสียแล้ว