จาก โพสต์ทูเดย์
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคให้ได้ข้อยุติ จะเป็นหนทางสำคัญในการแก้ไขปัญหา.....
โดย...ปริญญา ชูเลขา
นับวันผู้บริโภคสินค้าและบริการถูกเอารัดเอาเปรียบมากขึ้น สถิติของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.องค์กรที่เป็นด่านหน้าในการรักษาและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ที่ต้องออกไปต่อสู้ฟาดฟันกับผู้ประกอบการแทนผู้บริโภคที่ส่งเรื่องร้องเรียน เข้ามาเฉลี่ยเดือนละ 4 พันกว่าเรื่อง และยังไม่นับรวมคดีความที่ยังคาราคาซังอยู่ในชั้นศาลอีก 2 พันกว่าเรื่อง
ยิ่งประเทศไทยเปิดเสรีทางการค้าอาเซียน หรือ อาฟตา มีสินค้านานาประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเสรี ทั้งที่เป็นสินค้าลิขสิทธิ์และสินค้าก็อบบี้ที่แอบลักลอบขนส่งตามแนวชายแดน ได้เพิ่มภาระในการดูแลรักษาสิทธิและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม จากผู้ประกอบการจอมซิกแซกที่คอยจ้องจะเอาเปรียบจากการหากำไรเกินควรเข้าไป อีก
ดังนั้นในวันนี้ทาง สคบ.ในยุคที่มี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหัวขบวนได้ปรับโฉมการทำงานใหม่ ภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งการทำงานเชิงรุก ที่เน้นการไกล่เกลี่ยมากกว่าใช้มาตรการทางกฎหมาย หรือ ไม้แข็งฟ้องร้องไล่บี้ผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียว
องอาจ
"การละเมิดสิทธิผู้บริโภคจะใช้อำนาจทางกฎหมายในการจัดการกับผู้ประกอบการ จอมซิกแซกเพียงอย่างเดียว ก็จะใช้เวลานานนับหลายๆปีกว่าผู้บริโภคจะชนะคดี แม้จะชนะคดีแล้วก็ยังเจอปัญหาการบังคับคดีอีก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปผู้ประกอบการรายนั้นๆ อาจล้มละลายไม่มีเงินจ่ายชดเชย ดังนั้นการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคให้ได้ข้อยุติ จะเป็นหนทางสำคัญในการแก้ไขปัยหาคดีล้นศาลได้อีกด้วย" รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเปิดงาน "สคบ.คุ้มครอง ฉับไว ใส่ใจผู้บริโภค" ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ นโยบายเชิงรุก 3 ประสาน 5 ยุทธศาสตร์ที่ทาง สคบ.จะขับเคลื่อนหลังจากนี้ไป เริ่มจาก นโยบาย 3 ประสาน คือ 1.การประสานความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐตั้งแต่ระดับจังหวัดที่มีผู้ว่า ราชการจังหวัดเป็นประธาน สคบ.จังหวัดไปจนถึงส่วนกลาง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)องค์การอาหารและยา (อย.)และ กรมการค้าภายใน (คน.)ให้มีการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ 2.การประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการ เพื่อจะได้เข้าใจถึงมาตรฐานสินค้าบริการ ในการรักษาสิทธิผู้บริโภค ที่สำคัญนับเป็นการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการน้ำดีด้วย สำหรับ 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ คือ 1. สะสาง 2.ส่งเสริม 3.เพิ่มช่องทาง การร้องทุกข์ และ การคุ้มครอง 4.สร้างความเข้าใจ และ 5. ห่วงใยผู้บริโภค
และ 3.การประสานความร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายภาคเอกชน นับว่าเป็นหน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างมาก และเนื่องจาก สคบ.คงไม่มีบุคลากรและงบประมาณที่เพียงพอในการดูแลคุ้มครองผู้บริโภค โดยจากนี้ไปจะเน้นส่งเสริมให้องค์กรภาคเอกชนมีสิทธิทางกฎหมายในการฟ้องแทน ผู้บริโภคได้
"มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่ สคบ.จำนวนมากหลายพันเรื่อง ดังนั้นจากนี้ไปสคบ.จะเร่งตั้งคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทขึ้น เพื่อทำความเข้าใจระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคยุติและตกลงแก้ไขปัญหากัน ได้และช่วยลดปัญหาคดีที่ทาง สคบ.ต้องฟ้องร้องในชั้นศาลด้วย" ประธาน กรรมการ สคบ.กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อว่าสิ่งสำคัญในการดูแลและรักษาสิทธิผู้บริโภคจากการถูกเอารัดเอา เปรียบ อีกประการสำคัญที่ทาง สคบ.จะเน้นส่งเสริม คือการสร้างผู้ประกอบการน้ำดี ด้วยการมอบรางวัลผ่านการจัดตั้งเครือข่าย "ธุรกิจติดดาว สคบ." ที่จะได้รับการการันตีจาก สคบ.ว่าธุรกิจเหล่านี้เป็นผู้ประกอบการที่ใส่ใจผู้บริโภค ตามกลยุทธ์เชิงรุกที่ทาง สคบ.ตั้งสโลแกนไว้ คือ สคบ.คุ้มครอง ฉับไว ใส่ใจผู้บริโภค
"ทาง สคบ.จะทำแบล็คลิสต์รายชื่อบริษัท และรายชื่อกรรมการบริษัทที่เคยถูกศาลตัดสิน หรือ ทางสคบ.ดำเนินการ ว่าเคยเอาเปรียบผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบ้านจัดสรร เพราะแม้บริษัทจะถูกยุบหรือเลิกไป แต่กรรมการยังอยู่ยังสามารถไปเปิดบริษัทใหม่จดทะเบียนในชื่อใหม่ได้ ดังนั้นการให้ความรู้ด้วยการเปิด แบล็คลิสต์ ถือเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญแก่ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ด้วย" นายองอาจ กล่าว
นอกจากนี้ปัญหาใหม่ๆและกำลังเป็นปัญหาสำคัญมากขึ้นทุกที คือ ปัญหาเรื่องร้องเรียนในต่างจังหวัดที่ทวีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นนับจากนี้ไป สคบ.จะมีกิจกรรม สคบ.สัญจรไปทั่วประเทศ พร้อมกับเปิดช่องทางในการสื่อสารความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน ผ่านหลากหลายสื่อ เช่น สายด่วน 1166 ตลอด 24 ชั่วโมง อินเตอร์เน็ต รายการโทรทัศน์วิทยุ เคเบิลทีวี หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ หรือ เฟซบุ๊ค เป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์เชิงรุกทั้งหมดนี้ก็เพื่อคลี่คลายปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภค ทั้งในระยะสั้นและยาวให้หมดไป
