Steve Jobs สอนเด็ก... ข้อคิดจากมนุษย์มหัศจรรย์
โดย : ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ประเพณีอย่างหนึ่งของสถาบันการศึกษาในอเมริกา ซึ่งผมชื่นชอบมาก ก็คือในพิธีมอบปริญญาบัตรของแต่ละปี
จะมีการเชิญบุคคลสำคัญท่านหนึ่งมากล่าว สุนทรพจน์ เพื่อให้ข้อคิด แก่บัณฑิต ซึ่งกำลังจะก้าวออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงพิธีการดังกล่าว จะมีบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะผู้ฟัง นับพันคน ประกอบด้วยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งบัณฑิตหนุ่มสาววัยยี่สิบเศษ ต่างอยู่ในชุด ครุยปริญญา พร้อมทั้งยังมีบิดามารดา ญาติพี่น้อง อีกหลายพันคน ร่วมฟังสุนทรพจน์ ด้วย
ผู้ที่ได้รับเชิญมาเป็น องค์ปาฐก จึงต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตที่น่าสนใจและได้รับความศรัทธาจากผู้ฟัง เป็นเบื้องต้น และทุกคนคาดหวังว่า ในเวลาเพียง 15-20 นาทีของสุนทรพจน์นั้น พวกเขาจะได้รับข้อคิดดีๆ ที่มีความหมายอย่างมาก
ยิ่งถ้าเป็นสถาบันการศึกษาระดับโลก คนที่ได้รับเชิญมากล่าวสุนทรพจน์ประจำปี ยิ่งต้องสุดยอดจริงๆ อย่างปราศจากข้อสงสัย เช่นเมื่อปี ค.ศ. 2005 องค์ปาฐกของ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด เป็นบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัยเลย เขามีชื่อว่า สตีฟ จ็อบส์
เมื่อวานนี้ โลกทั้งโลก อาลัยต่อการจากไปของ สตีฟ จ็อบส์ มนุษย์ผู้เป็นที่รักของคนทั้งโลก ผมเอง ตื่นขึ้นมาตอนเช้า พร้อมหยิบไอโฟน และ ไอแพด ลงมาจากห้องนอน ซึ่งทำอย่างนี้เป็นประจำทุกเช้า แต่พอลงมาดื่มกาแฟข้างล่าง ก็ได้ฟังข่าวว่า ผู้ที่ทำให้ผมมีอุปกรณ์ทั้งสองอย่างถืออยู่ในมือนั้น ได้จากโลกนี้ไป เมื่อสักครู่นี้เอง.....ฟังแล้วใจหาย และเสียดายอย่างงยิ่งครับ
คนที่พูดถึงสตีฟ จ็อบส์ นั้นมีอยู่มากมาย หาอ่านที่ไหนก็ได้ แต่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็คือ เรื่องที่ สตีฟ พูดเอง ดังนั้น ผมจึงกลับไปฟัง สุนทรพจน์ของเขาที่แสตนฟอร์ด อีกครั้งหนึ่ง
เขาบอกกับผู้ฟังในวันนั้นว่าเขาไม่เคยได้เป็นบัณฑิตของมหาวิทยาลัย และสัพยอกว่า วันนั้น เป็นวันที่เขา "เข้าใกล้ความเป็นบัณฑิต" มากที่สุดแล้ว ซึ่งคงเป็นเพราะว่า เขาอยู่ในเสื้อครุยปริญญา ท่ามกลางบัณฑิต จำนวนมาก จากนั้น เขาก็ได้กล่าวเรื่องสำคัญ 3 ประเด็น
เรื่องแรก เขาพูดถึงเรื่องของ “การต่อจุด” ซึ่งออกจะเป็นปรัชญา และเข้าใจยากสักหน่อย สตีฟ เล่าว่าเขามีโอกาสเรียนที่วิทยาลัยเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพียงเทอมเดียวเท่านั้น แต่ไม่รู้สึกว่าชอบวิชาอะไรตามหลักสูตรที่ต้องเรียน ก็เลยลาออก เชื่อไหมครับ ว่าเมื่อลาออกแล้วเขาก็ยังวนเวียนอยู่ที่นั่น อาศัยนอนบนพื้นห้องของเพื่อนๆ ในหอพัก แล้วก็ไปนั่งเรียนวิชาต่างๆ ตามที่ใจปรารถนา และหนึ่งในวิชาที่เขาไปฟังด้วยใจชอบ ก็คือวิชาอักษรวิจิตร (calligraphy) ทั้งๆ เขาก็ไม่เห็นลู่ทาง ว่าจะเอาวิชานี้ ไปทำมาหากินได้อย่างใด
แต่อีกสิบปีต่อมา เขากลับได้นำทุกอย่างจากวิชานั้น ไปใช้ในการออกแบบแป้นพิมพ์ของเครื่อง McIntosh ได้อย่างงดงาม นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกว่า การต่อจุด ซึ่งผมคิดว่า เขากำลังพูดว่า หลายอย่างในชีวิตของคนเรานั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา อาจจะเป็นเพียงจุดจุดหนึ่งของชีวิต ซึ่งเรายังหาความหมายมิได้ แต่ในที่สุด เมื่อวันเวลาผ่านไป หลายจุด ก็กลับมาโยงใยต่อกันจนเกิดความหมายในชีวิตของเราได้
ผมอายุมากกว่า สตีฟ และวันนี้ เมื่อผมก็มองย้อนหลัง ผมก็สามารถ ต่อจุด ต่างๆ ของชีวิตที่ผ่านมาได้มากทีเดียว ว่าผู้คนแต่ละคน และเรื่องราวแต่ละเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตของเรานั้น แต่ละจุด โยงใยเข้าหากันอย่างไรบ้าง ซึ่งบางครั้งผมก็มารู้เอาโดยบังเอิญ เช่นเมื่อพบลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่เคยสอนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว และเขาเดินมาบอกว่า ที่อาจารย์พูดประโยคนี้ไว้ เมื่อสามสิบปีที่แล้ว (ซึ่งผมก็ลืมไปแล้ว ว่าพูดอะไรไว้) ได้ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่าง และมีความสุขได้ในชีวิตวันนี้ ฯลฯ
เรื่องต่อมา สตีฟ ได้พูดถึง ความรัก และการสูญเสีย เพราะเขาและเพื่อนเริ่มผลิตคอมพิวเตอร์แอ๊ปเปิ้ล ในโรงรถที่บ้าน เมื่ออายุเพียง 20 ปี และภายในสิบปี ก็ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ สร้างบริษัทที่มียอดขาย 2 พันล้านดอลลาร์ มีพนักงาน 4,000 คน แต่แล้วเขาเกิดขัดแย้งทางความคิดกับผู้บริหารระดับสูง และกลายเป็นว่าบอร์ดเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง ปลด สตีฟ ออก ทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเอง!
ผมก็ยังจำช่วงเวลานั้นได้ เพราะผมอยู่ที่อเมริกา จำได้ว่าเขาเดินออกจากบริษัทอย่างว้าเหว่ และแสวงหาอนาคตใหม่ เขาไปหมกตัวอยู่ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด เพื่อคลำทาง ว่าเส้นทางต่อไปข้างหน้า จะทำอะไรดี ผมรู้สึกว่าชีวิตช่างพลิกผันอะไรเช่นนั้น เพราะเขาเพิ่งสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่กลับจบลงด้วยความว่างเปล่า ถึงขนาดไม่รู้ว่าอนาคตจะเดินไปทางใด
แต่แล้ว เขาก็ได้พบรักกับภรรยาที่อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นและมีความสุข เขาก่อตั้งบริษัท NeXT และ Pixar และ ต่อมาเมื่อ Apple ได้ซื้อ Pixar เขาก็ได้กลับสู่อาณาจักรแอ๊ปเปิ้ล อีกครั้งหนึ่ง พร้อมสร้างความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
สตีฟ พูดว่าบางครั้ง ชีวิตคนเรา ก็เหมือนถูกก้อนอิฐทุบหัว เช่นตอนที่เขาตกงานจากบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเองเป็นต้น แต่เขาบอกว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา และคนเราต้องไม่ยอมแพ้ ต้องมองหาสิ่งที่เรารัก ทำในสิ่งที่เรารัก หาให้เจอ แล้วจะประสบความสำเร็จ นี่คือข้อคิดที่เขาให้แก่บัณฑิตแสตนฟอร์ด อีกข้อหนึ่งในวันนั้น
สุดท้าย เขาพูดเรื่อง ความตาย เพราะเขาเป็นมะเร็ง เขาบอกว่าไม่มีใครที่อยากตาย "แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ ก็ยังไม่อยากตายเพื่อเดินทางไปสวรรค์" และแนะให้ถามตนเองว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำในวันนี้นั้น ถ้าหากวันนี้เป็น วันสุดท้ายของชีวิต เราจะทำสิ่งนั้นหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ “ไม่” ก็แปลว่าต้องทบทวนวิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวันเสียใหม่แล้ว
เขาแนะว่า เวลาในชีวิตมีจำกัด อย่าพยายามทำตัวให้เหมือนชีวิตคนอื่น จงแสวงหาและทำในสิ่งที่หัวใจและความรู้สึกเรียกร้อง อย่าปล่อยให้คำกล่าวของผู้อื่น มากลบเสียงเรียกร้องจากหัวใจของเราเอง
นี่แหละครับ ข้อคิดของคนสำคัญของโลก ผู้เพิ่งจากไป...... ที่ได้ให้ไว้แก่คนหนุ่มสาว
วันนี้ แม้จะมีผู้คนกล่าวถึง สตีฟ จ็อบส์ มากมาย รวมทั้ง สาวกแอ๊ปเปิ้ลทั่วโลก กล่าวยกย่องเขาเพียงใด ก็ตาม แต่ผมเอง ในฐานะที่เป็นนักบริหาร และนักวิชาการ ผมอยากรับฟังเป็นพิเศษว่า คนที่ใกล้ชิดกับเขา คนที่ทำงานร่วมกับเขาทุกวัน เพื่อนร่วมงาน และ ผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่ได้สัมผัสเนื้อหนังมังสา อารมณ์ และ ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขานั้น พูดอย่างไร คิดอย่างไร ต่อการจากไปของเขา
เพราะผมคิดว่านั่นคือ บทสะท้อนถึงความเป็น สตีฟ จ็อบส์ ตัวจริง และนี่คือบทสรุปของคนแอ๊ปเปิ้ล ต่อการจากไปของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเขาครับ.........
“แอ๊ปเปิ้ล ได้สูญเสียอัจฉริยะผู้มีทั้งวิสัยทัศน์และความคิดสร้างสรรค์... โลกได้สูญเสียมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง....คนที่โชคดีได้มีโอกาสรู้จักหรือร่วมงานกับเขา ได้สูญเสียเพื่อนที่แสนรักและครูผู้ปลุกเร้าแรงบันดาลใจ.... สตีฟ ได้ทิ้งบริษัทอันยิ่งใหญ่ไว้ ซึ่งเป็นบริษัทที่คนอย่างเขาเท่านั้น ที่จะสามารถสร้างบริษัทอย่างนี้ ขึ้นมาได้....ดังนั้น จิตวิญญาณของเขา จะยังคงเป็นพื้นฐานอันมั่นคงถาวรของแอ๊ปเปิ้ล ตลอดไป”
ถอดถ้อยคำออกมาถึงตอนนี้แล้ว...ยอมรับว่ามีน้ำออกมาคลอเบ้าตา ครับ
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี