จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : สหพล สิทธิพันธ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้(สกต.)
หลักการที่ว่า บุคคลเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายและผู้ชี้ขาดความถูกผิดคือศาลสถิตยุติธรรมแต่ สำหรับ"คนจน"เมื่อขึ้นสู่ศาลมิได้ยุติลงด้วยความเป็นธรรม
ก่อน จะถึงขั้นตอนการปราบปรามด้วยกองกำลังติดอาวุธ กฎหมายคือเครื่องมือสำคัญที่ ทำให้รัฐดูเสมือนมีความชอบธรรมในการใช้อำนาจ และโดยปกติกลไกการใช้ความรุนแรง เช่น กองทัพ ตำรวจ ก็ใช้ควบคู่กับกลไกทางอุดมการ เช่น กฎหมาย สื่อมวลชน เห็นได้ชัดเจนในกรณีการปราบปรามการชุมนุมของ นปช. และคนเสื้อแดง
กรณีการปราบปรามการเคลื่อนไหวเพื่อโต้แย้งสิทธิในที่ดิน การเข้ายึดที่ดินของนายทุนโดยเกษตรกรรายย่อย แรงงานไร้ที่ดินในชนบทหรือ คนจน(ในความหมายคนที่ไร้อำนาจรัฐและอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ในมือ) ล้วนดำเนินไปโดยการทำงานร่วมกันของกลไกทางอุดมการ และกลไกการใช้ความรุนแรง
ไม่ว่ากรณีการจับกุมผู้ต้องหา ๑๐๘ คน ด้วยข้อกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินเอกชน กว่า ๑,๐๐๐ คดี ที่จังหวัดลำพูน เมื่อปี ๒๕๔๕
ไม่ว่ากรณีการสลายการชุมนุมและตอบโต้การยึดสวนปาล์ม โดยเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจนภาคใต้ที่จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๖ และที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๖ ซึ่งนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาหลายร้อยคนในจำนวนนี้มี ๔๘ คน ถูกส่งฟ้องศาลด้วยข้อกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินสวนปาล์มเอกชน รวม ๒๑ คดี
โดยหลักการที่เชื่อกันว่าบุคคลเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และผู้ชี้ขาด ความถูกผิดคือศาลสถิตยุติธรรม แต่เรื่องราวของ “คนจน” เมื่อขึ้นสู่ศาลบ่อยครั้งมิได้ยุติลงด้วยความเป็นธรรม กระทั่งนำมาสู่ข้อสรุปว่าแท้จริงแล้วกฎหมายกับความเป็นธรรมมิได้ดำรงอยู่ควบ คู่กันเสมอไป เพราะความแตกต่างกันด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ-สถานะทางการเมือง ล้วนเป็นมูลเหตุสำคัญ ซึ่งเราจะพบได้เสมอในคดีของคนจน โดยเฉพาะคดีที่เกิดจากการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกิน หรือ การต่อสู้เพื่อปกป้องผืนป่า ต้นน้ำลำธาร และสภาพแวดล้อมของชุมชน เช่น กรณีชาวบ้านย่าหมี อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ต่อสู้คัดค้านการทำลายป่าชุมชนเพื่อสร้างรีสอร์ทโดยนักลงทุนด้านการท่อง เที่ยว จนถูกจับกุมดำเนินคดี จำนวน ๑๘ คน ด้วยข้อหา บุกรุกที่ดินมีเอกสารสิทธิ ซึ่งภายหลังได้ตรวจสอบพบว่าเอกสารสิทธิ์เหล่านั้นออกโดยมิชอบ, ( ดูรายงานการตรวจสอบฯ ที่ ๑๐๗/๒๕๕๒โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ)
ในคดีเหล่านี้ผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ-การเมือง สามารถที่จะใช้กระบวนการยุติธรรมให้เกิดประโยชน์ในการปกป้องผลประโยชน์ของตน เองได้เสมอจนแทบจะสรุปได้ว่ากระบวนการยุติธรรมในปัจจุบันแท้จริงคือ กระบวนการอยุติธรรม
กล่าวเจาะจงลงไปที่คดีอันเนื่องมาจากการต่อสู้เพื่อที่ดินทำกินของ เกษตรกรไร้ที่ดินหรือแรงงานในชนบททั้งหลาย มูลเหตุของเรื่องนี้มาจากการกำหนดนโยบายของรัฐในด้านการจัดการทรัพยากรและ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ผิดพลาดมาแต่ต้น หรือจะเรียกว่าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ก็ว่าได้เพราะต้องการควบคุมการจัดสรร แบ่งปันปัจจัยการผลิตให้อยู่แต่ในหมู่พวกเดียวกันกับผู้กุมอำนาจรัฐ พร้อมๆ กับการตัดสิทธิ์ริดรอนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการถือครองปัจจัยการผลิต ทั้งๆที่พวกเขาทั้งหลายคือกำลังแรงงานผู้ทำการผลิตแต่กลับไร้ปัจจัยการผลิต ชนชั้นปกครองตระหนักดีว่า “มันผู้ใดควบคุมหรือมีกรรมสิทธิ์เหนือปัจจัยการผลิตของสังคม มันผู้นั้นย่อมมีอำนาจควบคุมชะตากรรมและลมหายใจของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทำการ ผลิต”
เพื่อให้ทุนนิยมเติบโตรุดหน้าไปไม่หยุดยั้ง ที่ดินจึงถูกกำหนดให้ทำหน้าที่มากกว่าการผลิตอาหารหรือปัจจัยสี่สำหรับ มนุษย์แต่ที่ดินต้องมีบทบาทในฐานะที่เป็นสินค้าได้ด้วย เมื่อมาถึงขั้นนี้กลไกตลาดการลงทุนซื้อขายกักตุนเก็งกำไรที่ดินก็เข้ามามี บทบาทกำหนดการกระจายการถือครองที่ดินทำให้ผู้ที่มีเงินทุนมากกว่าสามารถเข้า ถึงที่ดินได้มากกว่าด้วย แรงกดดันทางการเงินยังส่งผลให้ที่ดินของเกษตรกรรายย่อยหลุดมือเร็วยิ่งขึ้น ด้วยแพ้ภัยสงครามเศรษฐกิจ
การแย่งชิงและผูกขาดการถือครองที่ดินโดยกลุ่มทุนต่างๆ เพื่อเก็งกำไร บ้างก็จำนองธนาคารเอาเงินไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ จนกลายเป็นหนี้เน่า หลังฟองสบู่ทางเศรษฐกิจแตกเมื่อปี ๒๕๔๐ ที่ดินมากกว่า ๓๐ ล้านไร่เป็นหนี้เน่า และประมาณว่ามีที่ดินประเภทต่างๆ ถูกทิ้งร้างและก่อให้เกิดการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจปีละประมาณ... ๓ แสนล้านบาท ในภาคใต้เฉพาะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร กลุ่มทุนสวนปาล์มรายใหญ่ ถือครองที่ดินรัฐโดยกลวิธีอันฉ้อฉล จำนวนกว่า....๒.....แสนไร่
การตอบโต้จาก คนไร้ที่ดินหรือกำลังแรงงานภาคเกษตรที่ล้นเกินอยุ่ในชนบท และเขตชานเมือง ได้เริ่มขึ้นในจังหวัดลำพูน-เชียงใหม่ เมื่อปี ๒๕๔๔-๔๕ โดยการตรวจสอบข้อมูลที่ดินแต่ละแปลงพบว่ามีที่ดินทิ้งร้างอยู่หลายแปลงและ เป็นหนี้เน่าอยู่ในธนาคารทั้งเอกสารสิทธิ์ก็ออกโดยมิชอบ ปฏิบัติการต่อมาคือการบุกยึดพื้นที่การเกษตรที่ถูกทิ้งร้างติดค้างธนาคาร พร้อมกับชูคำขวัญ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ”
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจับกุมเกษตรกรนักต่อสู้ ๑๐๘ คน ข้อหาบุกรุก รวม กว่า ๑,๐๖๔คดี ปัจจุบันศาลฎีกาตัดสินจำคุกชาวบ้านดงขี้เหล็ก จังหวัดลำพูน ๒ ปี จำนวน ๒ คนอีก ๒ คน เป็นชาวบ้านท่าหลุก จังหวัดลำพูน ศาลตัดสินจำคุกคนละ ๑ ปี อีก ๓๑ คน รอคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เหลือยกฟ้อง
การยึดที่ดินขยายตัวลงสู่ภาคใต้ ปี ๒๕๔๖ เกษตรกรไร้ที่ดินหรือแรงงานชนบทไร้ที่ดินบุกยึดสวนปาล์มขนาดใหญ่ในเขต จังหวัดสุราษฎร์ธานี-กระบี่ จำนวน ๑๓ แห่ง ด้วยกำลังมวลชนประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ด้วยเหตุผลว่าพื้นที่สวนปาล์มเหล่านั้นหมดสัญญาเช่ากับรัฐบาลแล้วแต่นายทุน ทั้งหลายยังไม่ยอมถอนตัวออกจากพื้นที่ พื้นที่เหล่านั้นมีฐานะทางกฎหมายเป็นที่ดินรัฐนับตั้งแต่ที่ดินป่าสงวนแห่ง ชาติ เขตปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินสาธารณะประโยชน์ ทุ่งทำเลเลี้ยงสัตว์ ที่ดินสหกรณ์นิคม ซึ่งรัฐบาลควรนำมาปฏิรูปกระจายการถือครองและใช้ทำประโยชน์ในฐานะปัจจัยการ ผลิตให้เกษตรกรมากกว่าปล่อยให้นายทุนผูกขาดการถือครอง ผลักเกษตรกรส่วนใหญ่ให้กลายเป็นแรงงานที่ขาดความมั่นคงในอาชีพ
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การปราบปรามผลักดันด้วยความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ยึด ที่ดินให้ออกจากพื้นที่ และจับกุมสมาชิกที่ไม่ยอมล่าถอยจำนวนหลายร้อยคน แต่ที่เป็นคดีขึ้นสู่ศาลมีจำนวน ๔๘ คน ๒๑ คดี หลังจากต่อสู้คดีประมาณ ๓ ปี ด้วยวงเงินประกันตัว ๓,๗๘๐,๐๐๐ บาท(ระดมความช่วยเหลือจากแนวร่วม) สุดท้าย ศาลยกฟ้อง เหลือเพียง ๑ ราย รอการตัดสินจากศาลฎีกาซึ่งเป็นคดีแจ้งความเท็จ
หลังจากการสลายการชุมนุม ของคนไร้ที่ดินที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปี ๒๕๔๖ มวลชนแยกกระจัดกระจายเป็นหลายกลุ่มและพยายามเคลื่อนกำลังเข้ายึดที่ดินแปลง ต่างๆ ที่หมดสัญญาเช่าแต่ก็ถูกตีโต้ด้วยความรุนแรงทุกครั้ง กระทั้งเดือนกันยายน ๒๕๕๐ ชุมชนสันติพัฒนา จึงได้เข้ายึดพื้นที่ ส.ป.ก. และพื้นที่ป่าถาวร ที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสวนปาล์มน้ำมัน จำนวน ๑,๔๘๔ ไร่ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของบริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม(มหาชน) จำกัด ต่อมาบริษัทฯ ได้ฟ้องสมาชิกชุมชนสันติพัฒนา จำนวน ๑๒ คน ดังนี้ (บริษัทสหฯ มีพื้นที่ทั้งหมด ๙ แปลง จำนวน ๔๔,๐๐๐ ไร่เศษ )
๑. คดีอาญา หมายเลขดำที่ ๑๙๑๒, ๒๑๓๑/ ๕๒ จำเลย ๙ คน ข้อหาร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ฯ
๒. คดีแพ่ง หมายเลขดำ ที่ ๒๓๐/๕๒ จำเลย ๓ คน ข้อหาละเมิด ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจำนวน ๕ ล้านบาทเศษ
๓. คดี แพ่งหมายเลขดำ ที่ ๑๒๔๓/๕๒ จำเลย ๑๒ คน ข้อหาละเมิด ฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหาย จำนวน ๑๐ ล้านบาทเศษ (โจกท์ถอนฟ้องจำเลย ๓ คน คงเหลือ ๙ คน )
ประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย
๑. บริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มฯ ไม่มีอำนาจฟ้อง
๒. ที่ ตั้งของชุมชนตั้งอยู่บนที่ดิน ส.ป.ก. และได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยโดยมติคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหา คปท. ครั้งที่ ๑ วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓
๓. ที่ดินพิพาทไม่ใช้ที่ดินของบริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มฯ
๔. น.ส.๓ ก ที่ใช้เป็นฐานในการฟ้องร้องออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายโดยการชี้มูลความผิดของกรม สอบสวนคดีพิเศษภายใต้คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาคดีความ กระทรวงยุติธรรม
นอกจากนี้แล้ว ปี ๒๕๕๒ ยังมีการยึดที่ดินสวนป่ายูคาลิปตัส ของบริษัทสวนป่ากิตติ และกระดาษดับเบิลเอ และบริษัทลูกในเครือสวนป่ากิตติ ที่หมดสัญญาเช่าจากกรมป่าไม้ และก่อตั้งบ้านเก้าบาตร(และอีกประมาณ ๔ กลุ่ม) ที่ตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ สมาชิกของกลุ่มถูกดำเนินคดี ๓ คน และ การยึดสวนป่ายูคาลิปตัส องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้(ออป.)ก่อตั้งบ้านบ่อแก้ว ที่ ตำบลทุ่งพระ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ กรณีหลังนี้มีคดีแพ่งเป็นชนักปักหลังนักต่อสู้สามัญชนจำนวน ๓๐ ราย
กรณีบ้านท่าหลุก กิ่งอำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน เกษตรกรไร้ที่ดิน เข้าใช้พื้นที่ในโครงจัดสรรที่ดินแปลงใหญ่หนองปลาสวาย เมื่อปี ๒๕๔๕ ต่อมาถูกนายทุนฟ้องข้อหาบุกรุก ๑๙ ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ๑ ปี ศาลอุทธรณ์ตัดสินลดโทษเหลือ ๖ เดือนด้วยเหตุผลว่าชาวบ้านบุกรุกเฉพาะกลางวันไม่ได้สร้างที่พักในพื้นที่ และพ้นโทษได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๑๗ คนเสียชีวิตในคุก ๑ คนเพราะป่วยด้วยโรคมะเร็ง(ยังถูกจำคุกต่ออีก ๑ คน เพราะมีความผิดในข้อหาอื่นด้วย) กรณีนี้ฝ่ายโจทก์อาศัยเอกสารสิทธ์แสดงการเป็นเจ้าของที่ดินเป็นฐานในการฟ้อง แต่มีเงื่อนงำว่าเหตุใดเอกสารสิทธิ์จึงออกทับที่ดินโครงการจัดสรรของชุมชน และหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาทนายความจำเลยพยายามยื่นขอประกันตัวเพื่อสู้คดีใน ศาลฎีกาแต่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุผลว่ากลัวจำเลยหลบหนีส่วนศาลฎีกา มีแนวโน้มไม่รับพิจารณาด้วยเหตุว่าเป็นคดีที่มีโทษต่ำ ชะตากรรมของคนไร้ที่ดินบ้านท่าหลุก กลุ่มนี้จึงต้องนอนคุก ๖ เดือน ครอบครัวต้องประสบความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งยวด
กรณีบ้านพรสวรรค์ ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ สมาชิกของสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จำนวน ๔๗ คน ถูกดำเนินคดีอาญา, ๓๙ คนในชุดเดียวกัน ถูกดำเนินคดีแพ่ง(เสียชีวิต ๘ ราย) ข้อหาบุกรุกสร้างที่พักอาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ(กรณีนี้ไม่มีที่ดินทำกิน) ในคดีอาญาศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก ๖ เดือน แต่ให้รอลงอาญา ส่วนคดีแพ่งให้ชดใช้โทษฐานความผิด ๗ ประการ เช่น ทำให้สูญเสียหน้าดิน สูญเสียปุ๋ยในดิน ทำให้เสียเนื้อไม้ ทำให้โลกร้อน(เฉพาะความผิดที่ทำให้โลกร้อนต้องชดใช้เป็นเงิน ๕๔,๐๐๐ บาท/ไร่) ซึ่งภายหลังจำเลยได้ทำสัญญายินยอมทำงานเพื่อใช้แรงงานทดแทนค่าปรับรายละ ๒๐๐,๐๐๐ – ๓๐๐,๐๐๐ บาท( ค่าปรับไม่เท่ากันเพราะพื้นที่อยู่อาศัยแต่ละครอบครัวไม่เท่ากัน) โดยต้องทำงานที่หน่วยเพาะชำกล้าไม้แม่ออนอำเภอสันกำแพง ระยะทางไปกลับจากที่พักถึงที่ใช้แรงงานประมาณ ๑๘๐ กิโลเมตร จำเลยต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายใน ๕๒ วัน ทั้งนี้ให้ไปทำงานสัปดาห์ละ ๑ วัน จำเลยต้องจ่ายค่าเดินทางและค่าอาหารกลางวันด้วยตนเอง ภายหลัง องค์การบริหารส่วนตำบลข่วงเปา มีรถยนต์ให้บริการแต่ต้องเติมน้ำมันเอง (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ-สกน.)
นอกจากการยึดที่ดินในยุคใหม่ยังมีการบุกเบิกที่ดินในยุคเก่าสร้างหมู่ บ้านชุมชนเกษตรกรรมอยู่ในเขตป่ามายาวนานซึ่งปัจจุบันถูกผนวกเป็นพื้นที่เขต ป่าอนุรักษ์ มีปัญหาถูกกรมอุทยานฟ้องดำเนินคดีโดยเฉพาะข้อหาใหม่ในทางแพ่งคือทำให้โลก ร้อนซึ่งสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย(คปท.) ทั่วประเทศ ๓๕ ราย ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมเกือบ ๑๓ ล้านบาท( ๑๒,๙๓๐,๙๒๗ บาท)
รัฐและทุนตอบโต้การต่อสู้ของเกษตรกร-แรงงานไร้ที่ดินด้วยการใช้ความ รุนแรง ทั้งโดยกำลังของคนในเครื่องแบบ กลุ่มอิทธิพลนอกเครื่องแบบ และกลไกของกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง
กล่าวในมิติของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเมื่อเราได้ศึกษาความจริงใน หลายคดีทำให้ค้นพบความจริงในท่ามกลางความอยุติธรรมหลายประการดังนี้
๑. ศาลและกลไกอื่นๆ ในกระบวนการยุติธรรม มีฐานะเป็นเครื่องมือของนายทุนในการปกป้องค้ำยันความศักดิ์สิทธิ์และทรง อิทธิฤทธิ์ของ “ระบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล” ในการถือครองเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะที่ดิน ดังจะเห็นได้ชัดเจนในกรณีนายทุนฟ้องชาวบ้านย่าหมี อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา จำนวน ๑๘ คนข้อหาบุกรุกที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ และ กรณีสมาชิกชุมชนสันติพัฒนา อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถูกฟ้องทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา จำนวน ๑๒ คน โดยมี น.ส. ๓ ก จำนวน ๑๐ แปลง เป็นฐานในการกล่าวหาฟ้องร้อง ต่อมาเมื่อวันที่ ๒-๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กรมสืบสวนคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบสารบบที่ดินของ น.ส.๓ ก เหล่านั้นโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบด้วย ผลการตรวจสอบเชื่อได้ว่าเอกสารสิทธิ์ออกโดยมิชอบ ที่สำคัญมีที่ดินอีก ๑ แปลงที่อยู่ระหว่างการยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์และภายหลังในการประชุมคณะ กรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่ทำเนียบบรัฐบาล เจ้าหน้าที่กรมที่ดินได้ชี้แจงว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะออก เอกสารสิทธิ์ให้ได้ แต่ยังมิได้ถอนออกจากคำฟ้อง
๒. กระบวนการยุติธรรม ซึ่งมอบอำนาจชี้ถูกชี้ผิดไว้ที่ศาลซึ่งเป็นสถาบันที่ “ไร้การตรวจสอบถ่วงดุลย์จากประชาชนหรือองค์กรใดๆ ตามระบบประชาธิปไตย” ในขณะเดียวกันสถาบันศาลยังเชื่อมโยงรับใช้ใกล้ชิดกับสถาบันเก่าแก่ในสังคม ไทยทำให้ยากยิ่งนักที่จะมีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ได้ อำนาจใดมิอาจตรวจสอบได้อำนาจนั้นย่อมถูกใช้เพื่อประโยชน์และความพึงพอใจของ ผู้กุมอำนาจนั้นแต่ฝ่ายเดียว
๓. คำพิพากษา คำสั่ง กระบวนการพิจารณา ของศาลในหลายคดีไม่ว่าสิ้นเสร็จเด็ดขาดแล้วหรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาล้วน มีลักษณะเป็นการ “กดขี่ขูดรีด” ที่กระทำต่อเกษตรกรยากจน-แรงงานไร้ที่ดิน ซ้ำซ้อนสืบเนื่องมาจากการกดขี่ขูดรีดโดยระบบเศรษฐกิจ เช่น กรณี ๑๙ รายที่บ้านท่าหลุก จังหวัดลำพุน กรณี ๔๗ ราย บ้านพรสวรรค์ จังหวัดเชียงใหม่ กรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งโดยอ้างมูลเหตุว่าทำให้โลกร้อนทั้งในภาค เหนือ ใต้ อีสาน กรณีชุมชนสันติพัฒนา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ฯลฯ
๔. ความล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควรในกระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรม สะท้อนระบบสองมาตรฐาน เป็นมูลเหตุสำคัญที่ตอกย้ำ “ความล่าช้าคือความไม่ป็นธรรม” เช่น คดีที่ ส.ป.ก. ฟ้องขับไล่บริษัทจิว กัง จุ้ย ซึ่งครอบครองทำประโยชน์ในเขต ส.ป.ก. มายาวนานเมื่อปี ๒๕๕๑ ศาลชั้นต้นจังหวัดกระบี่พิพากษาให้โจทย์ คือ ส.ป.ก. เป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยจึงยื่นอุธรณ์ และขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อเข้าทำประโยชน์ต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด บัดนี้ กว่า ๒ ปีผ่านไป ศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำพิพากษา ในขณะที่เกษตรกรเฝ้ารอคอยการปฏิรูปที่ดินมานับตั้งแต่ปี ๒๕๔๖
๕. การพิจารณาคดีโดยขาดความรอบรู้ในมิติทางสังคม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตและการผลิต ของชนชั้นผู้ทำการผลิต และขาดความเครารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน ทำให้การพิจารณาและพิพากษาคดีเป็นการซ้ำเติมทุกข์เข็ญให้กับชีวิตที่เป็น เบี้ยล่างในสังคมต้องแบกรับชะตากรรมการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำซ้อนสืบไป เช่น กรณี นางหน่อดา (ปาเกอเญอ) อายุ ๖๕ ปี ถางป่า ๕๐๐ ไร่ ด้วยมีดเพียง ๑ เล่ม เหตุเกิดที่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน(ดูรายละเอียดในรายงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิโดยคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) และ กรณี จับหนูกินในเขตอุทยานไปเก็บเกี่ยวข้าวโพดถูกฟ้องข้อหาทำให้โลกร้อน (ภาคอีสาน) กรณีคนลัวะ(ชนชาติส่วนน้อย) อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ถูกจับเพราะหาเก็บฟืนในเขตอุทยานฯ
๖. ศาลยุติธรรม เป็นกลไกยับยั้งการใช้สิทธิของคนจนในการต่อสู้กระทั่งสลายการลุกขึ้นสู้ของ ประชาชน เช่น กรณีเมื่อปี ๒๕๔๖ การเคลื่อนไหวเข้ายึดที่ดินสวนปาล์มหมดสัญญาเช่า จำนวน๑๓ แปลง รวมพื้นที่ หลายหมื่นไร่ ในเขตจังหวัดกระบี่- สุราษฎร์ธานี และ กรณีเมื่อปี ๒๕๔๕ ยึดที่ดินนายทุนจังหวัดเชียงใหม่- ลำพูน ๒๒ แปลง รวมพื้นที่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ไร่ คดีที่เกิดจากทั้งสองกรณีนี้ส่วนใหญ่ศาลยกเพราะหลักฐานไม่พอ แสดงว่าตั้งข้อหาจับกุมส่งศาลไว้ก่อน เพื่อสลายม็อบหรือทำให้การต่อสู้ชะงักและมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากมาย เช่น...กรณีชุมชนสันติพัฒนา คลองไทร น้ำแดง มีภาระค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีรวมถึงปัจจุบันประมาณ ๑,๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมค่าเดินทาง ในวันมาศาลของจำเลยและ ญาติ
ด้วยมูลเหตุตามที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงที่นอกเหนือจากนี้ จึงมีข้อเสนอเพื่อผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมไทยได้รับใช้ประชาชนด้วยภาระ กิจการสร้างความเป็นธรรม และ ความเสมอภาคในสังคม ดังนี้
๑. ปฏิวัติระบบศาลจากระบบกล่าวหาเป็นระบบไต่สวน
๒. ปรับปรุงกระบวนวิธีพิจารณาความทั้งแพ่ง และอาญา
๓. ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบทุกขั้นตอนมิให้เป็นเพียงเครื่อง มือในการปกป้องความอยุติธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งปวง มิว่าเกิดโดยรัฐหรือระบบทุน
๔. รัฐในระบบประชาธิปไตยต้องมีพันธะผูกพันในการให้ความคุ้มครองการต่อสู้ เพื่อความเป็นธรรม เพื่อการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ที่สำคัญการต่อสู้เพื่อกระจายความมั่งคั่งภายในชาติอย่างทั่วถึงเท่าเทียม ซึ่งรูปธรรมหนึ่งในประการหลังนี้คือ การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในการถือครองปัจจัยการผลิต รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม
๕. รัฐในระบบประชาธิปไตยมีพันธะผูกพันที่จะต้องให้ความเคารพสิทธิเกษตรกร และผู้ใช้แรงงานทำการผลิตทั้งในโรงงานและทุ่งนา ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทุกด้านอันเป็นประโยชน์ของสาธารณะชน “สิทธิในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนต้องได้รับการเคารพ” เช่น การต่อสู้เพื่อให้มีการปฎิรูปที่ดิน การต่อสู้เพื่อระบบรัฐสวัสดิการ ดังนั้น เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานทั้งหลายจึงมี สิทธิที่จะไม่ถูกดำเนินคดีอาญา เนื่องจากการกล่าวอ้างสิทธิและการต่อสู้ ( ดู ลา เวีย คัมเปซินา, ปฏิญญาชาวนา ข้อ ๑๓)
๖. แก้ไขกองทุนยุติธรรม ให้เอื้อประโยชน์ต่อคนจนในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเองและชุมชน เช่น เรื่องเงินประกันตัว
กระบวนการยุติธรรม มีขึ้นเพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมต่อประชาชนแต่ในทางปฏิบัติกฎหมายและ ระเบียบต่างๆ ของทางราชการมักจะเป็นอุปสรรคขัดขวางกระทั่งทำลายหลักการสำคัญที่เกี่ยวกับ ความยุติธรรม ความเสมอภาค ในทางพฤตินัยรัฐธรรมนูญจึงไม่ได้รับการเคารพ กฎหมายระดับพระราชกำหนด พระราชกฤษฏีกา กฎกระทรวง เสียอีกที่ถูกอ้างอิงให้ความสำคัญมากกว่ารัฐธรรมนูญ ระบบราชการชอบใช้ “วิธีการทำลายเป้าหมาย”
ตราบใดที่ ประชาชนยังไม่อาจเข้าถึงกระทั่งเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ ประชาชนยังไม่อาจเข้าถึงปัจจัยการผลิตและความมั่งคั่งทั้งปวงในประเทศชาติ ของตน และการต่อสู้ใดๆ เพื่อทวงถามสิทธิอันชอบธรรมของตนในปัจจัยการผลิตก็ดี ผลผลิตจากหยาดเหงื่อแรงงานก็ดี ล้วนจักถูกโต้ตอบและลงโทษทัณฑ์ด้วยอำนาจรัฐที่อาศัยศาลยุติธรรมเป็นเครื่อง มือในการกำหราบปราบปรามประชาชนมิให้กล้าคิดกล้ากระทำการใดๆ เพื่อการต่อสู้ปลดปล่อยตนเอง