กรมธรรม์บำนาญ เรื่องดีที่ควรใส่ใจ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : กาญจนา หงษ์ทอง,ชำนาญ น้อยสำราญ
เมืองไทยกำลังเปลี่ยนไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging society) ภายใน 20 ปีข้างหน้า 1
ใน 5 ของประชากรไทยจะมีอายุ 60 ปี ขึ้นไป และเราทุกคนรู้ว่ารัฐบาลไม่มีทางที่จะดูแลคนชราเหล่านี้ได้ทั่วถึงแน่
วิธีที่ดีที่สุดที่ทุกประเทศใช้กันคือ ส่งเสริมให้ประชาชนช่วยเหลือตนเอง และหนึ่งในวิธีการนั้นคือ การสนับสนุนให้เขาซื้อกรมธรรม์บำนาญเพื่อเขาจะได้มีเงินเลี้ยงดูหลังเกษียณ ไปตลอดชีวิต
Fundamentals ฉบับนี้ พาไปเจาะลึกเรื่อง"กรมธรรม์บำนาญ"เรื่องดีที่น่าใส่ใจและควรทำความรู้จักให้ลึกซึ้งขึ้น
****
กรมธรรม์บำนาญ (Annuity) เป็นสัญญาทางการเงินในรูปของกรมธรรม์ประกันภัย ที่ผู้ขายซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทประกันชีวิต ทำข้อตกลงจะจ่ายเงินงวดในอนาคตให้แก่ผู้รับบำนาญ (annuitant) เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่เขาต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวทันที หรือเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอหลายๆ งวดให้บริษัท ก่อนที่เขาจะได้รับเงินรายได้เป็นรายเดือน รายสามเดือน รายหกเดือนหรือรายปีไปตลอดชีวิต หรือตามจำนวนปีที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
หากเป็นกรมธรรม์บำนาญแบบตลอดชีพ (Lifetime Annuity) เงินรายงวดที่จ่ายจากบริษัทไปยังลูกค้านั้นไม่มีการจำกัดกรอบเวลา ขึ้นกับอายุขัยของลูกค้าเป็นหลัก
ยิ่งอายุยืน ยิ่งรับเงินมากงวดขึ้น แต่สัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อลูกค้าเสียชีวิต
หากมีเงินสะสมเหลืออยู่ ส่วนที่เหลือนี้จะถูกริบเข้ากองกลางเพื่อนำไปเป็นทุนสะสมให้สมาชิกคนอื่นต่อ ไป (คล้ายกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์) เว้นแต่จะมีผู้รับบำนาญร่วมหรือมีผู้รับประโยชน์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
กรมธรรม์บำนาญจึงเป็นการประกันการทรงชีพ (longevity insurance) ซึ่งความไม่แน่นอนของช่วงชีวิตบุคคลจะถูกโอนความเสี่ยงไปยังบริษัท และบริษัทจะใช้ชีวิตของลูกค้าจำนวนมาก มากระจายความเสี่ยง กรมธรรม์แบบนี้จึงควรซื้อไว้เพื่อที่เราจะยังคงมีรายได้หลังเกษียณอายุ
Oระยะกรมธรรม์
"บรรยง วิทยวีรศักดิ์" สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน บอกว่า จากการค้นคว้าข้อมูลใน Wikipedia, Investopedia, UK-annuity.com และ CNNMoney.com พอสรุปได้ว่าระยะของกรมธรรม์ โดยทั่วไป มี 2 ช่วง
1. ช่วงสะสม (Accumulation phase) เป็นช่วงที่ลูกค้าฝากและสะสมเงินออมในบัญชีของตนในบริษัทประกันชีวิต
2. ช่วง รับบำนาญ (Annuitization phase หรือ Distribution phase) เป็นช่วงที่บริษัทประกันจ่ายเงินได้ประจำให้ลูกค้าที่ระบุไว้ในกรมธรรม์จน กว่าจะเสียชีวิตหรือตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้
อย่างไรก็ตาม เราอาจสร้างกรมธรรม์ที่มีแต่ระยะรับบำนาญ โดยการใส่เงินเข้าไปก้อนใหญ่ครั้งเดียว (single premium) แล้วขอรับบำนาญภายใน 1 ปี กรมธรรม์แบบนี้จะเรียกว่า Immediate annuity ซึ่งจะช่วยรองรับผู้สูงอายุที่ได้รับเงินก้อนโต ณ วันเกษียณ เช่น เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือเงินบำเหน็จราชการ โดยให้เขานำเงินที่ได้นี้มาซื้อกรมธรรม์บำนาญ แล้วกรมธรรม์ จะทำหน้าที่จ่ายเงินให้ใช้ แทนค่าจ้างเดิมไปจนวันสุดท้ายของชีวิต กรมธรรม์แบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
"แต่ถ้าเรายังไม่พร้อม ยังไม่มีเงินก้อน จะใช้วิธีค่อยๆ จ่ายเบี้ยประกันสะสมเข้าไปเรื่อยๆ จนเมื่อมีเงินมากพอแล้วค่อยรับบำนาญ หรือใครจะเริ่มจากการจ่ายเงินก้อนโตเข้าไปครั้งเดียว แต่เราอาจรู้สึกว่ามันยังไม่มากพอ จะขอฝากเงินไว้ให้เขาบริหารลงทุนไปก่อน จนเมื่อมีขนาดพอสมควรแล้ว ค่อยมารับบำนาญ กรมธรรม์แบบนี้จะเรียกว่า Deferred Annuity"
หรือในกรณีที่เรามีเงินก้อนโต แต่อายุเรายังไม่ถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดว่าเป็นวัยเกษียณ จะฝากเงินเก็บไว้ที่บริษัทประกันจนถึงอายุที่กำหนดแล้วค่อยรับบำนาญ ก็เรียกกรมธรรม์นี้ว่า Deferred Annuity เหมือนกัน โดยเงินโตนี้อาจมาจากมรดก เงินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ หรือเงินครบสัญญากรมธรรม์แบบสะสมทรัพย์ก็ได้
Oชนิดของกรมธรรม์บำนาญ
บรรยงบอกว่าในสหรัฐและยุโรปที่มีกรมธรรม์ บำนาญขายมานานแล้ว พบว่ามีกรมธรรม์ชนิดต่างๆ ให้เลือกมากมาย บางแบบเรียกตามอัตราผลประโยชน์ที่ได้รับ บางแบบเรียกตามระยะเวลาที่รับบำนาญ ขณะที่บางแบบใช้จำนวนผู้รับหรือสุขภาพของผู้รับมาเป็นชื่อเรียก โดยลูกค้าสามารถเลือกที่จะใช้เงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้มาผสมรวมกันในกรมธรรม์ฉบับเดียวกันก็ได้
โดยกรมธรรม์บำนาญ สามารถแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ได้ดังนี้
1. กรมธรรม์แบบคงที่และแบบแปรผัน (Fixed and Variable annuities)
กรมธรรม์ ที่จ่ายเงินบำนาญแบบคงที่ตั้งแต่งวดแรกไปจนวันสุดท้ายของชีวิต เราเรียกกรมธรรม์แบบนี้ว่ากรมธรรม์บำนาญแบบคงที่ (Fixed annuities) ซึ่งหากลูกค้ามีอายุยืนมากๆ หรือกรณีที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงนานๆ จะมีผลให้กำลังซื้อของผู้รับบำนาญลดลงในอนาคต จึงมีกรมธรรม์ชนิดที่จ่ายเงินในจำนวนที่เพิ่มขึ้นทุกปีเช่น 3% หรือเพิ่มขึ้นตามเปอร์เซ็นต์ของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยให้เรามีกำลังซื้อเท่าเดิม แต่ต้องแลกกับการที่เงินบำนาญงวดแรกที่ได้รับลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบ กับกรมธรรม์แบบคงที่ทั่วไป
ยิ่งเรากำหนดให้เงินงวดเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก เงินบำนาญที่จ่ายออกมางวดแรกยิ่งต่ำลง กรมธรรม์แบบนี้เรียกว่า Escalation Annuities
ขณะที่กรมธรรม์บำนาญแบบแปรผัน (Variable annuities) จะจ่ายเงินที่ขึ้นลงตามผลประกอบการจากการลงทุน ซึ่งโดยมากมักจะเป็นการลงทุนในพันธบัตร หุ้นกู้ และกองทุนรวมต่างๆ กรมธรรม์บำนาญแบบแปรผันนี้ บางอย่างมีการรับประกันเงินงวดขั้นต่ำ ขณะที่บางอย่างไม่มีการรับประกันเลย แต่ชนิดที่มีการรับประกันจะได้รับความนิยมมากกว่า
2. กรมธรรม์บำนาญแบบรับประกันจำนวนปี (Guaranteed annuities)
จุดอ่อน อย่างหนึ่งของกรมธรรม์บำนาญดั้งเดิม คือถ้าผู้รับเงินบำนาญเกิดเสียชีวิตก่อนที่จะได้ใช้เงินเท่ากับยอดเงินที่ตน สะสมไว้ เงินงวดที่เหลือจะถูกริบเข้ากองกลางเพื่อเป็นกองทุนหมุนเวียนให้สมาชิกผู้ รับบำนาญที่เหลือ
จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่จะมีกรมธรรม์แบบรับประกันจำนวนปีขั้นต่ำ ที่บริษัทผู้รับประกันจะต้องจ่ายเงินบำนาญอย่างน้อยในจำนวนปีที่แน่นอน เช่น 5 ปี หรือ 10 ปี หากผู้เอาประกันอยู่รับเงินครบตามระยะเวลาดังกล่าว เขายังคงสิทธิที่จะอยู่รับเงินบำนาญไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิต
แต่ถ้าเกิดเขาเสียชีวิตก่อนช่วงเวลาที่กำหนด คู่สมรสหรือกองมรดกของเขาจะมีสิทธิเข้ารับเงินส่วนที่เหลือ (ของ 5 ปี หรือ 10 ปีที่รับประกันไว้)
แต่การตัดสินใจที่จะเลือกเป็นกรมธรรม์แบบที่รับประกันจำนวนปีนั้น ต้องแลกกับการที่จะได้รับเงินงวดน้อยลง เช่น ชายอายุ 65 ปี หากเลือกกรมธรรม์ที่มีระยะเวลารับประกัน 5 ปี จะได้รับบำนาญน้อยกว่าแบบที่ไม่มีระยะเวลารับประกัน 2% และหากให้บริษัทรับประกันขั้นต่ำถึง 10 ปี จะได้รับเงินบำนาญน้อยกว่าแบบทั่วไปถึง 6%
3. กรมธรรม์บำนาญแบบคู่ชีวิต (Joint annuities or Partner’s Pension)
เป็น กรมธรรม์ที่จะจ่ายเงินบำนาญให้ไปตลอดชีวิตของผู้รับสองคน ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นคู่สามี-ภรรยา โดยหากผู้รับบำนาญคนแรกเสียชีวิตไปแล้ว คนที่เหลือจะยังคงได้รับบำนาญต่อไปตลอดชีวิต การจ่ายเงินยังคงดำเนินต่อไปในจำนวนเท่าเดิมหรืออาจจะลดลง ขึ้นกับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา
"ในบางประเทศให้สามารถใช้ได้กับคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันได้ หรืออาจหมายถึงคนที่บริษัทประกันเชื่อว่ายังต้องพึ่งพาผู้รับบำนาญคนแรกใน วันที่เขาจากไป"
4. กรมธรรม์บำนาญสำหรับผู้มีโรคประจำตัว (Impaired life annuities)
ปัจจุบันได้เริ่มมีการออกกรมธรรม์บำนาญเพื่อรองรับผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืดเรื้อรัง หรือโรคมะเร็งบางชนิด โดยหากลูกค้ามีรายงานของแพทย์เข้ามายืนยันการเจ็บป่วย บริษัทจะจ่ายเงินรายงวดก้อนใหญ่ขึ้น เพราะคาดว่าลูกค้าจะอยู่รับเงินได้ไม่นาน กรมธรรม์แบบนี้จะต้องซื้อผ่านที่ปรึกษาการเงินหรือตัวแทนประกันชีวิตเท่า นั้น
5. กรมธรรม์บำนาญแบบเพิ่มพูน (Enhanced Annuities)
เป็นกรมธรรม์ ที่โดยทั่วไปจะขายให้ลูกค้าที่สูบบุหรี่เป็นประจำ แต่อาจขายให้คนที่มีน้ำหนักมาก หรือคนที่ทำงานในเหมืองนานๆ ก็ได้ โดยบริษัทจะขอรายงานแพทย์เพื่อยืนยันความถูกต้อง ถ้าบริษัทอนุมัติเงินงวดที่ได้รับในอนาคตจะสูงกว่าบำนาญทั่วไป เพราะบริษัทคาดว่าจะจ่ายเงินให้เราช่วงสั้นกว่าคนทั่วไป
6. กรมธรรม์บำนาญแบบคุ้มครองเงินต้น (Capital Protected Annuities)
เป็น กรมธรรม์แบบที่ถ้าคุณจากไปก่อนอายุ 75 ปี จะมีเงินก้อนหนึ่งจ่ายให้ผู้รับประโยชน์ของคุณ เงินก้อนนี้จะเท่ากับเงินที่คุณสะสมไว้ หักด้วยเงินบำนาญทั้งหมดที่คุณรับไปแล้ว
"จะเห็นได้ว่า กรมธรรม์บำนาญได้มีการออกแบบมามากมาย เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ดังนั้นก่อนซื้อกรมธรรม์ต้องศึกษาและอ่านเงื่อนไขของกรมธรรม์แต่ละแบบให้ดี เสียก่อน"
Oวิธีคำนวณเงินบำนาญที่จะได้รับ
สำหรับขนาดของเงินงวดที่จะได้รับในอนาคตนั้นบรรยงบอกว่าขึ้นกับ 2 ปัจจัย คือ 1. ขนาดของเงินสะสม (The pot) และ 2. อัตราบำนาญ (Annuity rate) โดยสามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้ Annuity = Value of fund x Annuity rate
อัตราบำนาญถูกคิดคำนวณโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งใช้ปัจจัยหลายอย่างมาคำนวณ เช่น อัตรามรณะ อัตราดอกเบี้ย อายุ เพศและสุขภาพ โดยทั่วไป อัตราจะยิ่งสูงถ้าลูกค้ายิ่งมีอายุมาก เพราะช่วงอายุในอนาคตเหลือน้อยกว่า ขณะเดียวกัน อัตราของผู้ชายจะสูงกว่าผู้หญิง เพราะผู้ชายมีอายุสั้นกว่าผู้หญิง
นอกจากนี้ หากเราเลือกเงื่อนไขพิเศษเพิ่มขึ้น เช่น ขอปรับเงินบำนาญตามเงินเฟ้อ, ขอให้รับประกันระยะเวลาจ่ายขั้นต่ำ หรือขอให้จ่ายให้คู่สมรสด้วยหลังการเสียชีวิตของคนแรก มันจะทำให้เงินบำนาญลดลง
Oข้อดี-ข้อด้อยของกรมธรรม์บำนาญ
บรรยงบอกว่า ข้อดีของการซื้อกรมธรรม์บำนาญมีหลายประการ อย่างน้อยเราก็มีหลักประกันว่าเราจะมีเงินใช้ยามเกษียณแน่นอน และรับประกันผลตอบแทนที่ได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนในอนาคต เป็นการจัดสรรเงินที่เป็นระบบ เชื่อถือได้
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐโดยการลดหย่อนภาษีให้ เป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ทุกคนยังชีพอยู่ได้ด้วยเงินกองกลาง สบายใจว่าคู่สมรสของเรามีเงินเลี้ยงดู แม้เราจะไม่อยู่แล้ว
ช่วยลดภาระของรัฐในระยะยาว
ส่วนข้อด้อยของกรมธรรม์บำนาญ คือเมื่อเริ่มรับเงินบำนาญแล้ว ยกเลิกไม่ได้ หากยกเลิกในช่วงสะสมเงิน อาจถูกคิดค่าธรรมเนียม 7- 20% ของเงินที่สะสมไป กรณีผู้ซื้อมีอายุสั้น อาจทำให้ได้รับเงินบำนาญคืนน้อยกว่าที่จ่ายออกไป อัตราเงินเฟ้ออาจทำให้เงินที่ได้ในอนาคตมีกำลังซื้อลดลง อาจจะไม่สะดวกสบายอย่างที่คาดหวังไว้ และต้องสะสมเงินเป็นเวลายาวนานกว่าจะได้ใช้เงิน ซึ่งอย่างต่ำต้องรอถึงอายุ 55 ปี
"ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ในทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่าผู้ที่ตัดสินใจล่าช้ามักเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ ไม่เพียงแต่จะมาจากการที่อัตราการจ่ายบำนาญลดลงเพราะคนอายุยืนขึ้น แต่ยังมาจากผลตอบแทนการลงทุนที่ลดน้อยลง จากความล่าช้าในการเริ่มต้นลงทุน"
บรรยงสรุปว่าปัจจุบันนี้ กรมธรรม์บำนาญกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในอังกฤษและอเมริกา มีข้อมูลว่าเงินเกษียณอายุของประชาชนชาวอเมริกัน มาจากกรมธรรม์แบบบำนาญถึง 15%
ดังนั้น จึงเชื่อว่าประชาชนในประเทศต่างๆ จะพากันเลียนแบบ และนิยมกรมธรรม์บำนาญกันอย่างแพร่หลาย
รัฐบาลไทยควรฉวยโอกาสนี้ รณรงค์ให้ประชาชนซื้อกรมธรรม์บำนาญไว้ให้มากที่สุด เพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยการอนุมัติให้ลดหย่อนภาษีเงินออมส่วนนี้ได้ เชื่อว่ากองทุนบำนาญนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเป็นทั้งหลักประกันและเงินออมของประเทศในอนาคต
ก่อนหน้านี้ จันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เคยบอกไว้ว่า สังคมไทยเริ่มมีประชากรคนชราเพิ่มขึ้น จึงได้มีการจัดทำกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญขึ้น เพื่อรองรับคนกลุ่มนี้เปิดโอกาสให้คนหนุ่มซื้อกรมธรรม์ตัวนี้ไว้พอสูงอายุค รบ 55 ปีขึ้นไปก็มารับผลประโยชน์จากกรมธรรม์ได้ เป็นการออมลักษณะหนึ่งอีกเช่นกัน ที่จะเป็นประโยชน์ระยะยาว
โดย คปภ. และสมาคมประกันชีวิตได้จัดทำตารางบำนาญ (Annuity Table) หรือตารางมรณะเพื่อใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันภัยการจ่าย สำหรับรูปแบบการจ่ายผลประโยชน์แบบบำนาญนั้น หากเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ชำระเบี้ยจะจ่ายผลประโยชน์ไม่สูงมากนัก
อีกช่วงหนึ่งเป็นผลประโยชน์กรณีผู้เอาประกันภัยอยู่รับเงินบำนาญ ได้แก่ ผู้เอาประกันภัยครบอายุ 55 ปีขึ้นไป,จ่ายเงินบำนาญรายงวดจนกระทั่งผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือผู้เอา ประกันภัยมีอายุครบ 85 ปี, จ่ายผลประโยชน์เป็นรายปีหรือน้อยกว่ารายปี เช่นรายเดือน ราย 3 เดือน ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน รายปีก็ได้
โดยในเอเชียมีหลายประเทศที่ได้เริ่มนำระบบประกันชีวิตเข้าไปช่วยในการ บริหารจัดการในเรื่องของการดูแลสังคมผู้สูงอายุ โดยสินทรัพย์ที่เกิดจากกองทุนบำนาญ (Pension Assets) ของทั้งภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตรวมโดยเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate : CAGR) เพิ่มขึ้น 9.2% ทำให้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการเพิ่มขึ้นเป็น 3.116 ล้านล้านยูโร หรือ 157.790 ล้านล้านบาท ภายในปี 2558 (ค.ศ.2015) จาก 1.408 ล้านล้านยูโร หรือ 71.274 ล้านล้านบาท ในปี 2549 (ค.ศ.2006) และในตลาดเกิดใหม่จะมีการเติบโตสูงสุดถึง 17.2%
ดังนั้น ในประเทศไทยเอง หากว่ากรมธรรม์บำนาญสามารถออกขายได้จริงก็จะทำให้ธุรกิจประกันชีวิตสามารถ ที่จะขยายตัวได้อีกมาก เพราะถือเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ยังไม่มีกรมธรรม์เข้าไปรอง รับได้ตรงกับความต้องการนัก เพราะติดขัดปัญหาหลักด้านภาษี หากว่าสามารถขจัดไปได้ก็จะทำให้เกิดสินค้าบำนาญหลากหลายที่สามารถตอบสนอง ความต้องการลูกค้าที่มีมากกว่า 10% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
ประกันเปิดศึกขายแบบบำนาญ ซุ่มดีไซน์เบี้ย-เร่งติวเข้มตัวแทน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมาให้นำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ มาลดหย่อนภาษีได้ 200,000 บาท
จาก เดิมที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 100,000 บาท ส่งผลให้ผู้ที่ซื้อประกันชีวิตสามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตไปคำนวณหักลด หย่อนภาษีได้ถึง 300,000 บาท นั้น ก็ส่งผลให้บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่ เร่งยื่นแบบประกันชีวิตแบบบำนาญต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการ ประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กันเป็นจำนวนมาก
จากการสำรวจบริษัทประกันชีวิต เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีบริษัทประกันชีวิตประมาณ 8-9 บริษัท ที่อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นประกันชีวิตแบบบำนาญ ต่อ คปภ. เพื่อที่จะให้ได้รับการอนุมัติทันภายใน พ.ย. - ธ.ค.และเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไปได้ทัน เช่นเดียวกับบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ก็ได้ทำการยื่นแบบประกันไปยัง คปภ.เรียบร้อยแล้วเช่นกัน โดยมีให้เลือกถึง เกือบ 10 แบบด้วยกัน มีทั้งชำระค่าเบี้ยประกันถึงอายุ 55 ปี และ 60 ปี คุ้มครองถึงอายุ 85 ปี ก็มีและคุ้มครองถึง 99 ปีก็มี บางบริษัทได้ทำการเปิดตัวไปบ้างแล้ว บางบริษัทขอปิดเป็นความลับไม่ขอเปิดเผยถึงแบบประกันที่ได้ยื่นไป
พร้อมกันนี้ ก็เตรียมเรียกผู้จัดการฝ่ายขายมาทำการอบรมแบบประกัน เพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถขายได้ทันทีภายหลังจากที่ คปภ.อนุมัติแบบ และให้ผู้จัดการฝ่ายขายไปถ่ายทอดความรู้ให้กับตัวแทนฝ่ายขายต่อไป เพื่อให้ตัวแทนฝ่ายขายรับรู้ถึงแบบ และทำการขายได้อย่างรวดเร็ว
ทุกบริษัทมีความเชื่อไปในทิศทางเดียวกันว่าแบบประกันบำนาญที่เสนอต่อ คปภ.จะได้รับการอนุมัติได้รวดเร็ว เพราะโครงสร้างและรูปแบบของแต่ละบริษัทมีลักษณะคล้ายๆ กัน ต่างกันตรงเบี้ยประกันเล็กน้อย และเช่นเดียวกัน ผลการสำรวจพบว่า ยังไม่มีบริษัทประกันชีวิตรายไหนเลยที่กล้าตั้งเป้า ว่าประกันแบบบำนาญจะสามารถทำยอดขายได้จำนวนเท่าไร เนื่องจากเป็นเรื่องที่ใหม่ เพราะกลุ่มคนที่จะซื้อประกันแบบบำนาญได้เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีนั้น ต้องเป็นกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง หรือ กลุ่มลูกค้าระดับบนจริงๆ และซื้อประกันชีวิตเอาไว้จำนวนน้อย หรือซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เอาไว้ในจำนวนน้อย
ซึ่งจากการสำรวจพบว่า บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ หรือเอไอเอ ประเทศไทย เป็นบริษัทประกันชีวิตรายเดียวที่เปิดขายกรมธรรม์แบบบำนาญ หลัง ครม.อนุมัติให้เพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ใช้ชื่อว่ากรมธรรม์ว่า “เอไอเอ บำนาญ 60/85 (บำนาญ)” "รอน แวน โอเยน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ให้รายละเอียดว่า เปิดขายให้กับบุคคลอายุ 30 - 55 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยถึงอายุ 60 ปี และเมื่อผู้เอาประกันภัยอายุ 60 ปีขึ้นไปจนครบกำหนดสัญญากรมธรรม์ที่อายุ 85 ปี ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนรายงวดที่เปรียบเสมือนเงินบำนาญปีละ 10 % ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น โดยบริษัทจะการันตีการจ่ายเงินบำนาญจนครบ 15 ปี หากผู้เอาประกันภัยเสีย ชีวิตก่อนอายุ 74 ปี บริษัทจะจ่ายบำนาญเป็นเงินก้อนครั้งเดียวในวงเงินเท่ากับมูลค่าปัจจุบัน ของจำนวนเงินบำนาญที่ยังจ่ายไม่ครบ 15 ปี
เมื่อผู้เอาประกันภัยอายุครบ 51 ปีขึ้นไปจะได้รับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นอีกปีละ 10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยทุกปี โดยความคุ้มครองชีวิตจะเพิ่มเป็น 110, 120%, 130% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเมื่ออายุ 51, 52 และ 53 ปีตามลำดับจนเพิ่มสูงสุดเป็น 200% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเมื่ออายุ 59 ปี โดยความคุ้มครองชีวิตจะสิ้นสุดเมื่อผู้เอาประกันภัยอายุครบ 60 ปีหรือเมื่อเริ่มรับเงินบำนาญ” กรมธรรม์เอไอเอ บำนาญ 60/85 (บำนาญ) กำหนดวงเงินเอาประกันภัยขั้นต่ำที่ 100,000 บาท โดยมีอัตราเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 43 - 393 บาทต่อจำนวนเงินเอาประกันภัย 1,000 บาท
“ เอไอเอ ประเทศไทย อยากเห็นคนไทยเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อสร้างสวัสดิการให้ตัวเองสามารถ ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในช่วงหลังเกษียณ ซึ่งการประกันชีวิตเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างสวัสดิการในรูปของเงินบำนาญ ให้แก่ผู้เอาประกันภัยในช่วงหลังเกษียณได้”
บริษัทไทยประกันชีวิต เป็นอีกรายหนึ่งที่ยอมแย้มถึงความคืบหน้า "อภิรักษ์ ไทพัฒนกุล" กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยประกันชีวิต ย้ำว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นแบบประกันแบบบำนาญ ต่อ คปภ. ประมาณ 15-16 แบบ มีให้เลือกชำระ ตั้งแต่ 1,5,10,15,20 ปี ชำระครบอายุ 55 ปี และ 60 ปี และคาดว่าปลาย พ.ย. หรือ ต้น ธ.ค.ก็สามารถเปิดให้ขายกับประชาชนทั่วไปได้
ขณะนี้ ได้เตรียมการฝึกอบรมผู้บริหารฝ่ายขายเอาไว้แล้ว แต่ก็เกรงว่าจะไม่สามารถอบรมได้ทั้งหมด จึงมีการคัดเลือกเอาเฉพาะระดับบนๆ หรือระดับหัวกะทิก่อน เนื่องจากเป็นแบบใหม่จึงยังไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะสามารถมียอดขายได้ จำนวนเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีเวลาเตรียมตัวค่อนข้างน้อย การยื่นไปหลายแบบส่วนหนึ่งเพราะต้องการเปิดขายผ่านทุกช่องทางที่บริษัทมี
"การที่ ครม.อนุมัติให้นำค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้อีก 200,000 บาท จากเดิมกำหนดไว้ 100,000 บาท นั้น เชื่อว่าระยะยาวจะทำให้ประชาชนหันมาทำประกันชีวิตเพิ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนชนชั้นกลาง ที่ต้องการช่วยตัวเอง ไม่ต้องการเป็นภาระของรัฐบาล ส่วนกรณีที่ในระหว่างทางไม่มีเงินคืนนั้น เรื่องนี้ก็ถือผู้เอาประกันได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีสูงสุดไปแล้ว 37% ตามเกณฑ์ฐานภาษี หรือ ประหยัดไปแล้ว 37% ซึ่งถือว่าผู้เอาประกันได้รับประโยชน์ไปล่วงหน้าแล้ว "
ทั้งหมดนี้คือความเคลื่อนไหวในฝั่งของผู้ประกอบการ ที่แต่ละแห่งกำลังซุ่มโป่งดีไซน์ผลิตภัณฑ์ออกมา จากนี้ไปสนามประกันฝุ่นตลบแน่