จาก โพสต์ทูเดย์

ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.)

 
โดย...ทีมข่าวในประเทศ

ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนตามที่คณะกรรมการการแพทย์เสนอ อาทิ ขยายเวลาการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินจากเดิม 2 ครั้งต่อปี เป็นไม่จำกัดจำนวน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรมฟันเทียม โดยตั้งงบบริการ 2,400 บาท สำหรับครึ่งปากบนล่าง และ 4,400 บาท สำหรับทั้งปาก

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเห็นชอบในหลักการ แต่มอบให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองสิทธิประโยชน์ สปส. กลับไปศึกษาผลกระทบต่อกองทุน รวมถึงผลประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับอีกครั้ง

เข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ว่านี่คือ “การไม่อนุมัติ” นั่นเอง

เบื้องหลังการยับยั้งปรับเพิ่มสิทธิแก่ผู้ประกันตนในครั้งนี้ เป็นเพราะมีเสียงคัดค้านจากบอร์ด สปส.ฝ่ายลูกจ้างที่ให้เหตุผลว่าผู้ประกันตนที่แท้จริงจะไม่ได้ประโยชน์อะไร กับการเพิ่มสิทธิ แต่ผู้ที่จะได้ประโยชน์จริงคือนายจ้าง จึงไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนในการเพิ่มสิทธิ “ผู้ประกันตนที่ยากจนจะใช้สิทธิตามโรงพยาบาลต้นสังกัดในภูมิลำเนาของตัว เองอยู่แล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์จริงๆ คือคนรวยซึ่งอยู่ต่างจังหวัด แต่ไม่อยากใช้โรงพยาบาลต่างจังหวัด จึงมักจะหาเรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินเพื่อมาใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนใน กทม.” บอร์ด สปส.ฝ่ายลูกจ้างให้เหตุผลต่อที่ประชุม

สำหรับวาระการเพิ่มสิทธิให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีด้วยการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ให้เทียบเท่ากับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ทั้งการให้บริการการตรวจเลือด รวมทั้งการเข้าถึงยาอะทาซานาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสสูตรดื้อยาที่กลุ่มผู้ติดเชื้อได้เรียกร้องจาก สปส.ก่อนหน้านี้ บอร์ด สปส.ก็ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา

ท่าทีชักเข้าชักออกของบอร์ด สปส.ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา บอร์ด สปส.มีมติว่าจะปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ป่วยไตหลายรายการ อาทิ ขยายการบริการแก่ผู้ประกันตนที่ป่วยมาก่อนเข้าระบบ การเพิ่มเพดานราคายากระตุ้นเม็ดเลือด

นอกจากนี้ ยังฮือฮาด้วยการประกาศเพิ่มสิทธิมะเร็ง 7 รายการ

ย้อนไปก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ สปส. นัดแรก วันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา (ภายหลังถูกกดดันหนัก) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มสิทธิการรักษา 7 รายการ ประกอบด้วย 1.การรับสิทธิโรคร้ายแรงที่ต้องรักษาต่อเนื่อง (ผู้ป่วยใน) จากไม่เกิน 180 วัน/ปี ปรับเป็นรักษาต่อเนื่องตามความจำเป็น

2.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินและไม่สามารถไปรับบริการในโรงพยาบาลที่ลงทะเบียน ไว้ได้ จากไม่เกิน 2 ครั้ง/ปี เป็นไม่จำกัดจำนวนครั้ง 3.เพิ่มสิทธิทันตกรรม 4.เพิ่มสิทธิจ่ายยาต้านไวรัสเอชไอวีแก่หญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก 5.เพิ่มยาอะทาซานาเวียร์ในบัญชียา

6.เพิ่มสิทธิจ่ายยากดภูมิ สิทธิการเปลี่ยนไตแก่ผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรังก่อนการเป็นผู้ประกันตน และ 7.ปรับราคากลางยารักษาโรคไตให้ต่ำลง

นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สปส. กล่าวหลังการประชุมในครั้งนั้นว่า จะปรับการรักษาผู้ป่วยเอดส์ตามที่เรียกร้องด้วย แต่ร่วม 2 เดือน กระทั่งการประชุมบอร์ดวันที่ 24 พ.ค. ทุกอย่างย่ำอยู่กับที่ โดยยังไม่มีสิทธิประโยชน์ใดมีผลบังคับใช้ได้จริงแม้แต่เรื่องเดียว แต่ล้วนไปค้างอยู่ที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ แทบทั้งสิ้น

คำถามคือ บอร์ด สปส.กระตือรือร้นเอาเฉพาะช่วงถูกกดดันเพื่อหวังลดกระแสเท่านั้นหรือไม่ และหวังให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายประกันสังคม รวมถึงยังยื้อรอรัฐบาลชุดใหม่อีกด้วย