สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ราชบัณฑิตฯ ชี้ อ๊อฟ เรียก พ่อ ไม่ผิด ซัดพวกหาเรื่องอยากให้สังคมป่วน

ออกหมายเรียก'พงษ์พัฒน์'คดีจาบจ้วงสถาบัน

ตำรวจออกหมาย เรียก"ออฟ พงษ์พัฒน์" จาบจ้วงบนเวทีรางวัลนาฏราช ระบุ2ครั้งไม่มาออกหมายจับ เชิญคนในเหตุการณ์-นักกฏหมาย-อาจารย์ภาษาไทยร่วมฟัง
เมื่อเวลา 10.00 น.  พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รอง ผบช.น.) พร้อมนายตำรวจผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ จากกรณีเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2553 นายภูมิพัฒน์ วงศ์ยาชวลิต หรือ "แน็ต พีรกร" ศิลปินเพลงลูกทุ่ง อายุ 35ปี เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ดารานักแสดง ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ ในงานประกาศรางวัลนาฏราช เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2553 โดยนำหลักฐานเอกสารถอดเทปคำพูดในงานดังกล่าวและประวัตินายพงษ์พัฒน์มามอบให้ พนักงานสอบสวน

พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า หลังจากสอบปากคำผู้มาร้องทุกข์แล้ว จะเรียกนายพงษ์พัฒน์ เข้ามาให้ปากคำ สาเหตุใดจึงมีอากัปกิริยาอย่างนั้นขณะรับรางวัล เจตนาล่วงเกินสถาบันหรือไม่ และทำไมจึงเรียกว่า “พ่อ” เฉยๆ โดยคาดว่าจะเรียกมาหลังจากนี้ 8 วัน หรือวันที่ 29 ก.ค. เวลา 10.00 น. หากยังไม่มาก็จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ถ้ายังไม่มาพบอีกและไม่มีเหตุผลอันสมควรก็จะออกหมายจับ เชื่อว่าคดีนี้ไม่เกิน 1 เดือนก็สรุปได้

นอกจากนี้จะเรียกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือบุคคลทั่วไปที่ได้รับฟัง ทั้งนักกฎหมาย อาจารย์ภาษาไทย มาฟังว่ารู้สึกอย่างไร

ราชบัณฑิตฯ ชี้ “อ๊อฟ” เรียก “พ่อ” ไม่ผิด ซัดพวกหาเรื่องอยากให้สังคมป่วน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 19:53 น.

“กาญจนา นาคสกุล” ราชบัณฑิตฯ ยัน “อ๊อฟ” เรียก “พ่อ” กลางงานนาฏราช ไม่ผิด แนะดูที่ความรู้สึก-เจตนา ชี้พูดเพื่อเปรียบเทียบเชิงวรรณคดีด้วยความเทิดทูน ไม่ใช่ดูหมิ่น ซัดพวกหาเรื่องหวังให้สังคมปั่นป่วน
       
       วันนี้ (22 ก.ค.) ศ.กิตติคุณ กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตยสถาน กล่าวถึงกรณีที่ นายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “พ่อ” ในงานวันนาฏราช จนมีคนนำไปแจ้งความกับตำรวจว่าเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม ว่า ภาษามีหลายระดับ ต้องดูที่ความรู้สึก และเจตนาของผู้พูด กรณี นายพงษ์พัฒน์ ยกคำว่า “พ่อ” ขึ้นมาเปรียบเทียบ ถือว่าเป็นวรรณคดี ถ้าเปรียบประเทศเหมือนบ้าน คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน คือ พระเจ้าแผ่นดิน จึงเทียบคำว่า พ่อ ในความรู้สึกที่เทิดทูน ไม่ได้คิดในแง่การดูหมิ่น และคำว่า “พ่อ” มีเรียกพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งปกครองบ้านเมืองมาตั้งแต่อดีตกาล เรื่องที่เกิดขึ้นจึงมองว่าเป็นเรื่องของคนที่ต้องการให้สังคมปั่นป่วน

 


 

"ดร.อนันต์" ย้ำ "อ๊อฟ" ไม่หมิ่นฯ ซัดตร.วิจารณญาณต่ำต้อยทำลายขวัญคนจงรักภักดี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 21:07 น.

"ดร.อนันต์" ย้ำการเรียกว่า "พ่อ" ไม่ใช่การหมิ่นฯ ใช้เรียกพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซัดเจ้าหน้าที่มีวิจารณญาณต่ำต้อยถึงแยกแยะไม่เป็น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แต่กลับเป็นผู้ทำลายขวัญของคนจงรักภักดี ชี้ตำรวจไม่ต้องสอบถามจากนักภาษาศาสตร์ เพราะเด็กเดียงสายังรู้เลย
       
       วันนี้ (22 ก.ค.)ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมฉบับล่าสุด และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทางช่อง "อีสานทีวี” ถึงกรณีตำรวจออกหมายเรียก "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์" เข้าให้ปากคำในคดีหมิ่นสถาบัน
       
       ดร.อนันต์กล่าวว่า การที่พล.ต.ต.อำนวยบอกว่าจะเรียก "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์" มาถามว่าทำไมถึงเรียก "พ่อ" เฉยๆ ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะคนไทยเรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อมานานแล้วตั้งแต่สมัย สุโขทัยเราก็เรียกพระมหากษัตริย์ว่า "พ่อขุน" ซึ่งมีความหมายเปรียบเหมือนพ่อของปวงประชาไม่ได้หมายถึงพ่อผู้ให้กำเนิด ทุกคนรู้ว่าเป็นคำเปรียบและใช้กันอย่างมากมายก่ายกอง โครงการในพระราชราชดำริเองก็มีหลายโครงการที่ใช้คำว่า "พ่อ" ที่สำคัญปลายปีที่แล้วรัฐบาลเคยจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ โดยใช้พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นฉากหลังในการฉายภาพยนตร์ซึ่งก็มีชื่อว่า "บ้านของพ่อ"
       
       ดร.อนันต์กล่าวอีกว่า คุณพงษ์พัฒน์ ไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น ไม่มีการดูหมิ่นแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม ขณะที่ขึ้นพูดบนเวที มีพฤติกรรมที่ประกอบไปด้วยท่าทีขึงขัง สะกดทุกคนให้ฟังกันอย่างจดจ่อ ก่อให้เกิดความประทับใจแก่ทุกคน มีทั้งเสียงปรบมือ และเรียกน้ำตาจากหลายๆคน เป็นการพูดเพื่อปกป้องพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้อย่างไร
       
       "สะท้อนวิจารณญานอันต่ำต้อยของเจ้าหน้าที่ จำแนกไม่ได้ว่าสำนึกความจงรักภักดีกับการหมิ่นฯต่างกันอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าขบขันของสังคม แปลกใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่กลับทำลายขวัญประชาชนผู้จงรักภักดี แบบนี้จะพิทักษ์ สันติ ของราษฎรได้อย่างไร" ดร.อนันต์ กล่าว
       
       เมื่อถามว่าพล.ต.ต.อำนวย ออกพูดว่าต้องใช้นักภาษาศาสตร์มาร่วมปรึกษาถึงคดีนี้ ดร.อนันต์กล่าวว่า ไม่ต้องใช้นักภาษาศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญภาษาแต่อย่างใด แค่เด็กเดียงสา ที่พอจะรู้ภาษา ก็เข้าใจดีแล้ว

 


 

“คำนูณ” ติงตั้งข้อหา “พงษ์พัฒน์” หมิ่นเบื้องสูงละเอียดอ่อน เชิญ ผบ.ตร.แจง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 14:10 น.

“ส.ว.คำนูณ” ติงตำรวจตั้งข้อหา “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” หมิ่นเบื้องสูง ต้องใช้ดุลพินิจจนมั่นใจว่าผิดจริง จึงจะเรียกมาชี้แจง เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่บ้าจี้ตามผู้ที่มาแจ้งความร้องทุกข์ ระบุ ใครได้ดูภาพและฟังเสียงจะเข้าใจเจตนา ว่า ต้องการพิทักษ์ ปกป้องสถาบัน ชี้การเรียกพระเจ้าอยู่หัว ว่า “พ่อ” เป็นเรื่องปกติที่เกิดมานานแล้ว เตรียมเชิญ ผบ.ตร.-ผบช.น. และผู้เกี่ยวข้องแจงสัปดาห์หน้า


               นายคำนูณ สิทธิสมาน เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการ เกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงออกหมายเรียก นายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง หรือ อ๊อฟ ดารานักแสดงชื่อดัง เนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ในงานประกวดรับรางวัลนาฏราช ทางช่อง 3 จัดที่หอประชุมกองทัพเรือ ซึ่ง นายพงษ์พัฒน์ ได้พูดขณะรับรางวัล ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ว่า ขณะนี้ นายพงษ์พัฒน์ ไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา เพราะมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งปกติพนักงานสอบสวนต้องประมวลเรื่องทั้งหมด และต้องมั่นใจว่า น่าจะเกิดการกระทำความผิดจริง ก่อนที่จะเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง
       
       “ผมเชื่อว่า ประชาชนที่ได้ดูภาพ และเสียงของ นายพงษ์พัฒน์ น่าจะเข้าใจเจตนา ว่า ต้องการพิทักษ์ ปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนการเรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า พ่อ ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะถือเป็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยที่ประชาชนมีความใกล้ชิดกับสถาบัน หากจะใช้มาตรฐานดังกล่าวมาตัดสิน”
       
       นายคำนูณ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ดุลพินิจ ในการตั้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่หากมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์แล้วต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงทุก ครั้ง เชื่อว่า การออกหมายเรียก นายพงษ์พัฒน์ ครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม เพราะประชาชนจะรู้สึกกังวลในการแสดงออกถึงความรู้สึกรักและต้องการพิทักษ์ปก ป้องสถาบัน ซึ่งต่างจากคนที่ละเมิดจาบจ้วงที่ยังคงกระทำผิดอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมได้หมด
       
       เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมาย กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล มีมติให้เชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และคดีของ นายพงษ์พัฒน์ มาชี้แจง ในสัปดาห์หน้า เพื่อมาชี้แจงมาตรฐานการสั่งคดี ว่า ถูกหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ ขณะที่ในส่วนของคณะกรรมาธิการกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้ กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ จะหารือเรื่องดังกล่าวในการประชุมครั้งหน้า และอาจจะเชิญตำรวจที่เกี่ยวข้อง และ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงรัฐบาล มาชี้แจงเพื่อให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการต่อไป

 


 

“เปลว สีเงิน” จวก “นวยนิ่ม” ทำคดี “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” ไม่ดูข้อเท็จจริง ซัดอันตรายต่อสังคม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 13:40 น.

 

คอลัมน์ คนปลายซอย นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ (22 ก.ค.)

ASTVผู้จัดการ - “ป๋าเปลว” แปลกใจคำพูด “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” พูดกลางงานประกาศรางวัลนาฏราช คนฟังกินใจแต่กลับถูก ดีเจลูกทุ่ง แจ้งความหมิ่นสถาบัน จวกตำรวจเอาตัวรอด ไม่สนใจข้อเท็จจริง ชี้ เป็นอันตรายต่อสังคม กลายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์โจร ถามใจ “นวยนิ่ม” เป็นถึงนายตำรวจ รู้กฎหมายแต่ยังไร้เดียงสา ดูเจตนาไม่ออกว่าเป็นคุณหรือโทษ แต่เพื่อไม่ให้ถูกครหาแนะฟังความให้ครบด้าน
       
       วันนี้ (22 ก.ค.) คอลัมน์คนปลายซอย ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ “เปลว สีเงิน” ผู้บริหารและคอลัมนิสต์อาวุโสของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เขียนบทความเรื่อง ตำรวจ กับ “วิสามัญสำนึก” โดยวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะเรียกตัว นายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง หรือ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ถูก นายภูมิพัฒน์ วงศ์ยาชวลิต หรือ “แน็ต พีรกร” ศิลปินลูกทุ่งและผู้จัดรายการวิทยุลูกทุ่ง เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการกล่าวแสดงความรู้สึกในงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ซึ่งจัดขึ้นที่หอประชุมกองทัพเรือเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา และถ่ายทอดสดผ่านไทยทีวีสีช่อง 3
       
       เปลว สีเงิน ระบุว่า คำที่ นายพงษ์พัฒน์ พูดบนเวทีถึงเรื่อง “พ่อ” และได้รับเสียงปรบมือยาวนานในงานที่จัดโดยโทรทัศน์ช่อง 3 และเป็นคำกล่าวที่ผู้ฟังทั่วไปชื่นชอบด้วยรู้สึกกินใจอย่างกว้างขวางนั้น นายภูมิพัฒน์ กลับไปแจ้งตำรวจให้จับ นายพงษ์พัฒน์ ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ซึ่งตอนนี้ พล.ต.ต.อำนวย และทีมงานประชุมลงมติกันแล้วว่า เมื่อมีผู้มาแจ้งความตำรวจก็ต้องทำหน้าที่
       
       คอลัมนิสต์อาวุโส ยังชี้ให้เห็นว่า ตำรวจก็ทำงานอยู่ระหว่างเขาควาย จึงต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี โดยไม่คำนึงว่า ข้อเท็จจริงและเจตนาเป็นอย่างไร เข้าข่ายตามกฎหมายหรือไม่ และผู้แจ้งหวังยืมมือตำรวจสร้างเงื่อนไขทำลายล้างผู้อื่นหรือไม่ แต่กลับมองว่าใครมาแจ้งก่อนเป็นโจทก์ ใครถูกแจ้งเป็นจำเลย ตามกระบวนการพิจารณาความของไทยที่ใช้ระบบกล่าวหา ซึ่งการที่ตำรวจไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับผลกระทบ
       
       “การรับคดีโดยไม่ดูข้อเท็จจริงและเจตนานี่ ‘อันตราย’ ต่อสังคมมาก ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน และมีการถูกนำมาใช้เป็น ‘เกม’ เพื่อการให้คุณ-ให้โทษกับอีกฝ่ายด้วยแล้ว ถ้ากระบวนการยุติธรรมขั้นต้น คือ ‘ตำรวจ’ ทำหน้าที่ด้วยกลัว ด้วยหวั่นไหว มุ่งเอาตัวเองรอด ขาดความอาจหาญบนจิตวินิจฉัย ‘เสียสละ-คุณธรรม-ความถูกต้อง’ แล้วละก็ ตำรวจจะเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์โจรมากกว่าเป็น ‘ผู้อภิบาลคนดี-ย่ำยีคนร้าย’ ขืนเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ประชาชนผู้แบกภาระชาติจะเกิดความรู้สึก ทำดีเพื่อสถาบัน “มีแต่ตาย กับเสมอตัว” แล้วจะทำทำไม!?”
       
       นอกจากนี้ เปลว สีเงิน ยังแสดงความแปลกใจต่อ พล.ต.ต.อำนวย ถึงการสอบถาม นายพงษ์พัฒน์ ว่า เหตุใดจึงมีอากัปกิริยาเช่นนั้นขณะรับรางวัล เจตนาล่วงเกินสถาบันหรือไม่ และทำไมจึงเรียก ‘พ่อ’ เฉยๆ โดยเห็นว่า ควรจะเรียกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น หรือบุคคลทั่วไปที่ได้รับฟัง ทั้งนักกฎหมาย ทั้งอาจารย์ภาษาไทย มาให้ปากคำ มาให้ความเห็นว่าที่ นายพงษ์พัฒน์ พูดบนเวทีในงานรับรางวัลนาฏราชนั่นหมายถึงใคร
       
       และคนฟังเมื่อฟังแล้วเข้าใจอย่างไร มีความรู้สึกตอบสนองอย่างไร เมื่อสอบเสร็จ ฟังรอบด้านแล้ว จึงจะมาสรุปกันว่า ที่ นายพงษ์พัฒน์ พูดนั้น หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.ต.อำนวย บอกว่า ไม่เกิน 1 เดือน ก็สามารถสรุปได้ ซึ่ง พล.ต.ต.อำนวย เป็นถึงนายตำรวจมือกฎหมาย น่าจะรู้ว่าคำพูดของ นายพงษ์พัฒน์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ พูดเป็นคุณ หรือเป็นโทษ พูดด้วยเจตนาดี หรือเจตนาร้าย แต่เพื่อไม่ให้แต่ละฝ่ายยกเป็นข้อครหายามไม่ถูกใจ จึงเห็นว่า ควรฟังความให้ครบด้าน หยั่งกระแสแล้วค่อยสรุปว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายที่หลัง
       
       สำหรับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เคยสร้างวีรกรรมในระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ที่ชุมนุมหน้ารัฐสภาด้วยระเบิดแก๊สน้ำตา และอาวุธ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งมักจะออกมาทำหน้าที่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อแก้ต่างให้กับตำรวจที่ ปฏิบัติหน้าที่ในทำนอง ว่า ได้ใช้แก๊สน้ำตาเป็นเครื่องมือควบคุมฝูงชนตามหลักสากลที่ใช้กันทั่วโลก ไม่ได้ใช้กระสุนยาง ส่วนผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บนั้น อาจเกิดจากการวิ่งและลื่นหกล้ม นอกจากนี้ ยังปฏิเสธภาพที่ตำรวจขว้างปาวัตถุคล้ายระเบิดใส่ผู้ชุมนุมที่สื่อมวลชนนำ เสนอ และยังยืนยันว่า ตำรวจมีอำนาจโดยชอบที่จะดำเนินการสลายการชุมนุม
       
       นอกจากนี้ ด้วยความที่ พล.ต.ต.อำนวย เป็นนายตำรวจมือกฎหมาย ครั้งหนึ่งภายหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ก็มี นายสิทธิพร โพธิโสดา ซึ่งอ้างว่า เป็นทนายความ ได้ฟ้องร้องต่อศาลอาญาเพื่อให้ดำเนินการเอาผิดต่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.รวม 5 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า นายสิทธิพร ไม่ใช่ผู้เสียหาย และมีรายงานว่า นายสิทธิพร เป็นเพื่อนสนิท และเป็นคน จ.สงขลา บ้านเดียวกันกับ พล.ต.ต.อำนวย
       
       ภายหลังพบว่า พล.ต.ต.อำนวย อาศัยกรณีที่ นายสิทธิพร ฟ้องร้องนำไปยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้หยุดไต่สวนเอาผิด โดยอ้างถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86 บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียวกัน ภายหลังเมื่อศาลนำคำฟ้องมาตรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีไม่ครบองค์ประกอบความผิด จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง และงดการไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.อำนวยยังมีความพยายามที่จะขัดขวางการไต่สวนเอาผิดกับตำรวจที่สลายการ ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีรายงานว่า พล.ต.ต.อำนวย ได้ส่งหนังสือถึง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ และอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ขอล่ารายชื่อตำรวจยื่นถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.พ้นตำแหน่งอีกทางหนึ่งด้วย
       
       *** อ่านประกอบ วีรกรรมของ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน กรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปี 2551 ***
       • ตร.อ้างใช้แก๊สน้ำตาตามหลักสากล โบ้ยผู้ชุมนุมบาดเจ็บเพราะลื่นล้ม
       • ตร.คิดเอง จนท.ถูกยิงฝีมือพันธมิตรฯ เชื่อเป็นปืนที่หายจากทำเนียบ
       • 'ตร.ทรราช' ไม่ยอมรับภาพ จนท.ปาระเบิด โต้พันธมิตรฯ ก็พกอาวุธ
       • ตำรวจโคตรเลว! ปัดไม่ได้ทำร้ายประชาชน
       • “อำนวย” หอบ ร.ต.อ.โชว์ อ้างถูกพันธมิตรฯ ยำ-สะเออะสอน “สนธิ”
       • 'ตร.ทรราช'สุดด้าน!!อ้างมีอำนาจโดย ชอบสลายการชุมนุม 7 ต.ค.
       • “ตานวย” ไม่สำนึก! ฟ้อง 9 ป.ป.ช.อ้างสอบ 7 ตุลาเลือดมิชอบ
       • รายงานพิเศษ : “ป.ป.ช.” แฉ “อำนวย” ขู่ให้หยุดสอบ “7 ตุลาเลือด”!!
       • แฉเล่ห์ฉ้อฉล “อำนวย” ส่งคนแสร้งฟ้องศาล สกัด ป.ป.ช.เชือดคดี 7 ตุลาเลือด
       • แฉเล่ห์ “อำนวย” ล่าชื่อตำรวจพวกแม้วถอด ป.ป.ช.ขวางสอบ 7 ตุลาเลือด
       • ศาลรู้ทัน ไม่รับฟ้อง “อำนวย” กล่าวหา 9 ป.ป.ช.!
       • “ตานวย” โต้กลับ “สนธิ” ปัดเป็นตำรวจเลว ล่าชื่อถอด ป.ป.ช.
       • ตำรวจไทยพันธุ์แท้

 


 

“นวย” โทษสื่อออกหมายเรียก “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” พลิกลิ้นแค่เชิญสอบเพิ่ม!

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 22 กรกฎาคม 2553 12:18 น.

“อำนวย” พลิกลิ้นแสร้งบอกไม่ได้ออกหมายเรียก “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” บอกแค่เชิญมาสอบชี้แจงจุดที่มีคนกล่าวหาสงสัย โบ้ยสื่อเสนอข่าวผิดทั้งเพ ระบุคดีนี้เป็นการเถียงกันในเรื่องของภาษา พร้อมแนะดาราดังเข้าพบ ตร.เรื่องจะได้จบ
              วันนี้ (22 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องประชุมกองบังคับการอำนวยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.อก.บช.น.) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. กล่าวถึงกรณีการสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง หลังจากเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.มีผู้เข้าร้องทุกข์ที่ สน.คันนายาว เพื่อต้องการให้ดำเนินคดีต่อนายพงษ์พัฒน์ หรืออ๊อฟ วชิรบรรจง ดารานักแสดงชื่อดัง สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ในงานประกวดรับรางวัลนาฏราช ที่หอประชุมกองทัพเรือ ซึ่งนายพงษ์พัฒน์ได้พูดขณะรับรางวัลประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ว่า มีคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้แต่งตั้งระดับรอง ผบช.น.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน
       
       “ในความคิดเห็นส่วนตัวเมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว สมมติว่าคดีนี้ผมเห็นว่าคุณพงษ์พัฒน์ไม่ผิดหรอก แต่น่าจะตรงข้ามด้วยซ้ำ แถมยังเป็นการปกป้องสถาบันอีก แต่ผมจะเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาตัดสินคดีความไม่ได้ มันจะต้องมีการสอบสวนเพราะมีผู้มากล่าวทุกข์ร้องโทษ คดีนี้เป็นการเถียงกันในเรื่องของภาษาที่ใช้ รวมทั้งอากัปกิริยาด้วย ซึ่งทางคุณพงษ์พัฒน์รู้ดี สำหรับข่าวที่ออกไปเมื่อวานนี้กลายเป็นการออกหมายเรียกคุณพงษ์พัฒน์มาในฐานะ ผู้ต้องหา ซึ่งไม่ใช่ตามที่เป็นข่าว เป็นเพียงการเชิญมาเพื่อชี้แจงจุดที่มีคนกล่าวหาสงสัย ทางคุณพงษ์พัฒน์สามารถเข้ามาชี้แจงได้ผ่านหนังสือ หรือมาด้วยตัวเองก็ได้” รอง ผบช.น.กล่าว
       
       พล.ต.ต.อำนวยกล่าวอีกว่า คดีนี้จะต้องพิจารณาด้วยบอร์ดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำหรับการพิจารณาด้วยบอร์ดใหญ่มี 2 คดี 1.สถาบันเบื้องสูง 2.คดีเกี่ยวกับความมั่นคง ส่วนข่าวที่ออกไปว่าหากไม่มาตามที่ออกหมายเรียกไปจะดำเนินการจับกุมเป็นข่าว ที่ผิดทั้งเพผิดทั้งหมด ซึ่งเป็นเพียงการเชิญให้เข้ามาชี้แจง ไม่ใช่ออกหมายเรียกเพื่อมารับทราบข้อหา เรียกมาสอบเพื่อให้สำนวนสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพื่อความชัดเจนไม่ให้เกิดความสับสน คนที่ฟังที่พูดก็คงเข้าใจว่าความหมายเป็นอย่างไร ผมเคยร้องถามผู้ออกมาเผาบ้านเมืองว่าคุณเป็นคนไทยทั้งร่างกายและจิตใจหรือ เปล่า ถ้าตอบว่าเป็น ก็จะถามต่อว่าแล้วคุณเผาบ้านตัวเองทำไม แล้วจะไปอยู่ที่ไหน หลังถามเสร็จไม่ถึง 10 นาที มีโทรศัพท์เข้าไปที่บ้านผม โทร.ไปบอกว่ากูเผาที่ไหนไม่ได้ กูจะไปเผาบ้านมึงแหละ”
       
       พล.ต.ต.อำนวยกล่าวเสริมอีกว่า ส่วนคุณพงษ์พัฒน์ หากต้องการเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนก็สามารถมาทำได้ทันที จะใช้เวลาสอบไม่เกิน 30 นาที จริงแล้วตนอยากตอบแทน แต่ทำไม่ได้ แต่หากส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจงถ้อยคำอาจไม่ชัดเจน เดินทางมาด้วยตัวเองดีกว่า แต่หากทำหนังสือมาก็อาจเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะหากมาด้วยตัวเองเรื่องก็จบเลย เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก หรือต้องการให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนที่บ้านเลยก็สามารถติดต่อมายังเจ้า หน้าที่ตำรวจได้ทันที
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องมีผู้เสียหายไปแจ้งความหรือไม่ รอง ผบช.น.ตอบว่า ถ้าหากชัดเจนเรื่องงานสอบสวนก็จะมีชุดสืบสวนดำเนินงานต่อไป แต่ในกรณีที่มีผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ในระเบียบ ตร.ว่าต้องมีคำร้องทุกข์ แต่ในส่วนที่ไม่มีผู้เสียหายให้สืบสวนไประดับหนึ่งก่อนแล้วค่อยเสนอผู้ บังคับบัญชา ตอนนี้ยังไม่มีความเห็นเกี่ยวคดีดังกล่าว
       
       ยันเพชรของกลางหายไม่ เกี่ยวกับ ตร.
       
       พล.ต.ต.อำนวย กล่าวถึงกรณีเพชรมูลค่า 5 ล้านบาทที่หายไปว่า คดีดังกล่าวทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้รับผิดชอบ การกระชับพื้นที่ก็เป็นหน้าที่ของทางฝ่ายทหาร จากการตรวจสอบกับ พ.ต.อ.ชุมพร กาญจนรัตน์ ผกก.อก.ฝอ.6 รรท. ผกก.สน.ปทุมวัน ไม่มีสิ่งของดังกล่าวผ่าน สน.แต่อย่างใด ฉะนั้นไม่เกี่ยวข้องกับทาง บช.น.และ สน.ปทุมวัน ทั้งนี้จะเกี่ยวข้องก็จะเป็นคนยึดของกลางและพนักงานสอบสวนเป็นผู้รับผิดชอบ ตามที่มีการเสนอข่าว พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ ผอ.ส่วนควบคุมผู้ต้องขังและรักษาของกลาง ดีเอสไอออกมาชี้แจงว่ามีการนับของกลางเข้าตู้เซฟ และคนเปิดเซฟได้คือผมกับลูกน้องผมอีกคนเท่านั้น ก็แสดงว่ามีการนำของกลางเข้าไปจริง ส่วนของกลางหายหรือไม่นั้นทางตำรวจไม่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว
       
       ออกหมายเรียก “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” แจงพูดถึง “พ่อ” หมิ่นเหม่สถาบัน

 


 

เมีย'พงษ์พัฒน์'เผยยังไม่ได้หมายเรียกตำรวจ

พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง

"แดง"ภรรยา"อ๊อฟ -พงษ์พัฒน์"เผยยังไม่ได้หมายเรียกของตำรวจ ยันสามีพร้อมให้ปากคำ มั่นใจคำพูดในงานนาฎราชไม่หมิ่นสถาบีน เชื่อทุกคนได้ยินก็รู้
นางธัญญา โสภณ ภรรยา อ๊อฟ "พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้หมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อได้หมายเรียกจริงๆพงษ์พัฒน์ ก็พร้อมที่จะเข้าพบตำรวจเพื่อให้ปากคำ

"มั่นใจว่าคำพูดของสามีในงานนาฏราชไม่ได้เป็นการหมิ่นสถาบัน เชื่อว่าทุกคนที่ได้ยินก็รู้ดี"

 


 

'อำนวย'อ่อนให้'พงษ์พัฒน์'มีหนังสือแจงได้


 

แกนนำเหลือง-แดงจูบปาก ถอนฟ้องคดีหมิ่น


ชาวบ้านโป่งต้าน'แดงสยาม'จัดเวทีปลุกระดม

 


"ม.ล.ปนัดดา" ชี้ คำพูด"อ๊อฟ"จงรักภักดี

จาก โพสต์ทูเดย์

23 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:18 น.

"ม.ล.ปนัดดา" ระบุ คำพูด อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ แสดงออกถึงความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

พงษ์ พัฒน์ วชิรบรรจง

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตาม การบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา และกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ กล่าวถึงกรณีที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เชิญนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง นักแสดงชื่อดัง เข้าชี้แจงคำพูดในงานรับรางวัลนาฏราชว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายที่มีผู้แจ้งความ ไว้ ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงในบรรยากาศของงาน แสดงให้เห็นว่า เหล่าศิลปินได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มคน ส่วนการพิจารณาถึงความเหมาะสมของการใช้คำว่า พ่อ เห็นว่า ทุกคนต่างรักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ เสมือนเป็นพ่อของเรา อีกทั้งพระองค์ทรงมีความรักความผูกพันกับพสกนิกรเปรียบประหนึ่งพ่อกับลูกโดย แท้จริง คำพูดดังกล่าว น่าจะแสดงออกมาจากการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งใด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่แจ้งความอาจมีทัศนคติที่แตกต่างกันไป ดังนั้น คดีดังกล่าวจึงต้องใช้ความละเอียดอ่อนและระมัดระวังในการพิจารณา

ม.ล.ปนัดดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น กำลังดำเนินไปสู่ความสงบเรียบร้อย ดังนั้นจึงถือเป็นหน้าที่ของชาวไทย รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่จะร่วมมือร่วมใจกันช่วยสร้างบรรยากาศของประเทศให้กลับมามีความรักใคร่ ปรองดองโดยเร็วที่สุด

Tags : ราชบัณฑิตฯ อ๊อฟ พ่อ ไม่ผิด ซัดพวกหาเรื่อง อยากให้สังคมป่วน

view