จากประชาชาติธุรกิจ
คงไม่มีใครที่ไม่เคยบ่นว่า "ปวดหัว" นั่นเพราะจากความเครียด ไมเกรน ฯลฯ ซึ่งก็ไม่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
แต่ว่ามีอาการปวดศีรษะบางประเภทที่บ่งบอกถึงความผิดปกติอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้
จาก ข้อมูลเชิงวิชาการจากศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า ของผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ เกิดจากโรคปวดศีรษะทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต การจำแนกโรคปวดศีรษะทั่วไปจากโรคปวดศีรษะที่มีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่ โดยเฉพาะสาเหตุจากภายในสมอง เช่น ก้อนเนื้องอก เลือดออก หรือเส้นเลือดผิดปกติ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากทางการแพทย์ และเป็นวัตถุประสงค์แรกของแพทย์ในการเริ่มต้นค้นหา และทำการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะเป็นอาการสำคัญ ประวัติและรายละเอียดลักษณะของอาการปวดศีรษะจากผู้ป่วย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรค รวมถึงการสืบค้นสาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นต้นเหตุของการปวดศีรษะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
ซึ่งมี 9 อาการปวดศีรษะอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์ !
1.โรค และอาการเจ็บป่วยทางกายอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด มีประวัติโรคมะเร็ง การติดเชื้อ หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เอชไอวี ผู้ที่รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาสเตอรอยด์ ยาละลายลิ่มเลือด ยากดภูมิคุ้มกัน ประวัติเหล่านี้ บ่งบอกถึงโรคติดเชื้อ การอักเสบ และการแพร่กระจายของมะเร็ง
2.อาการแสดงผิดปกติทางระบบประสาท ได้แก่พฤติกรรม หรือบุคลิกภาพเปลี่ยนจากเดิม แขนขาอ่อนแรง ชา หรือการรับรู้ประสาทสัมผัสผิดปกติ การมองเห็น หรือการได้ยินผิดปกติ
3.อาการปวดศีรษะที่เริ่มต้นหลังตื่นนอน มักบ่งบอกถึงภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง
4.อาการ ปวดศีรษะที่เกิดขึ้นรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งมักใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาที บ่งบอกถึงภาวะวิกฤตของหลอดเลือดสมองทั้งเส้นเลือดสมองตีบและแตก
5.อาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี แม้ว่าโรคปวดศีรษะปฐมภูมิหลาย ๆ ชนิดอาจเริ่มต้นครั้งแรกหลังอายุ 40-50 ปี
โดย โรคปวดศีรษะปฐมภูมิไม่ใช่อาการปวดศีรษะที่มีผลจากการรับยา แต่เป็นการปวดศีรษะจากความเครียด ไมเกรน อาการปวดหัวแบบผสม และปวดแบบชุด ๆ แต่อายุที่มากขึ้นมักสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้ ที่พบบ่อย เช่น ก้อนเนื้องอก การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี จึงควรได้รับการเอกซเรย์สมองทุกราย ถึงแม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายทางระบบประสาท
6.ลักษณะ อาการปวดศีรษะต่างจากอาการปวดศีรษะที่เป็นประจำ โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย ที่ไม่มีช่วงเวลาหายปวด หรือมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น
7.อาการปวดศีรษะที่แย่ลงเมื่อไอจามหรือเบ่ง มักสัมพันธ์กับความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้นเช่นกัน
8.อาการ ปวดศีรษะที่แย่ลงเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง เช่น ปวดมากขึ้นเมื่อยืน นอน หรือเมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะและคอ อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำในโพรงสมองและไขสันหลัง หรือกระดูกต้นคอ
9.อาการ ปวดศีรษะที่เกิดขึ้นข้างเดียวตลอดเวลา หรือมักปวดบริเวณด้านหลังของศีรษะ แสดงถึงพยาธิสภาพที่อาจเกิดอยู่บริเวณนั้นของศีรษะ หากเป็นอาการปวดศีรษะทั่วไปมักมีการสลับข้างซ้ายขวาบ้าง แต่มักพบว่าจะปวดข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะครั้งแรก แม้จะมีหรือไม่มีอาการดังกล่าว ข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเป็นโรคปวดศีรษะชนิดใด
ส่วน ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะอยู่แล้ว หรือปวดศีรษะครั้งแรกแล้วมีสัญญานอันตรายดังกล่าวข้างต้น ให้รีบมาปรึกษาแพทย์ระบบประสาทโดยเร็ว เพื่อสืบค้นสาเหตุที่อาจเป็นอันตรายได้ และเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและตรงกับโรคที่เป็นสาเหตุ การตรวจวินิจฉัยที่สำคัญ ได้แก่การเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การเจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการ และ อื่น ๆ ตามแต่โรคที่แพทย์วินิจฉัย
เรื่องของศีรษะจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรคอยสังเกตความ ผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะแพทย์จะได้วินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที