ข้อสังเกตงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557
โดย : ดร.อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2557 ได้ผ่านพ้นไปแล้วนะคะ ก็อยากจะสรุปข้อสังเกตที่น่าสนใจมาให้รับทราบกัน
เพราะประเด็นที่มีการพูดถึงกันมากในประเด็นเหล่านี้ ได้แก่ งบประมาณนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่มีนัยสำคัญหรือไม่ เรื่องที่ได้รับการคัดค้านมากและอภิปรายดุเดือดมากที่สุดคือ เงินในโครงการรับจำนำข้าวที่มีการอภิปรายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นรวมไปถึงการทุจริตคอร์รัปชันที่ทำให้มีกลุ่มคนมาแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าว และอีกประเด็นคือ เรื่องการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่การแก้ไขปัญหาจบลงด้วยการตั้งงบประมาณมากกว่า 2,000 ล้านบาทในการซื้อรถตู้สำหรับการขนส่งนักเรียนสำหรับโรงเรียนที่ถูกยุบรวม
ในประเด็นแรกสุด คือ คำแถลงของรัฐบาลที่ว่า การขาดดุลงบประมาณสำหรับปี 2557 ได้ลดลงเหลือ 250,000 ล้านบาท (จาก 300,000 ล้านบาทของปี 2556) ซึ่งมีข้อสังเกตว่า การขาดดุลงบประมาณนี้ไม่ได้เป็นการลดลงที่แท้จริง เนื่องจากมีรายจ่ายที่อยู่นอกงบประมาณอีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญๆ คือ พระราชกำหนดเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการน้ำจำนวน 350,000 ล้านบาทที่จะต้องกู้เงินภายในเดือนมิถุนายนศกนี้ และพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินวงเงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง พ.ศ. 2556 ซึ่งผ่านวาระรับหลักการไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกจำนวน ดังนั้น การขาดดุลการคลังที่แท้จริงจึงเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้แล้วหากรวมภาระการคลังที่รัฐบาลจะต้องชดเชยให้กับหน่วยงานต่างๆ อาทิเช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (หนี้จากโครงการรับจำนำข้าวและสินค้าเกษตรอื่น) ธนาคารออมสิน และอื่นๆ จากสารพัดโครงการอีกจำนวนมาก จึงจะเห็นได้ว่าการขาดดุลงบประมาณ 250,000 ล้านบาทเป็นภาพลวงตาที่หลอกลวงตัวเองของรัฐบาลและผู้อื่น ที่อาจนำไปสู่การใช้จ่ายเงินที่เกินตัวและเป็นอันตรายต่อประเทศได้ดังเช่นประสบการณ์ประเทศต่างๆ มาแล้วทั้งในยุโรปและละตินอเมริกา
จากข้อผูกพันของเงินกู้และการดำเนินการของโครงการต่างๆ ทำให้คาดว่าการขาดดุลที่แท้จริงของปี 2557 จะสูงขึ้นและทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นสู่ระดับที่เป็นความห่วงใยของนักวิชาการ ทั้งนี้ ตัวเลขหนี้สาธารณะของสำนักงานหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังล่าสุด ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 มีจำนวน 5,121,300 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44.16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (แปลง่ายๆ ว่า ภาระหนี้ของประเทศคิดเป็น 44.16 ของรายได้ที่หาได้) ซึ่งหากรวมหนี้นอกระบบต่างๆ เข้าไปแล้วภาระหนี้ที่แท้จริงของประเทศจะอยู่สูงกว่าร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทั้งนี้ ตัวเลขหนี้สาธารณะในช่วงของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อเข้ารับตำแหน่งเดือนสิงหาคม 2554 เพิ่มขึ้น 849,000 ล้านบาท (หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2554 มีจำนวน 4,271,960 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.10) มิหนำซ้ำยังเป็นการก่อภาระหนี้ผูกพันให้กับคนรุ่นลูกหลานต่อไปอีก 50 ปีจำนวน 2 ล้านล้านบาทบวกดอกเบี้ยอีกจำนวนประมาณ 3 ล้านล้านบาท
จากโครงสร้างงบประมาณที่แม้มีการก่อหนี้นอกงบประมาณจำนวนมหาศาลแล้ว ตัวงบประมาณก็มีโครงสร้างเดิมๆ คือในวงเงินงบประมาณ 2.52 ล้านล้านบาทนั้นร้อยละ 80 เป็นงบประมาณประจำ (งบค่าใช้จ่ายเงินเดือน และค่าใช้สอยวัสดุครุภัณฑ์) งบลงทุนร้อยละ 17 และส่วนที่เหลือเป็นงบประมาณเพื่อการชดใช้หนี้และอื่นๆ ซึ่งสะท้อนว่ามิได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการรองรับกับยุทธ์ศาสตร์ที่อ้างถึง โดยเฉพาะมาตรการที่ชัดเจนในการรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558
ประเด็นที่ร้อนแรงมาก คือ การอภิปรายถึงเงินงบประมาณในโครงการรับจำนำข้าวในปี 2557 จำนวนประมาณ 100,000 ล้านบาท ที่ได้ดำเนินโครงการมาเกือบ 2 ปี แต่ยังไม่เคยมีการเปิดเผยถึงผลการดำเนินงานเลย มีเพียงข่าวเบื้องต้นของคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ที่สรุปผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ปี 2554/2555 ว่าขาดทุนประมาณ 2.6 แสนล้านบาท รวมไปถึงข้อมูลที่แสดงว่ามีแนวโน้มของทุจริตคอร์รัปชันที่ได้มีการอภิปรายในรัฐสภา เป็นความกังวลของคนทั่วประเทศที่เงินภาษีกำลังถูกใช้ไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ล่าสุดนี้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส หรือมูดี้ส์ เผยรายงาน "แนวโน้มเครดิตของมูดีส์" ระบุความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวในปีการผลิต 2554/2555 และความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจากการที่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวฯต่อไปนั้น จะทำให้เป็นเรื่องยากมากขึ้นที่รัฐบาลจะบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลภายในปี 2560 ที่สำคัญยังเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของไทย
นอกจากความเสียหายที่เป็นภาระต่อฐานะการคลังแล้ว โครงการรับจำนำข้าวจะทำลายอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกข้าวของประเทศ รัฐบาลจะต้องมีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลและมีคำชี้แจงที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือให้ชาวนาได้รับประโยชน์จากโครงการเต็มที่ รวมถึงการไม่เอื้อประโยชน์ต่อการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ ซึ่งในความคิดของผู้เขียน เห็นว่าหากจะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป จะต้องลด/ขจัดช่องโหว่ที่เปิดช่องทางให้ทุจริตคอร์รัปชันของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ คนกลาง ตลอดจนนักการเมือง
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องรถตู้ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีการตั้งงบประมาณซื้อรถตู้จำนวน 1,000 คันขึ้นมาสำหรับแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษา ที่จากเดิมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแถลงว่าจะต้องมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนประมาณ 3,000 แห่ง เนื่องจากไม่มีงบประมาณจัดสรรให้กับโรงเรียนเหล่านั้น และต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเหตุผลว่าเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และจบลงด้วยการซื้อรถโรงเรียนสำหรับรับส่งนักเรียนที่ถูกยุบรวม ซึ่งการอภิปรายพบว่ามีตั้งราคารถตู้สูงกว่าราคาตลาดถึงหนึ่งเท่าตัวและมีคำชี้แจงเพียงว่าเป็นการพิมพ์ผิด
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน