จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
นักวิเคราะห์ประเมิน'Operation Twist' แก้ปัญหาคนว่วงงานไม่ได แต่เฟดเลือกยอมล้มเหลว ดีกว่าไม่ทำอะไร เหตุมีข้อจำกัดเครื่องมือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25% ในการประชุมระยะเวลา 2 วัน ซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันพุธ (21 ก.ย.) และประกาศใช้มาตรการ 'Operation Twist'แบบเดียวกับที่เคยใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อปี 2504
ในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เฟด จะใช้เงิน 400,000 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่มีอายุการไถ่ถอน 6-30 ปี พร้อมกับขายพันธบัตรอายุ 3 ปี หรือต่ำกว่า ในวงเงิน 400,000 ล้านดอลลาร์เท่ากัน กำหนดดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนมิ.ย. 2555 โดยมีเป้าหมายที่จะถ่วงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวต่ำลง เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ลงมติด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 3 ให้ใช้มาตรการดังกล่าว ซึ่งเฟดเชื่อมั่นว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2556 ตราบใดที่อัตราว่างงานยังสูง และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ เฟด ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% มาตั้งแต่เดือนธ.ค. 2551
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟดระบุว่า มาตรการ Operation Twist จะถ่วงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง และช่วยให้สภาวะด้านการเงินมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยคณะกรรมการเฟดจะดำเนินทบทวนทั้งในเรื่องของขนาดและองค์ประกอบของการถือครองพันธบัตรเป็นระยะๆ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม"
"จากข้อมูลที่รวบรวมได้นับตั้งแต่การประชุมครั้งก่อนในเดือนส.ค. พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวอย่างเชื่องช้า และมีความเสี่ยงหลายด้านที่จะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจเผชิญกับภาวะขาลง ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าว รวมถึงภาวะตึงตัวในตลาดการเงินทั่วโลก ส่วนตลาดแรงงานยังอ่อนแอ และอัตราว่างงานอยู่ในระดับสูงมาก แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นบ้างในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า แต่คาดว่าอัตราว่างงานจะปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" เฟดชี้แจงในแถลงการณ์
ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือน เฟด ระบุว่า "ขยายตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" ด้านตลาดที่อยู่อาศัย "ยังทรุดตัวลง" แต่ยอดขายยานยนต์เริ่มฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากภาวะสะดุดของห่วงโซ่สินค้า อันเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น เริ่มคลี่คลายดีขึ้น
เฟด แถลงด้วยว่า จะกลับเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลังอีกครั้ง เพื่อช่วยสนับสนุนสภาพแวดล้อมของตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
การตัดสินใจของเฟด ทำให้อัตราผลตอบแทนหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลัง ซึ่งเป็นเครื่องชี้นำอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านในสหรัฐ ร่วงลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี
อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินทั่วโลกต่างก็ผิดหวังกับมาตรการใหม่ของเฟด โดยดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 283 จุด ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า มาตรการดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะเยียวยาสหรัฐ ซึ่งเผชิญปัญหาเศรษฐกิจขยายตัวเชื่องช้ามานาน
หวั่นได้ผลน้อย
จอช เฟนแมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จาก ดีบี แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า มาตรการที่เฟดนำมาใช้มีประโยชน์ และจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวลงได้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจได้ทั้งหมด
รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (20 ก.ย.) ระบุว่า นโยบายการเงินมีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นได้ ขณะเดียวกันความเสี่ยงต่างๆ ก็สูงขึ้นด้วย
การแสดงความคิดเห็นของไอเอ็มเอฟ สอดคล้องกับที่ เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวไว้เมื่อต้นปีว่า "นโยบายการเงินไม่ใช่ยาวิเศษ" ซึ่งความคิดเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์คนอื่นๆ ในตลาดด้วย
คีธ เฮมเบร อดีตนักวิจัย เฟด สาขามินนิอาโปลิส ให้ความเห็นว่า มาตรการที่ประกาศเมื่อวันพุธ (21 ก.ย.) อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ 0.2-0.4% ในปีหน้า พร้อมคาดหมายว่า คณะกรรมการเฟดตัดสินใจซื้อพันธบัตรรอบสาม เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อสูงปัจจุบันกว่าเมื่อครั้งที่เริ่มต้นมาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบสอง (คิวอี2) ในเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว
เฮมเบร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และนักกลยุทธ์การลงทุน นูวีน แอสเซ็ต แมเนจเมนต์ กล่าวว่า เฟดคงฝืนใจมากในตอนนี้ เพราะมีทางเลือกจำกัด
ทางด้าน ไดเอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ เมซิโรว์ ไฟแนนเชียล ในชิคาโก กล่าวว่า เบอร์นันเก้ ยอมเสี่ยงและล้มเหลว มากกว่าที่จะไม่ลองทำอะไรเลย
ส่วน เค ซี ชาน รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฮ่องกง กล่าวว่า การตัดสินใจของเฟดอาจเรื่องหนัก เนื่องจากมาตรการนี้ไม่ได้ใช้มานาน แต่ก็อาจช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในตลาดการเงิน และช่วยรักษาแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เฟด เข้าซื้อพันธบัตรมูลค่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ระหว่างเดือนพ.ย. 2551 ถึงเดือนมิ.ย. ปีนี้ ตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมสำหรับบริษัทต่างๆ และประชาชนทั่วไป ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอยู่ที่ระดับ 0% อยู่แล้ว
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 42 ราย 71% คาดว่าเฟดจะขยายกำหนดการซื้อพันธบัตร ขณะที่ 61% เชื่อว่ามาตรการใหม่จะไม่ช่วยลดอัตราการว่างงาน
เจสัน เชงเกอร์ ประธาน เพสสทีจ อิโคโนมิกส์ ในรัฐเทกซัส กล่าวว่า มาตรการใหม่ของเฟดไม่น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเด่นชัด ตลาดจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นความเชื่อมั่น แต่มาตรการนี้ไม่ช่วยเรียกความเชื่อมั่น
เบอร์นันเก้ และ คณะกรรมการเฟด ซึ่งได้รับมอบหมายให้รักษาเสถียรภาพราคาและเพิ่มการจ้างงาน พยายามลดอัตราว่างงานที่สูงถึง 9.1% ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 1% ในช่วงไตรมาสสอง ลดลงจาก 1.3% ที่ประเมินไว้
นักเศรษฐศาสตร์ คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 1.8% ในช่วงไตรมาสสาม แต่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพิ่งปรับลดการคาดหมายอัตราการเติบโตของสหรัฐในปี 2554 เหลือ 1.5% จาก 2.5% ที่ทำนายไว้เมื่อเดือนมิ.ย.