จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
จำนำข้าวพ่นพิษ ป.ป.ช.เตรียมขอผลวิจัยทีดีอาร์ไอ ชี้เจ๊งแสนล้าน ถึงมือเกษตรกรแค่ 37% หาคนรับผิดชอบความเสียหายของรัฐ “วิชา” เผยเคยทักท้วงแต่ ครม.ไม่ฟัง ห่วงดันทุรังทำต่อ ทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ ชี้มีการทุจริตสร้างไซโลรองรับจำนำข้าวล็อตใหม่ เตรียมสรุปเรื่องส่งนายกฯ ภายในเดือนนี้ เตรียมยืมมือ วุฒิสภา บี้ ครม. รับลูกประกาศราคากลาง ขับเคลื่อนกระบวนการป้องปรามทุจริต หลังบิดพลิ้วไม่ให้ความเห็นชอบทำเดินหน้าไม่ได้ ข้อมูล “มงคลกิตติ์” แฉ นักการเมืองไทยไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกงนับหมื่นล้าน เตรียมต่อสายขอข้อมูลจาก ป.ป.ช.ฮ่องกงโดยตรง
นายวิชา มหาคุณ กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงโครงการฝึกอบรมด้านการต่อต้านการทุจริตในระดับภุมิภาคของประเทศลุ่ม น้ำโขงว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่จะประสานงานกันใกล้ชิดมากขึ้นระหว่าง ไทย จีน สหภาพเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และเวียดนาม เพราะในขณะนี้การทุจริตมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศ แต่ยังมีการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งควรจะต้องร่วมมือใกล้ชิด จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับกฎหมายของแต่ละประเทศที่ยังไม่ ตรงกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกันมากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันระบบเป็นสากล ยุโรปมียูโรโซน ซึ่งเราก็จะพิจารณามาปรับใช้ให้ตรงกัน เพื่อจะป้องกันการทุจริต
รวมถึงการส่งสินค้าเกษตร ซึ่งพบว่ามีปัญหาเรื่องการสวมสิทธิในโครงการรับจำนำข้าวที่ไทยทำให้ราคาสุ งขึ้นจนเกิดการลักลอบนำเข้าไทยทำให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งนี้ความร่วมมือระหว่างประเทศจะอยู่ที่การตรวจสอบซึ่งมีองค์กรที่เป็น องค์กรตรวจสอบอยู่ในทุกประเทศ บางประเทศเช่น พม่าและกัมพูชา อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ แต่จีนจะเป็นระบบที่เป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.จะพยายามที่จะทำความตกลงระหว่างองค์กรก่อนที่จะขยายความร่วมมือระดับ ประเทศต่อไป
สำหรับการร้องเรียนเรื่องการทุจริตจำนำข้าวนั้น นายวิชากล่าวว่า มีการร้องเรียนและมีการคุยกันในที่ประชุมถึงผลวิจัยของทีดีอาร์ไอ ซึ่งนายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานทีดีอาร์ไอ แสดงตัวเลขที่น่าตกใจมาก โดย ป.ป.ช.จะขอผลวิจัยจากทีดีอาร์ไอมาศึกษา เพราะข้อมูลที่ทีดีอาร์ไอวิจัยได้ว่า งบประมาณจากโครงการนี้ไปถึงมือเกษตรกรจริงเพียง 37% นั้นก็ตรงกับผลวิจัยของ ป.ป.ช.ที่เคยมีการเสนอต่อ ครม.มาก่อนหน้านี้ เพื่อทักท้วงการดำเนินโครงการดังกล่าว โดย ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ ที่ปรึกษา ป.ป.ช.ได้ชี้เรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ ป.ป.ช.จะลงลึกในรายละเอียดเพิ่มเติมว่าต้นตอเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวคือ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวไทย เท่ากับว่าจะกระทบกระเทือนต่อระบบครั้งใหญ่ และทำให้ในอนาคตไทยจะตกเป็นรองจากที่เมื่อก่อนเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน ของเอเซีย ของโลก แต่ขณะนี้ถอยหลังแล้ว
ส่วนที่รัฐบาลเตรียมกู้เงินอีก 4 แสนล้านเพื่อเตรียมไว้สำหรับรับจำนำข้าวในฤดูกาลผลิตที่จะถึงนี้ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช.ได้ท้วงติงว่าไม่ควรดำเนินการแล้ว หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ครม.ต้องรับผิดชอบอย่างไรนั้น นายวิชากล่าวว่า ผลวิจัยของทีดีอาร์ไอมีตัวเลขที่ชัดเจน ดังนั้น ป.ป.ช.จะนำผลการศึกษานี้ไปเสนอต่อรัฐบาลว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ท้วงติงเรื่องนี้ลอยๆ แต่มีองค์กรที่ทำการศึกษาก็พบปัญหาชัดเจน และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นและมีผลสะท้อนว่าใครจะต้องรับผิดชอบ ป.ป.ช.ก็ต้องดำเนินการอีกที แต่ตอนนี้ นายเมธ ครองแก้ว ป.ป.ช.ที่ดูแลเรื่องนี้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี จึงมีการมอบหมายให้ตนรับผิดชอบ ซึ่งตนจะดูตัวเลขความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนก่อนว่าที่มีการประมาณ การว่ารัฐจะขาดทุนถึง 1 แสนล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีความเสียหายเกี่ยวกับไซโลในเรื่องการดำเนินการทุจริต สร้างไซโลเพื่อเตรียมรับโครงการรับจำนำข้าว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลขความเสียหายลอยๆ แต่ตนประทับใจที่นายนิพนธ์ทำเรื่องนี้อย่างละเอียดและตัวเลขที่นำเสนอมีความ แน่นอนจริงๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.อยู่ในวิสัยที่จะยับยั้งความเสียหายก่อนที่จะเกิดขึ้นอีกในฤดูกาลผลิต ที่จะถึงนี้ได้อย่างไรหรือไม่ นายวิชากล่าวว่า ต้องให้ทุกเวทีพูดตรงกัน เพราะถ้าพูดตัวเลขเฉพาะคนค้าข้าวที่ออกมาเตือน รัฐก็มองว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง อาจไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลหยุด แต่ถ้าองค์กรต่างๆ เห็นตรงกัน โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่พยายามทำเรื่องนี้ให้ ชัดเจนก็จะเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักมากขึ้น ในส่วนของตนขอนำเข้าสู่กระบวนการของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาก่อน โดยคาดว่าไม่เกินเดือนนี้จะได้บทสรุปว่าจะต้องทำหนังสือทักท้วงถึงรัฐบาลอีก ครั้งหรือไม่
สำหรับการประกาศราคากลางที่ ครม.ยังไม่มีมติให้ความเห็นชอบนั้น นายวิชากล่าวว่า แม้ว่า ครม.จะไม่ให้ความเห็นชอบแต่ก็ระบุว่า ป.ป.ช.มีอำนาจอยู่แล้วตาม มาตรา 19 ของกฎหมาย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ป.ป.ช.ใช้อำนาจตาม มาตรา 19 ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ในการทำงานเพราะจะไปกดดันที เดียวแล้วถ้า ครม.ไม่เอาด้วย ไม่รับลูกประสิทธิภาพที่จะให้เกิดผลก็จะไม่มี เพราะ ครม.เป็นคนคุมหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นกฎหมายจึงออกมาให้ ครม.เป็นคนรับลูก
อย่างไรก็ดี เราคงต้องหาทางเชื่อมตรงนี้ ไม่ปล่อยลอยๆ ไว้แน่ ซึ่งความจริงหน่วยงานต่างๆ ก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ ขอเพียงแค่ให้มีการพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ โดยผ่านช่องทางที่น่าจะเป็น ซึ่งอาจใช้ช่องทางรัฐสภาที่เป็นคนออกกฎหมาย ในกรรมาธิการชุดต่างๆ ว่าทางที่ถูกต้องที่สุดควรจะเป็นอย่างไร เช่น ผ่านช่องทางกรรมาธิการธรรมาภิบาลของวุฒิสภาที่มีนางสุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี เป็นประธาน ก็ได้เดินทางไปที่ ป.ป.ช.สอบถามเรื่องดังกล่าวแล้วและมีการนำเรื่องนี้ไปหารือในวุฒิสภาแล้ว
นายวิชายังกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับการทุจริตโครงการบริหารจัดการ น้ำจากเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทว่า ทุกฝ่ายจับตาอยู่แล้ว โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนคิดว่าเขาไม่ปล่อยแน่ ส่วนการย้าย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ ออกจากตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ท. หลังตรวจพบการทุจริตเงินเยียวยาน้ำท่วมนั้น ตนเห็นว่า ถ้ารัฐบาลแสดงออกว่าการย้ายเป็นผลมาจากที่ พ.ต.อ.ดุษฎีตรวจสอบเรื่องดังกล่าวจริง รัฐบาลก็ยิ่งแย่ แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธว่าให้ไปทำงานที่ใหญ่กว่าคือดูแลงานด้านยาเสพติด แต่เรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของ ป.ป.ท.โดยเฉพาะเท่านั้น แต่ยังเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ด้วย เราวสามารถเข้าไปขอข้อมูลจาก ป.ป.ท.มาดำเนินการต่อได้
ส่วนที่มีข่าวว่า ป.ป.ช.ฮ่องกงพบการไซฟ่อนเงินของนักการเมืองไทยในฮ่องกงจากการทุจริตนั้น นายวิชา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ ป.ป.ช.ฮ่องกงออกมาระบุ แต่เป็นคำกล่าวของ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ ที่ออกมาเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่ใช่มาจาก ป.ป.ช.ฮ่องกงโดยตรง ดังนั้น ป.ป.ช.จะได้สอบถามไปทางฮ่องกงว่ามีข้อมูลอย่างนี้จริงหรือไม่ เพราะเราเป็นเพื่อนกับฮ่องกงอยู่แล้ว
นายวิชายังกล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีที่มีการร้องเรียนนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบในการควบคุมสถานการณ์ช่วงเกิดเหตุวุ่นวายในเดือน เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 ว่า ทาง ป.ป.ช.จะต้องรอผลการไต่สวนจากศาลก่อน หลังจากที่ดีเอสไอได้มีการส่งสำนวนไปให้ศาลไต่สวน 35 ศพว่าอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่าศาลจะมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวอย่างไร ป.ป.ช.จึงจะพิจารณาต่อได้ เพราะข้อมูลที่ได้มายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพที่ไปจบในชั้น ศาล ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่ามีความผิดที่เกิดจากการกระทำของเจ้า หน้าที่หรือไม่ หรือเจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมในการกระทำหรือเปล่า เรารอฟังการไต่สวนนี้อยู่ ว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างไร มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจริงหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องกระทำการในลักษณะไหน อย่างไร
ทั้งนี้ยังเชื่อว่า ไม่สามารถมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ เพราะผลสุดท้ายเราต้องยอมรับกระบวนการในชั้นศาลที่จะชี้ในขั้นตอนสุดท้าย เพราะไม่ว่าจะส่งไปอย่างไร ศาลก็ต้องดูว่าจะเชื่อมโยงถึงเจ้าหน้าที่ได้หรือไม่
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน