ตีแผ่ สีหมุนี กษัตริย์ไร้อำนาจแห่งกัมพูชา
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"กษัตริย์สีหมุนี"ไร้อำนาจ-ถูกจับตาใกล้ชิด-ดักฟังสนทนา
สำนักข่าวเอพี นำเสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับกษัตริย์สีหมุนี ของกัมพูชา โดยระบุว่า เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้าย พากันออกไปจากพระราชวังในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชาแล้ว กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ผู้ทรงสุภาพและสง่างาม เกือบจะทรงอ้างว้างอยู่กับความทรงจำอันเปี่ยมสุขมากกว่านี้ ในช่วงก่อนที่พระองค์ทรงจำต้องขึ้นครองราชย์ และอาจจะเป็นกษัริย์องค์สุดท้ายแล้วก็เป็นได้
กษัตริย์สีหมุนี อาจจะทรงสืบสันตติวงศ์ตามราชประเพณีที่สืบทอดมายาวนานถึง 2,000 ปีแต่พระองค์ดูจะทรงเหมาะกับงานด้านศิลปะในยุโรป ที่พระองค์ทรงเป็นนักบัลเล่ต์มากกว่าการเมืองที่ยุ่งเหยิงและรุนแรงบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งทั้งที่ปรึกษาใกล้ชิดและผู้เชี่ยวชาญต่างระบุว่า พระองค์ทรงเป็นแค่เพียงสัญลักษณ์ และกลายเป็นนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ภายในพระราชวัง ส่วนผู้คุมของพระองค์คือ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ผู้มีพื้นเพเป็นคนชนบทและยาก
จน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีบารมีและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ที่บางคนเรียกเขาเป็นเป็นนักการเมืองที่ไร้ความปรานี
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน รวบอำนาจไว้ในมือจากการก่อรัฐประหาร เมื่อปี 2540 ในขณะที่กัมพูชากำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามเวียดนาม และสงครามกลางเมืองของตนเอง และแม้จะยืนยันในความเป็นประชาไตย แต่เขาก็ใช้กลไกทุกอย่างที่รัฐบาลมี ในการยับยั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเพื่อความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งสมัยต่อไป ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้กล่าวหาเขาและกลุ่มนักธุรกิจที่สนิทสนมกับเขาว่า กอบโกยความร่ำรวยเข้ากระเป๋าตัวเอง ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศยังคงจมปลักอยู่กับความยากจน
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แผ่บารมีเข้าไปถึงในพระราชวัง กษัตริย์สีหมุนี ถูกจับจากจากคนของรัฐบาล ภายใต้การควบคุมของนายคง สม ออล รัฐมนตรีกิจการราชสำนัก ทำให้ต้องทรงมีผู้ติดตามในช่วงเสด็จออกนอกพระราชฐาน สื่อมวลชนถูกห้ามทำข่าวและรายงานข่าว และแม้รัฐธรรมนูญจะให้พระราชอำนาจ แต่พระองค์ทรงไม่เคยได้รับ
นายสัน ชัย ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิจารณ์ฝีปากกล้า ให้ความเห็นว่า น่าจะเรียกพระองค์ว่าทรงเป็นกษัตริย์หุ่นเชิด เพราะทรงไม่เหลือพระราชอำนาจใด ๆ และดูเหมือนจะทรงต้องทำให้นายกรัฐมนตรีพอใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความอยู่รอด
ต่างจากสมเด็จนโรดม สีหนุ พระบิดาของพระองค์ ซึ่งทรงเป็นกษัตริย์ที่มีสีสันและเปี่ยมไปด้วยพระบารมีมายาวนานหลายทศวรรษ ถึงขั้นที่บางคนยกย่องว่า ทรงเป็นเจ้าแห่งกษัตริย์ และเมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประชาชนนับหมื่นก็จะหลั่งไหลไปด้านนอกพระราชวัง เพื่อร่วมฉลองรวมถึงการจุดพลุและงานรื่นเริงอื่น ๆ
กษัตริย์สีหนุ ทรงสละราชสมบัติ เมื่อปี 2547 หลังเผชิญหน้ากับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน หลายครั้งและหลายคนเห็นว่า กษัตริย์สีหมุนีทรงยอมสืบทอดพระราชสมบัติ ภายใต้แรงกดดันจากพระบิดาและมารดา เพื่อความอยู่รอดของพระราชวงศ์ ซึ่งในอีก 7 ปีต่อมา คำว่า โดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งกลายเป็นคำที่ชาวกัมพูชาใช้เรียกกษัตริย์ของพวกเขาด้วยความเห็นใจ
เจ้าชายสีโสวัฒน์ โธมิโค ราชเลขาและที่ปรึกษาส่วนพระองค์ เปิดเผยว่า กษัตริย์สีหมุนี พระชนม์พรรษา 58 พรรษา ทรงหมดเวลาในแต่ละวันไปกับการลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ พระราชทานอนุญาตให้แขกต่าง ๆ เข้าเฝ้า และพระราชกรณียกิจทั่วไป ก่อนจะเสวยพระกระยาหารค่ำเพียงลำพังและทรงอ่านหนังสือ
กษัตริย์สีหมุนี ยังทรงไม่มีพระมเหสี และมีแนวโน้มว่าจะทรงไม่มีองค์รัชทายาท ซึ่งต่างจากพระราชบิดา ที่ทรงมีพระชายา 6 พระองค์ งานเฉลิมพระชนม์พรรษา ผ่านไปอย่างเงียบเชียบเมื่อไม่นานมานี้ภายในรั้วพระราชวัง ปราศจากกิจกรรมการเฉลิมฉลองใด ๆ ประชาชนภายนอกพากันใช้ชีวิตกันตามปกติในช่วงเย็น เอาเสื่อไปปูนั่งเล่นบนหญ้า ให้อาหารนกพิราป กินก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็เม็ดบัว
นายซิน เจย ข้าราชการหนุ่ม ให้ความเห็นว่า กษัตริย์สีหนุทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี เป็นสุภาพบุรุษและเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ แต่ทรงมีปัญหาที่สำคัญคือ ปราศจากพระราชอำนาจ และทรงอยู่แต่ในวัง ขณะภาพที่ปรากฏทางทีวี จะเห็นเหล่าผู้นำถวายความเคารพ แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ฮุน เซน คือ กษัตริย์ตัวจริงของกัมพูชา
นายเขียว กัณหฤทธิ์ รัฐมนตรีข่าวสาร ยืนยัน กษัตริย์สีหมุนี ยังทรงมีพระราชกรณียกิจใจด้านสังคมและศาสนา รวมถึงเรื่องกระบวนการยุติธรรม รับฟังรายงานจากนายกรัฐมนตรีฮุน เซนเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลและพระราชทานคำแนะนำด้วย ดังนั้น การบอกว่า ทรงเป็นนักโทษอยู่แต่ในวังนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
กษัตริย์สีหมุนี ทรงเป็นอดีตนักบัลเล่ต์ และทูตวัฒนธรรม ทรงประทับอยู่ที่เช็คโกสโลวาเกีย ที่เป็นสาธารณรัฐเช็คในปัจจุบัน และฝรั่งเศสนานถึง 25 ปี ที่นักการทูตระบุว่า เป็นการหลบหนีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์มักจะทรงกลับไปยังสาธารณรัฐเช็ค ที่ทรงเรียกว่า บ้านเกิดหลังที่สอง และการใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปรากนั้น เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดของพระองค์
นอกจากนี้ การที่ทางมีพระปรีชาสามารถในด้านภาษาเช็คนี้เอง ทำให้พวกที่คอยเฝ้าจับตาพระองค์ ประสบปัญหาในการลักลอบฟังการสนทนา ในช่วงที่มีอาคันตุกะจากเช็คเข้าเฝ้า อีกทั้ง พระองค์ยังทรงสนพระทัยแต่บทความที่เกี่ยวกับโรงละครของเช็ค และยังทรงสะสมดีวีดีบัลเล่ต์และโอเปราอีกด้วย
กษัตริย์สีหมุนี ยังทรงติดต่ออย่างใกล้ชิดกับครอบครัวที่ดูแลพระองค์ ตั้งแต่ทรงเดินทางไปถึงเมื่อพระชนม์พรรษาได้ 9 พรรษา ก่อนจะทรงสำเร็จการศึกษาที่สถาบันศิลปการดนตรีแห่งกรุงปรากในอีก 13 ปีต่อมา พระองค์และพระชนกและพระชนนีเคยถูกเขมรแดงกักไว้ภายในพระราชวังทำให้พระองค์ต้องทรงทำสวนและทำความสะอาดห้องโถงด้วย ซึ่งในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจนั้น มีชาวกัมพูชาต้องสังเวยชีวิตไป 1.7 ล้านคน รวมทั้งสมาชิกในพระราชวงศ์