จาก โพสต์ทูเดย์
ผลการตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของ 86 รายชื่อ ที่ดีเอสไอ ได้ตรวจสอบระหว่างวันที่28เม.ย.2552-พ.ค.2553 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ครอบครัว-ญาติ พ.ต.ท.ทักษิณ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีเงินไหลเวียนในบัญชีประมาณ 100 ล้านบาท
คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ยอดเงินหมุนเวียน 57 ล้านบาท โดยมีการฝาก 3 ล้านบาท ถอนประมาณ 54 ล้าน
นายพานทองแท้ ชินวัตร พบยอดเงินหมุนเวียน 4,284 ล้านบาท ฝากประมาณ 16 ล้านบาท ถอนประมาณ 4,233 ล้านบาท
น.ส.พินทองทา ชินวัตร พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชี ประมาณ 7,630 ล้านบาท ฝากประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่มีข้อสังเกตว่าตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2553 ถอนเงินจาก 3 บัญชี มีการถอนเงินออกจากบัญชี เป็นเงิน 6,630 ล้านบาท
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบเงินไหลเวียนในบัญชี ประมาณ 317 ล้านบาท ฝากประมาณ 150 ล้านบาท ถอนประมาณ 166 ล้านบาท โดยเฉพาะวันที่ 28 เม.ย. 2553 มีการถอนเงินประมาณ 140 ล้านบาท
นางเยาวเรศ ชินวัตร มียอดเงินหมุนเวียน 34 ล้านบาท ถอน 14 ล้านบาท
นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชี ประมาณ 5,454 ล้านบาท ฝากประมาณ 290 ล้านบาท แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2553 มีการถอนเงินออกจากบัญชี เป็นเงิน 4,565 ล้านบาท
นางกาญจนา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมาน พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชี ประมาณ 409 ล้านบาท โดยมีการเบิกเงินสดและโอนเงินจำนวนมาก
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ. การตรวจสอบพบว่ามีเงินไหลเวียนโดยการฝากและถอนเงิน เป็นยอดเงินประมาณ 37 ล้านบาท
กลุ่มนักการเมืองพรรคเพื่อไทย
นายการุณ โหสกุล สส.กทม. มีเงินหมุนเวียนในบัญชี ประมาณ 46 ล้านบาท ฝากประมาณ 24 ล้านบาท ถอนเงิน ไป 22 ล้านบาท
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ สส.กทม. มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 165 ล้านบาท ฝากเงินประมาณ 73 ล้านบาท ถอนเงิน 92 ล้านบาท
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 334 ล้านบาท ฝากเงินประมาณ 167 ล้านบาท ถอนเงิน 167 ล้านบาท
นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.คมนาคม มีเงินไหลเข้าบัญชีประมาณ 21.5 ล้านบาท และถอนเงิน ออกจากบัญชีภายใน 9 วัน
นายไชยา สะสมทรัพย์ สส.นครปฐม มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 40 ล้านบาท ฝากเงินประมาณ 18 ล้านบาท ถอนเงิน 19 ล้านบาท ซึ่งมีการฝากถอนเกือบทุกวัน
นายประชา ประสพดี สส.สมุทรปราการ มีเงินไหลเวียนประมาณ 30 ล้านบาท ฝากเงินประมาณ 16 ล้านบาท ถอนเงิน 14 ล้านบาท ซึ่งมีการฝากถอนเกือบทุกวัน
นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร สส.นครนายก มีการกู้ยืมเงินทั้งหมด 22 ล้านบาท และมีการนำมาใช้คืน
นายสงวน พงษ์มณี สส.ลำพูน มีเงินไหลเวียน 2 ล้านบาท ฝากและถอนเป็นเงินสด
นายไพโรจน์ ตันบรรจง อดีต สส.พะเยา มีเงินไหลเวียนประมาณ 2.8 ล้านบาท ฝากและถอนเป็นเงินสด
นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี มีเงินไหลเวียน 3.6 ล้านบาท ฝากและโอนวันละหลายครั้ง
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ สส.นครราชสีมา มีเงินไหลเวียนประมาณ 20 ล้านบาท ฝากและโอนโดยไม่ใช้สมุดคู่ฝาก
นางดวงแข อรรณพพร สส.ขอนแก่น มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 5 ล้านบาท
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต รมช.มหาดไทย มีเงินไหลเวียนประมาณ 14 ล้านบาท ถอนเงิน 13 ล้านบาท
นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร สส.ขอนแก่น มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 125 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สส.ขอนแก่น มีเงินไหลเวียนประมาณ 3 ล้านบาท
นายเจริญ จรรย์โกมล สส.ชัยภูมิ มีเงินไหลเวียนประมาณ 22 ล้านบาท ฝากประมาณ 14 ล้านบาท ถอนประมาณ 8 ล้านบาท
นายอนุสรณ์ ปั้นทอง สส.กทม. มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 32 ล้านบาท ฝากประมาณ 18 ล้านบาท ถอน 14 ล้านบาท
นายสงคราม เลิศกิจไพโรจน์ มีเงินไหลเวียนประมาณ 795 ล้านบาท ฝาก 348 ล้านบาท ถอน 347 ล้านบาท
นายสุธรรม แสงประทุม มียอดเงินหมุนเวียน 4 ล้านบาท ฝากด้วยการโอนถอนเช็คเงินสด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มีเงินหมุนเวียน 866 ล้านบาท ถอน 422 ล้านบาท นายประยุทธ มหากิจศิริ มีเงินหมุนเวียน 1,771 ล้านบาท ถอน 794 ล้านบาท
นายพันธ์เลิศ ใบหยก มีเงินหมุนเวียน 585 ล้านบาท ถอนประมาณ 128 ล้านบาท
กลุ่มแกนนำ นปช. และอื่นๆ
นพ.เหวง โตจิราการ มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 1.4 ล้านบาท ฝากด้วยเช็ค 1.4 ล้านบาท
นายวีระ มุสิกพงศ์ มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 10.5 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการฝากและถอนเป็นเงินสด
นายขวัญชัย ไพรพนา มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 14 ล้านบาท ฝากเงินสดและถอนเงินสดผ่านเอทีเอ็ม
นายนิสิต สินธุไพร มีเงินไหลเวียนประมาณ 8 ล้านบาท ฝากเงิน 5 ล้านบาท ถอนเงิน 3 ล้านบาท มีการฝากถอนผ่านเอทีเอ็ม
นายก่อแก้ว พิกุลทอง มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 2.1 ล้านบาท
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 10 ล้านบาท ฝากมีการถอนเงินผ่านเอทีเอ็มหลายครั้ง
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ การตรวจสอบพบว่ามีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 14 ล้านบาท ฝาก 9 ล้านบาท ถอน 5 ล้านบาท
นายเมธี อมรวุฒิกุล มียอดเงิน 1 ล้านบาท ถอนประมาณ 7 แสนบาท นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข มียอดเงินหมุนเวียน 3 แสนบาท
นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวศ เงินหมุนเวียน 32 ล้านบาท ถอนประมาณ 12 ล้านบาท
นายเอกราช ช่างเหลา มียอดเงินหมุนเวียน 1,281 ล้านบาท
นางวิยดี สุตะวงศ์ ยอดเงินหมุนเวียนประมาณ 281 ล้านบาท ถอนประมาณ 139 ล้านบาท พบว่ามีการใช้บัตรเครดิตที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกัมพูชาหลายครั้ง
นายทัศ เชาวนเสถียร เงินหมุนเวียน 720 ล้านบาท ถอนประมาณ 426 ล้านบาท
นายสมหวัง อัสราษี มีเงินหมุนเวียนประมาณ 85 ล้านบาท มีการฝากและถอนโดยวิธีการโอนไม่ใช้สมุดคู่ฝาก
นางจุฑารัตน์ เมนะเศวต มีเงินหมุนเวียน 89 ล้านบาท มีการฝากเงินถอนเงินสดโดยวิธีการโอน
นายสมชาย ไพบูลย์ มียอดเงินหมุนเวียน 1.5 ล้านบาท มีการฝากถอนโดยไม่มีสมุดคู่ฝากผ่านเอทีเอ็ม
นายพศิน หอกลาง มีเงินหมุนเวียน 4,720 ล้านบาท ถอนประมาณ 2,360 ล้านบาท โดยวิธีการโอนเข้าบัญชีและเช็ค
นางสุกัญญา ประจวบเหมาะ มีเงินหมุนเวียน 24 ล้านบาท ถอน 12 ล้านบาท
นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ มียอดเงินหมุนเวียน 56 ล้านบาท ถอนประมาณ 52 ล้านบาท
กลุ่มอดีตนายทหารและตำรวจ
พล.ท.มนัส เปาริก นายทหารเตรียมรุ่น 10 มีการเบิกเงินสดผ่านเอทีเอ็ม 4 แสนบาท
พล.ท.พฤณท์ สุวรรณทัต นายทหารเตรียมรุ่น 10 จากการตรวจสอบพบว่ามีเงินไหลเวียนประมาณ 14 ล้านบาท มีการถอนและฝาก 7 ล้านบาท ภายหลังฝากเงินเพียง 8 วัน
พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค มีเงินไหลเวียนประมาณ 2.7 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการฝากและถอนเป็นเงินสด
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก มีเงินไหลเวียนเป็นยอดเงินประมาณ 60 ล้านบาท ฝาก 30 ล้านบาท ถอนประมาณ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบการใช้บัตรเครดิตที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกัมพูชา
กลุ่มบริษัทเอกชน
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มียอดเงินหมุนเวียน 4,690 ล้านบาท ฝาก 2,574 ล้านบาท ถอนประมาณ 2,116 ล้านบาท
บริษัท เวิร์ธซัพพลายส์ จากการตรวจสอบพบว่ามียอดเงินหมุนเวียน 11,911 ล้านบาท ฝาก 5,898 ล้านบาท ถอนประมาณ 5,594 ล้านบาท
บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ มียอดเงินหมุนเวียน 15,633 ล้านบาท มีการถอน 7,488 ล้านบาท
บริษัท บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ยอดเงินหมุนเวียน 46 ล้านบาท ถอน 16 ล้านบาท
บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ เงินหมุนเวียน 3,600 ล้านบาท ถอน 2,077 ล้านบาท
บริษัท พีที คอร์ปอเรชัน เงินหมุนเวียน 22,403 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการโอนฝากและถอนเงินในวันเดียวกัน โดยถอนประมาณ 12,975 ล้านบาท
บริษัท เอสซีเค แอสแซท ยอดเงินหมุนเวียน 15,467 ล้านบาท ถอนประมาณ 7,710 ล้านบาท บริษัท แอสซี ออฟฟิชซ์ ปาร์ค มียอดเงินหมุนเวียน 17,403 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีครั้งละประมาณ 14-16 ล้านบาท และถอนประมาณ 9,611 ล้านบาท
บริษัท เอสซี ออฟฟิชซ์ พลาซ่า เงินหมุนเวียน 634 ล้านบาท ถอนประมาณ 241 ล้านบาท
บริษัท โอเอไอ คอนซัลแตนท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ เงินหมุนเวียน 419 ล้านบาท ถอน 197 ล้านบาท
บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ ยอดเงินหมุนเวียน 14,714 ล้านบาท
บริษัท โอเอไอ ลิสซิ่ง มียอดเงินหมุนเวียน 220 ล้านบาท
บริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น ยอดเงินหมุนเวียน 540 ล้านบาท
แช่แข็งเงิน86เครือข่ายแดงเด็ดปีกเพื่อไทย-นปช.
จาก โพสต์ทูเดย์
17 มิถุนายน 2553 เวลา 11:47 น.
“การแช่แข็ง” ธุรกรรมการเงินไม่เพียงแต่เป็นยุทธวิธีรุกในช่วงที่รัฐบาลกำลังโหนกระแสที่ คนเมืองกำลังให้ใจรัฐบาลบริหารประเทศให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง
โดย...ทีมข่าวการเมือง
เมื่อรัฐบาลประกาศ ไม่ปรองดองกับผู้ก่อการร้าย การขยายผลเอาผิดเครือข่ายทักษิณจึงเข้มข้น
นอกจากสอบสวนแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในข้อหาก่อการร้าย อีกวาระคือ เดินหน้าสอบสวนการทำธุรกรรมทางการเงินกับเครือข่ายแดงเพื่อเชื่อมโยงในคดี ก่อการร้าย
นับตั้งแต่ช่วงชุมนุมเสื้อแดง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินแช่แข็งการทำธุรกรรมการเงินผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเครือข่าย ทักษิณรวม 3-4 ล็อต ทั้งบุคคลและนิติบุคคล รวมทั้งหมด 152 ราย
แยกเป็นกลุ่มหลักๆ 7 กลุ่ม
1.กลุ่มครอบครัวทักษิณ ชินวัตร และในวงศ์วานว่านเครือ อาทิ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร พานทองแท้-แพทองธาร-พินทองทา-ยิ่งลักษณ์-เยาวเรศ-พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร บรรณพจน์ ดามาพงศ์ กาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน หรือกลุ่มบริษัทตระกูลชินวัตร บริษัท นิวโอ๊ค บริษัท บีพี พร็อพเพอร์ตี้ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และในเครือบริษัทในกลุ่ม บี.บี.ดี. พร็อพเพอร์ตี้
2.กลุ่ม นปช. อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ วีระ มุสิกพงศ์ ขวัญชัย ไพรพนา นิสิต สินธุไพร ฯลฯ
3.กลุ่มอดีตบิ๊กทหาร-ตำรวจ ที่ใกล้ชิดทักษิณ อาทิ พล.ท.มนัส เปาริก พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก
4.เจ้าของกลุ่มทุนใหญ่ อาทิ สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ พันธ์เลิศ ใบหยก ประยุทธ มหากิจศิริ ไพวงษ์ เตชะณรงค์ ฯลฯ
5.กลุ่ม สส.เพื่อไทย อาทิ ปลอดประสพ สุรัสวดี สันติ พร้อมพัฒน์ ประชา ประสพดี การุณ โหสกุล วิชาญ มีนชัยนันท์ ไพโรจน์ ตันบรรจง ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ไชยา สะสมทรัพย์ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ฯลฯ
6.กลุ่มอดีต สส.พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบแล้ว อาทิ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ฯลฯ
ยิ่งสอบสวน ศอฉ. ยิ่งได้ข้อมูลลึก โยงใยหัวสูบใหญ่ในช่วงชุมนุมเสื้อแดง
ที่ออกมาแฉเป็นตัวอย่าง คือ เครือญาติทักษิณโอนเงิน 7,000 ล้านบาท มีการผ่านเข้าออกธนาคาร 400 ล้านบาท และเข้าบัญชีบิ๊ก ตท.10 ในเพื่อไทยถึง 700 ล้านบาท
เชื่อว่าข้อมูลเด็ดจะออกมาอีกหลายระลอก หลังจากฝ่ายรัฐบาลตั้งคณะกรรมการ 4 หน่วยงาน คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กรมสรรพากร ตรวจสอบ แยกแยะ 152 ราย ใครไม่เกี่ยวก็ยกเลิกระงับ แต่เบื้องต้นพบ 84 ราย ที่พัวพันกับการส่งกำลังบำรุงเข้าม็อบแดง
พิมพ์เขียวที่เห็นคร่าวๆ ผ่านการตรวจสอบธุรกรรมการเงินเครือข่ายทักษิณ มีทั้งเครือข่ายข้ามชาติ การค้าแรงงานเถื่อน อาวุธสงคราม
นี่เป็นข้อมูลที่รัฐบาลจะนำมาลากไส้เครือข่ายก่อการร้ายป่วนเมือง เหมือนที่ ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล ถึงกับตกตะลึงกับผลสอบของ ศอฉ. และ ปปง. ว่า เราไม่เคยเห็นข้อมูลเครือข่ายเป็นระบบอย่างนี้มาก่อน ซึ่งหากมีหลักฐานชัดจะนำไปสู่การฟ้องร้องทางอาญา ถ้าผิดจริงก็ต้องถูกยึดทรัพย์
สิ่งที่รัฐบาลต้องการมากที่สุด คือ “หลักฐาน” ทั้งการ ถ่ายโอนการเงิน อาวุธสงคราม พฤติกรรมเชื่อมโยงที่ชี้ว่า การชุมนุมของม็อบแดง แฝงด้วยกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจริง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลถูกโจมตีตลอดว่า ยัดเยียดข้อกล่าวหาก่อการร้ายให้แกนนำ นปช.
ทั้งหมดอยู่ที่ศาลจะตัดสินว่า การโอนเงิน โยกย้ายถ่ายเทที่ผิดปกติ มีลับลมคมในผ่านเครือข่ายม็อบ มีน้ำหนักน่าเชื่อตามที่รัฐบาลสอบสวนอยู่ และเกี่ยวข้องกับการชุมนุมและขบวนการใต้ดินป่วนเมืองหรือไม่
“การแช่แข็ง” ธุรกรรมการเงินไม่เพียงแต่เป็นยุทธวิธีรุกในช่วงที่รัฐบาลกำลังโหนกระแสที่ คนเมืองกำลังให้ใจรัฐบาลบริหารประเทศให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง จึงคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้เพื่อสอบสวนควบคุมกลไกเสื้อแดงอยู่
พลพรรคเสื้อแดงที่ต้องสงบเสงี่ยมเพราะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจึง กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ ไม่ว่าการเคลื่อนไหวชุมนุมหรืออำพรางในรูปแบบการจัดคอนเสิร์ต เพราะกลัวอำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ขณะที่พรรคเพื่อไทยถึงแม้จะมีทุนใหญ่จากทักษิณคอยสนับสนุนทางไกลอยู่ “การดองเค็ม” เครือข่ายจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และที่ผ่านมาพรรคก็ไม่ได้อัดฉีดเงินเดือนให้ลูกพรรคอู้ฟู่เหมือนคู่แข่ง ภูมิใจไทย เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงรณรงค์หาเสียง และกระแสแดงก็ยังแรงไม่หยุด
แต่กรณีนี้อาจสร้างความรำคาญใจในการเบิกเงินทำธุรกรรมต่างๆ นานา และยังบีบไม่ให้พันธมิตรร่วมทุน หรือ ทุนท้องถิ่นของ สส.เพื่อไทย เข้าใกล้หรือร่วมสนับสนุนเพราะกลัวจะติดร่างแหกระทบกับธุรกิจตัวเอง
ทว่าปีกของเพื่อไทยย่อมไม่พอใจรัฐบาล เพราะเห็นว่าลุแก่อำนาจ กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม แต่หมากที่ทำให้คนของเพื่อไทยอกสั่นพรั่นพรึง คือ หากคนของพรรคเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย และศาลตัดสินผิดจริงก็อาจนำมาสู่การยุบพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง
เพราะรายชื่อที่ ศอฉ.เหวี่ยงแหไปนั้น อย่างน้อยก็มี “ปลอดประสพ สุรัสวดี” หนึ่งในกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยอยู่ด้วย หากมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าผู้ใหญ่ในพรรคอยู่ในจิ๊กซอว์ของขบวนการ M79 ก็ต้องหนาวกันทั้งพรรค
ข้อหาที่นำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย ตามหนึ่งในฐานความผิดของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง “กระทำการอันอาจเป็น ภัยต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร หรือขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
ทั้งหมดไม่เหนือความคาดหมาย เบื้องลึกของหัวใจคนเพื่อไทยรับรู้ถึงชะตากรรมพรรคว่า พรรคอาจไม่รอดจากผลพวงการเมืองยุคอำมหิต และอาจต้องถูกยุบเป็นครั้งที่ 3 โดยเฉพาะหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบในคดีเงินบริจาคก่อน
ตั้งกรรมการ8ชุดสอบเงินแดง
จาก โพสต์ทูเดย์
17 มิถุนายน 2553 เวลา 17:17 น.
ที่ประชุมปปง.-ดีเอสไอ-ปปส.-สรรพากร ตั้งคณะทำงาน 8 ชุดสอบ 86 รายชื่อธุรกรรมต้องสงสัยสนับสนุนก่อการร้าย เผยมุ่งสอบความผิดปกติของเส้นทางเงินไม่ใช่จำนวน
พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงภายหลังการประชุมร่วม 4 หน่วยงานประกอบด้วย ดีเอสไอ ปปง. สำนักงานป้องกันและปราบรามยาเสพติด (ปปส.) และกรมสรรพากร เรื่องการระงับการทำธุรกรรมบุคคล และนิติบุคคลต้องสงสัยให้การสนับสนุนการก่อการร้าย 86 รายชื่อ
ที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรมดังกล่าวจำนวน 8 ชุด แบ่งผู้เกี่ยวข้องเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มผู้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลุ่มแกนนำผู้ประท้วงและผู้ต้องสงสัย กลุ่มนักการเมือง กลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มข้าราชการทหาร ตำรวจ ส่วนคณะทำงานอีก 3 ชุดจะสอบสวนรายที่ทำธุรกรรมขนาดใหญ่หลักหมื่นล้าน
"การวิเคราะห์ข้อมูลการเงินของ ปปง.ไม่ได้มุ่งที่จำนวนเงินที่มีในบัญชีมากหรือน้อยเกินไป แต่มองว่าเป็นธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติหรือไม่ ซึ่งหลังการเข้าชี้แจงเป็นรายบุคคลของผู้เกี่ยวข้องอาจไม่พบความผิดปกติก็ เป็นได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องเข้าชี้แจงว่าเบิกถอนเงินไปทำอะไร กดเอทีเอ็มกี่ครั้ง ใครเป็นผู้ไปกด และแม้การวิเคราะห์ธุรกรรมการเงินจะพบความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มบุคคล แต่ยังต้องรอหลักฐานอื่นประกอบ จึงจะรู้ว่าความสัมพันธ์ทางการเงินเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญาหรือ ไม่"พ.ต.อ.สีหนาทกล่าว
พ.ต.อ. ณรัชต์ กล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนจะรอศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ประกาศรายชื่อเพื่อนัดหมายให้บุคคลและนิติบุคคลทั้ง 86 รายชื่อ เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ถ้อยคำชี้แจงการเบิกจ่าย และถอนเงิน ซึ่งเป็นวงเงินธุรกรรมต้องสงสัยแล้ว โดยประเด็นที่ต้องตรวจสอบจะยึดโยงกับคดีพิเศษ เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าได้เข้าไปช่วยเหลือคดีก่อการร้ายหรือก่อความไม่สงบหรือ ไม่
"ขอยืนยันว่าพนักงานสอบสวนจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานและ ไม่มีการกลั่นแกล้งทางการเมืองกับผู้ใด ซึ่งขอแนะนำผู้ที่อยู่ในรายชื่อว่า ให้ชี้แจงที่มาและที่ไปของเงินและนำเอกสารมายืนยันให้ครบถ้วน หากชี้แจงไม่สมเหตุสมผลก็จะมีขั้นตอนทางการสอบสวนดำเนินการต่อไป ส่วนกรมสรรพากรจะเข้ามาช่วยทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ที่มาของรายได้เพื่อตรวจ สอบว่าเสียภาษีครบถ้วนหรือไม่"พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าว
เตือน86แบล็กลิสต์ เตรียมแจงที่มาของเงิน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
4หน่วยงานถกแนว ทางสอบข้อมูลธุรกรรมการเงิน 86 แบล็กลิสต์ ต้องสงสัยท่อน้ำเลี้ยงแดงชุมนุม ปปง.ขอความร่วมมือ เตรียมเอกสารหลักฐานแจงให้ชัด
พ.ต.อ. สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันเเลปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยก่อนการประชุมเพื่อหาเเนวทางในการตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติของบุคคล เเละนิติบุคคล 86 ราย ว่า ถึงขณะนี้บุคคลเเละนิติบุคคลทั้ง 86 ราย ยังไม่ได้เรียกว่าเป็นผู้กระทำความผิดเเต่อย่างใด เเต่เนื่องจากพบธุรกรรมทางการเงินที่มีลักษณะผิดปกติ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ จึงอยากขอความร่วมมือให้ผู้มีรายชื่อดังกล่าวได้เตรียมเอกสาร พยาน เเละหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาชี้เเจง ยิ่งเอกสารมีจำนวนมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้ระยะเวลาในการสอบสวนสั้นลง โดยจะกำหนดวันเวลาสถานที่ในการสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากปริมาณธุรกรรมมีจำนวนมาก จึงเชื่อว่าต้องใช้เวลาในการสอบสวนเเละตรวจสอบหลายครั้ง
"เรามองว่าธุรกรรมเหล่านี้ไม่ปกติ เเละอาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ จึงต้องขอความร่วมมือตรวจสอบว่าบุคคลที่มีรายชื่อมีส่วนสนับสนุนกับ เหตุการณ์มากน้อยเเค่ไหน เเต่ถ้ามีเอกสารยื่นยันได้ว่าธุรกรรมดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการค้าตามปกติ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เเละสำหรับ 66 รายชื่อที่เหลือจากจำนวนทั้งหมด 152 รายชื่อ ทางศอฉ.ก็กำลังพิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามทำธุรกรรมต่อไป"
การประชุมเพื่อหาเเนวทางในการตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมที่ผิดปกติประกอบด้วย 4 หน่วยงานเข้าร่วม ได้เเก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปปง. กรมสรรพากร เเละปปส. ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเริ่มขั้นในเวลา14.00น. ที่ดีเอสไอ
'วีระ'งง10ล้านในบัญชี-เมียเหวงอ้างเงินที่ดิน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เมียแกนนำปฏิเสธ ไม่ใช่ท่อน้ำเลี้ยง "วีระ"งงเงินเข้าบัญชีได้ไง ยอดมีจริงให้เมียรีบเบิกใช้ "เมียหมอเหวง"อ้าง 1.4ล้านบาทลูกหนี้จ่ายซื้อที่ดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 08.30 น. มวลชนแนวร่วม นปช.เดินทางมาเยี่ยมผู้ต้องหากลุ่มแกนนำทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายนิสิต สินธุไพร นายสมบัติ นาคทอง(เจ๋ง ดอกจิก) และนายภูมิกิตติ สุขจินดาทอง(วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย) ถูกคุมขังอยู่ในแดน 1 เป็นวันที่ 3
โดยมวลชนแนวร่วมนปช.มาเยี่ยมค่อนข้าง บางตา ขณะที่ญาติและครอบครัวของแกนนำ คือนางศิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยานายณัฐวุฒิ นางศรีวิไล ปะสุตานนท์ ภรรยานายวีระ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา น.พ.เหวง โตจิราการ ได้เข้าเยี่ยมเป็นเวลา 15 นาทีก่อนจะเดินทางกลับ
นางศรีวิไล กล่าวถึงเงินจำนวน 10 ล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีของนายวีระ จาการตรวจสอบของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งอาจเกี่ยวพันสนับสนุนการชุมนุมว่า ได้คุยเรื่องจำนวนเงินดังกล่าวกับนายวีระระหว่างเข้าเยี่ยมแล้ว ซึ่งนายวีระรู้สึกแปลกใจเงินจำนวนดังกล่าวถูกโอนเข้าบัญชีมาได้อย่างไร จึงสั่งให้ตนไปตรวจสอบบัญชีว่าเป็นบัญชีใด ของธนาคารใด นายวีระยังติดตลกว่าหากในบัญชีมีเงินจำนวนนั้นจริง จะให้เธอไปเบิกออกมาใช้ทันที ในส่วนความเป็นอยู่ของนายวีระไม่มีอะไรน่าห่วง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการเข้าเยี่ยมแกนนำนปช. ซึ่งถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรมนั้น มีเพียงกลุ่มญาติของผู้ต้องหาเดินทางเข้ายี่ยม เนื่องจากแนวร่วมนปช.ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมนายณัฐวุฒิที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯมากกว่า
ขณะที่ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ชี้แจงถึงเงินจำนวน 1.4 ล้านบาทที่ถูกโอนเข้าบัญชีระหว่างมีการชุมนุมว่า น.พ.เหวง โตจิราการ สามีสั่งให้ตนไปเตรียมเอกสารเพื่อชี้แจงกับ ศอฉ. โดยเรื่องนี้ยืนยันไม่ใช่เงินที่ใช้เพื่อเคลื่อนไหวชุมนุม แต่เป็นเงินลูกหนี้รายหนึ่งซื้อขายที่ดินเมื่อหลาย 10 ปีก่อนนำมาชดใช้ให้ หลังจากถูกฟ้องร้องบังคับชำระหนี้
โดยช่วงแรกลูกหนี้ยอมชดใช้ค่าที่ดิน เป็น 3 งวด งวดแรกโอนให้ 6 ล้านบาท งวดที่ 2 อีก 3 ล้านบาท และงวด 1.4 ล้านบาท สามารถจะตรวจสอบได้เพราะมีหลักฐานชัดเจน แต่เงินดังกล่าวกลับไปถูกโอนช่วงมีการชุมนุมพอดี จึงเป็นเหตุให้ต้องสงสัยว่าเป็นเงินจากท่อน้ำเลี้ยง
นางธิดา กล่าวอีกว่า เท่าที่พูดคุยกับน.พ.เหวงในเรื่องความเป็นอยู่ในเรือนจำ เชื่อว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ตนก็ยังรู้สึกหนักใจเรื่องห้องคุมขัง เนื่องจากมีพื้นที่แคบ มีห้องน้ำในตัว และอยู่ในสภาพแวดล้อมนักโทษเด็ดขาด จึงอาจมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมก็กังวลใจเพราะต้องคอยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ตนยังคงให้กำลังใจนพ.เหวงโดยตลอด และบอกว่า หากต้องการเป็นนักต่อสู้ การติดคุกถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องผ่านไปให้ได้ และยังฝากให้นั่งปฏิบัติธรรมทุกวัน และอยากให้นพ.เหวง นำวิชาความรู้ทางการแพทย์ไปช่วยเหลือนักโทษที่เจ็บป่วยในเรือนจำ
"ตอนนี้สิ่งที่เป็นห่วงอยู่เรื่องเดียว คือกลัวผู้คุมจะตีตรวนหมอเหวงพร้อมแกนนำ นปช.ที่ถูกควบคุมในข้อหาก่อการร้าย เพราะระเบียบเรือนจำจะต้องตีตรวนผู้ต้องหาในคดีอุกฉกรรจ์ หลังการผัดฟ้องฝากขังครั้งที่ 2” นางธิดา กล่าว
ด้านนายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช.เปิดเผยว่าในวันที่ 18 มิ.ย.ทีมทนายความจะนำคำให้การของผู้ต้องหากลุ่มแกนนำนปช. ซึ่งปฏิเสธความผิดทุกข้อกล่าวหา รวมทั้งบัญชีพยาน ซีดี และเอกสารประกอบการชุมนุม นำมายื่นให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเข้าเยี่ยมแกนนำนปช. มีตำรวจสากลของออสเตรเลียได้เดินทางเข้าพบนายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวในเรือนจำของนายโค เนอร์ เดวิด เพอร์เซล ชาวออสเตรเลีย อดีตทหารผ่านการฝึกซุ่มยิงสไนเปอร์ของกองทัพ โดยในวันจันทร์ที่ 21 มิ.ย.นี้ เจ้าหน้าที่สถานทูตจะเดินทางมาพบนายโคเนอร์ในเรือนจำ
วาง5กลุ่มธุรกรรมแดง-'ปณิธาน'ชี้หลักฐานเข้ม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โฆษกรัฐบาล เผย4หน่วยระดมหลักฐานท่อน้ำเลี้ยงม็อบแดง ขณะที่"ดีเอสไอ-ปปง.-ปปส.-สรรพากร" แยกธุรกรรม 5กลุ่มสัมพันธ์ จะเข้าสอบธุรกรรมหมื่นล้าน
ที่อิมแพคเมืองทอง เมื่อเวลา 11.40 น. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังงานการประชุมระดมความคิดความเห็นเพื่อหาแนวทางปฏิรูปประเทศไทย ถึงกรณีการตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงนปช. ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้รอกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม
เนื่องจากเครือข่ายที่ได้ข้อมูลค่อน ข้างซับซ้อนและโยงใยไปหลายกลุ่ม และต้องประกอบกับการสอบสวนเรื่องอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การติดต่อสื่อสาร เชื่อมโยงของกลุ่มต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนการกระทำของคนเสื้อแดง ดังนั้นการตรวจสอบจึงไม่ใช่เฉพาะการเคลื่อนไหวทางการเงินอย่างเดียว แต่ทางดีเอสไอและคณะทำงานอีก 12 กลุ่ม ได้ทำงานร่วมกันกับหลายหน่วยงาน ซึ่งการกับงานร่วมกันจะต้องอาศัยเวลาเพื่อให้ภาพรวมชัดเจนมากขึ้น
เมื่อถามว่ารูปแบบของท่อน้ำเลี้ยง หรือการส่งเงินเพื่อสนับสนุนคนเสื้อแดง แบบนอกระบบที่ไม่ได้ผ่านการโอนเงิน หรือทำธุรกรรมผ่านทางธนาคาร นายปณิธาน กล่าวว่า เรื่องของการกระทำนอกระบบคงจะต้องเริ่มทำงานมากขึ้น แต่การดูนอกระบบจะต้องดูไปยังเครือข่ายอื่นๆ ด้วย เช่น การติดต่อพบปะกัน เพราะว่าการโอนเงินผ่าทางระบบตัวเงินอาจจะไม่เห็นทางตัวเงินทั้งหมด แต่จะต้องดูความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ในระบบต่างๆ โดยทั้งหมดนี้เราไม่ได้กล่าวหาใคร หรือว่าไล่ล่า แต่ดูความเชื่อมโยงจริงที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่ากระบวนการดังกล่าวมีส่วนอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อถามว่าท้ายที่สุดถูกมองว่าไม่ สามารถที่เอาผิดกับกลุ่มคนเหล่านั้นได้ นายปณิธาน กล่าวว่า จะต้องให้โอกาสเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ลองทำงานไปก่อน เนื่องจากว่าเท่าที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ร่วมมือกันมากขนาดนี้ รวมถึงครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีข้อมูลค่อนข้างมาก แต่ว่าจะสามารถนำไปสู่กระบวนการดำเนินคดีได้อย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับศาลด้วยว่าจะรับหลักฐานเหล่านี้อย่างไร แต่การวบรวมหลักฐานมีการรวบรวมอย่างเป็นระบบ และทำอย่างครอบคลุม เพื่อนำสู่กระบวนการยุติธรรม
ดีเอสไอ-ปปง. แยกประเภทธุรกรรมผิดปกติ 5กลุ่ม
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงภายหลังการประชุมร่วม 4 หน่วยงานประกอบด้วย คือ ดีเอสไอ ปปง. สำนักงานป้องกันและปราบรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) และกรมสรรพากร เรื่องการระงับการทำธุรกรรมบุคคล และนิติบุคคลต้องสงสัยให้การสนับสนุนการก่อการร้ายจำนวน 86 รายชื่อ
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่าขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรมดังกล่าวจำนวน 8 ชุด โดยแบ่งกลุ่มผู้เกี่ยวข้องออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มผู้ใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.กลุ่มแกนนำผู้ประท้วงและผู้ต้องสงสัย 3.กลุ่มนักการเมือง 4.กลุ่มนักธุรกิจ และ 5.กลุ่มข้าราชการทหาร ตำรวจ ส่วนอีก 3 ชุด จะเข้ามาสอบสวนรายที่ทำธุรกรรมขาดใหญ่หลักหมื่นล้าน
"การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของ ปปง.ไม่ได้มองว่าจะมีเงินในบัญชีมากหรือน้อยเกินไป แต่มองว่าเป็นธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติหรือไม่ หลังการเข้าชี้แจงเป็นรายบุคคลอาจไม่พบความผิดปกติก็เป็นได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของแต่ละคนซึ่งจะต้องเข้าชี้แจงว่าเบิกถอนเงินไปทำอะไร กดเอทีเอ็มกี่ครั้ง ใครเป็นผู้ไปกด" พ.ต.อ.สีหนาท กล่าว
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวอีกว่า แม้ว่าการวิเคราะห์ธุรกรรมการเงินจะพบความเชื่อโยงระหว่างกลุ่มบุคคลแต่ยัง ต้องรอหลักฐานอื่นประกอบ จึงจะรู้ว่าความสัมพันธ์ทางการเงินเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญาหรือ ไม่
ด้าน พ.ต.อ. ณรัชต์ กล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนจะรอศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ประกาศราย ชื่อเพื่อนัดหมายให้บุคคล และนิติบุคคลทั้ง 86 รายชื่อ เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ถ้อยคำชี้แจงการเบิกจ่าย และถอนเงิน ซึ่งเป็นวงเงินธุรกรรมต้องสงสัย
โดยประเด็นที่ต้องตรวจสอบจะยึดโยงกับ คดีพิเศษ เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือคดีก่อการร้ายหรือก่อความไม่ สงบหรือไม่ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าพนักงานสอบสวนจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐาน ไม่ได้กลั่นแกล้งผู้ใดทางการเมือง เบื้องต้นให้คำแนะนำว่าขอให้ชี้แจงที่มาและที่ไปของเงินและนำเอกสารมายืนยัน ให้ครบถ้วน หากชี้แจงได้ไม่สมเหตุสมผลก็จะมีขั้นตอนทางการสอบสวนดำเนินการต่อไป ในส่วนของกรมสรรพากรจะเข้ามาวิเคราะห์ที่มาของรายได้เพื่อตรวจสอบว่าเสีย ภาษีครบถ้วนหรือไม่
พท.ท้าเปิด86รายชื่อ-พรรคไม่เกี่ยวปั่นม็อบ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ปลอดประสพ" เร่งป.ป.ง.เปิด 86รายชื่อแบล็กลิสต์ศอฉ. ยืนยันพรรคพท.ไม่เกี่ยวข้องโอนเงินปั่นชุมนุมเสื้อแดงโดยตรง แต่ส.ส.เป็นสิทธิส่วนตัว
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ฟอกเงิน(ป.ป.ง.) ตรวจสอบพบ 86 รายชื่อมีพฤติกรรมเกี่ยวพันกับธุรกรรมการเงินผิดปกติต้องสงสัยในช่วงการ ชุมนุมทางการเมือง ประกอบด้วย กลุ่มญาติพี่น้องและคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลุ่ม ส.ส.และอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแกนนำแนวร่วประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
โดยระบุว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นรายชื่อ ดังนั้นจึงขอตรวจสอบก่อน แต่ขอยืนยันพรรคไม่เกี่ยวข้องหรือไปทำอะไรอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ กลุ่มนปช.โดยตรงเลย คือไม่มีทั้งเงินเข้ามายังพรรคหรือมีเงินออกไปจากพรรคที่ไปเกี่ยวข้องกับการ ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในส่วนตัวของ ส.ส.ก็เป็นเรื่องส่วนตัว
"ขอให้ป.ป.ง.รีบเปิดรายชื่อออกมาก่อน ว่ามีการอ้างถึงส.ส.พรรคคนใด แต่หากเป็นอดีตส.ส.ยิ่งไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนถ้าเปิดรายชื่อออกมาแล้วมีส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจริง พรรคก็จะเรียกมาหารือโดยให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าจะให้การช่วยเหลือในการแสดงหลัก ฐานชี้แจงอย่างไร แต่ขอเรียกร้องว่า ป.ป.ง.หรือฝ่ายที่อยู่เบื้องหลัง อย่าพยายามโยงใยใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยในเรื่องดังกล่าวมายังพรรคโดยเฉพาะบรรดา ข้าราชการประจำอย่าไปโยงใย อย่าวิจารณ์ทางการเมืองหรือรับคำสั่งจากฝ่ายการเมืองที่อาจถือได้ว่าผิด วินัยข้าราชการ" นายปลอดประสพ กล่าว
พบธุรกรรมนิติบุคคล-บุคคลผิดปกติ1.4หมื่นล้าน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เลขาป.ป.ง.เผย เส้นทางเงินผิดปกติ"เอสซีฯ-โอเอไอ-ประไหมสุหรี-เวิร์ธซัพพลาย" 1.4หมื่นล้าน "เอกราช-พานทอง-นักการเมืองหญิง-อดีตนายตำรวจ"ติดบ่วง
พันตำรวจเอกสีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาราชการแทน เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบและวิเคราะห์ธุรกรรมการเงินย้อนหลัง 9 เดือน ของกลุ่มบุคคล และนิติบุคคลที่มีรายชื่อตามประกาศของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน(ศอฉ.) โดยพบความผิดปกติของพฤติกรรมการเบิกถอนเงินไม่ตรงความเป็นอยู่จริง การมีรายได้ไม่สอดคล้องกับอาชีพ หรือไม่สมกับฐานะ
ส่วนในรายของนิติบุคคลก็เป็นบริษัทที่ มีรายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย จึงจำเป็นต้องเรียกเจ้าของบัญชีเงินฝากเข้าชี้แจงและให้ข้อมูลว่ารับโอนเงิน มาจากใคร รับแล้วเอาไปให้ใคร ผู้รับได้รับเงินจริงหรือไม่ หากสามารถชี้แจงได้ก็จะถือเป็นธุรกรรมการเงินปกติ
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับนิติบุคคลที่ต้องเข้าชี้แจงรายการธุรกรรมการเงินผิดปกติต่อคณะพนักงาน สอบสวน มีกว่า 10 บริษัท ได้แก่ กลุ่มบริษัทในเครือเอสซีแอดเซส กลุ่มบริษัทโอเอไอฯ 5 แห่ง ซึ่งมีกระแสเงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มีกระแสเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้าน บริษัทเวิร์ธซัพพลาย จำกัด มีกระแสเงินหมุนเวียนเกือบ 10,000 ล้านบาท
ส่วนการตรวจสอบพฤติกรรมเบิกถอนเงินผิด ปกติกรณีรายบุคคล เบื้องต้นพบชื่อนายเอกราช ช่างเหลา มีเงินเข้าบัญชี 1,200 ล้านบาท และเบิกถอนเป็นเงินสดออกไปเกือบทั้งหมด บัญชีของนายพานทองแท้ ชินวัตร มีกระแสเงินหมุนเวียนกว่า 4,000 ล้านบาท รวมถึงการทำธุรกรรมการเงินของอดีตนักการเมืองหญิง ซึ่งมีเงินโอนเข้าบัญชี 160 ล้านบาท และได้ถอนเงินสดออกจากบัญชีทั้ง 160 ล้านบาทในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่นเดียวกับบัญชีเงินฝากของอดีตข้าราชการตำรวจ ซึ่งมีเงินไหลเข้าบัญชีกว่า 100 ล้านบาท