จากประชาชาติธุรกิจ

รัฐบาลสบช่องดันโปรเจ็กต์ถมทะเล 1.8 ล้านล้าน สอดไส้ในโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด ทำเขื่อนพร้อมถนน 4-6 เลน ผ่าน 7 จังหวัดชายทะเล กรมที่ดินเสนอระดมทุนผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจ คลังถือหุ้น 90% อีก 10% ดึงเอกชนร่วมทุน

แหล่ง ข่าวจากกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่รัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาโครงการถมทะเลสร้าง เมืองใหม่ มูลค่าลงทุน 1.8 ล้านล้านบาท ตามนโยบายหาเสียงของพรรคไทยรักไทย โดยให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาถึงแนวทางและรูปแบบในการลงทุน ขณะเดียวกันก็ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯศึกษาถึงความเหมาะสมและความเป็นไป ได้ทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ดำเนินการควบคู่ไปกับโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัดนั้น มีแนวโน้มสูงที่รัฐจะผลักดันโครงการนี้ไปอยู่ภายใต้โครงการจัดการป้องกันและ แก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด ซึ่งมีแผนดำเนินการตั้งแต่ปี 2554-2559 วงเงินงบประมาณรวม 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 ด้วยโดยแนวทางดำเนินการโครงการดังกล่าวเริ่มตั้งแต่แผนงานศึกษาออกแบบจัดทำ รายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการก่อสร้าง แผนงานลงทุนป้องกัน และเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แผนงานฟื้นฟูระบบนิเวศและพื้นที่เสื่อมโทรม และแผนงานเสริมสร้างองค์ความรู้และการมีส่วนร่วม มีทั้งหมด 933 โครงการ แยกเป็นเริ่มดำเนินการในปี 2554 ที่ผ่านมา 202 โครงการ วงเงินงบประมาณ 4.4 พันล้านบาท ปี 2555-2559 รวม 731 โครงการ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท และโครงการเร่งด่วนที่ดำเนินการปี 2554 รวม 31 โครงการ วงเงิน 2.5 พันล้านบาท

แหล่งข่าวกล่าวว่า ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในการถมทะเล น่าจะก่อสร้างเป็นแนวเขื่อนกั้นน้ำทะเลห่างจากฝั่งทะเลออกไปราว 15-16 กิโลเมตร ตามแนวสันทราย จากจังหวัดเพชรบุรีจนถึงจังหวัดชลบุรี พร้อมกับก่อสร้างถนนขนาด 4-6 เลนบนสันเขื่อนสำหรับใช้เป็นทางสัญจรไปมา ควบคู่ไปกับใช้เป็นเส้นทางสำหรับการท่องเที่ยว

สำหรับพื้นที่ดำเนิน การหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมองว่า เนื่องจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีถึงจังหวัดชลบุรี ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาชายฝั่งถูกน้ำทะเลกัดเซาะจำนวนมาก มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน อยู่ในข่ายจะถูกเลือกมาก่อสร้างโครงการถมทะเลมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจล่าสุดเมื่อปี 2554 พบว่าชายทะเลฝั่งอ่าวไทยในจุดดังกล่าวมีปัญหากัดเซาะชายฝั่งทะเลทั้งในระดับ ปานกลางและรุนแรง เช่นจังหวัดชลบุรี ความยาวชายฝั่งทะเลรวม 171 กม. มีปัญหากัดเซาะปานกลาง 25 กม. ฉะเชิงเทรา ชายฝั่งทะเลมีความยาว 16 กม. มีปัญหากัดเซาะปานกลาง 2 กม. รุนแรง 5.8 กม. สมุทรปราการ ชายฝั่งทะเลยาว 50.2 กม. กัดเซาะปานกลาง 3.2 กม. รุนแรง 31.5 กม. กรุงเทพฯ ชายฝั่งทะเลยาว 5.8 กม. มีปัญหากัดเซาะปานกลาง 5.7 กม. เป็นต้น

ดังนั้น หากมีการผลักดันโครงการถมทะเลทางด้านฝั่งอ่าวไทย ตั้งแต่เพชรบุรีไปจนถึงชลบุรี ครอบคลุมเนื้อที่รวม 7 จังหวัดได้สำเร็จ นอกจากจะเป็นไปตามมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบแผนงานบูรณาการงบประมาณการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการ กัดเซาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัดแล้ว ยังสอดรับกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

ด้านแหล่งข่าวจากกรม ที่ดินเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรมที่ดินได้เสนอร่างโครงสร้างนิติบุคคลเฉพาะกิจ (เอสพีวี) ในรูปแบบบริษัท บริหารจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย จำกัด เพื่อรองรับการบริหารจัดการในการถมทะเลเพื่อแก้ไขการกัดเกาะแนวชายฝั่ง พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเชิงเศรษฐกิจ และบริหารจัดการที่ดินของภาครัฐที่มีผู้บุกรุก ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาก่อนนำเสนอรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าโครงการนี้คงได้รับการคัดค้านจากกลุ่มองค์กรเอกชน (เอ็นจีโอ) ในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร กว่าจะผลักดันได้สำเร็จ

ทั้งนี้ รายละเอียดร่างโครงสร้างนิติบุคคลเฉพาะกิจได้เสนอให้จัดตั้งในรูปแบบบริษัท มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณ 90% และอีก 10% เสนอให้ระดมทุนจากภาคเอกชน โครงสร้างตำแหน่งผู้บริหารจะใกล้เคียงภาคเอกชน คือมีกรรมการผู้จัดการเป็นผู้บริหารสูงสุด และรองกรรมการผู้จัดการทำหน้าที่ผู้ช่วยขั้นตอนต่อไปหลังกระทรวงมหาดไทย พิจารณาแล้ว จะส่งต่อให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา หากไม่มีอะไรต้องแก้ไข ก็เสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็น่าจะผ่าน ครม.และจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจขึ้นได้

สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน