สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คิดและทำแบบคู่หู CEO บัฟเฟตต์ และเกตส์

คิดและทำแบบคู่หู CEO บัฟเฟตต์ และเกตส์
โดย : รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วงการธุรกิจทั่วโลกต่างยอมรับในความสามารถของบิลล์ เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งและสองของสหรัฐอเมริกา

และเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับท้อปเท็นโลก ซึ่ง ณ เวลาที่เขียนบทความอยู่นี้ สถานะความร่ำรวยของบุคคลทั้งสองนี้อาจจะมีการผันแปรบ้างในเรื่องของอันดับ เพราะอาจมีคนรวยคนเก่งคนอื่นมาแซงหน้าไปบ้างในบางปี แต่โดยทั่วๆไปบัฟเฟตต์และเกตส์ก็ไม่เคยหลุดอันดับต้นๆไปได้ กล่าวได้ว่าเขาทั้งสองมีความมั่งคั่งอันยั่งยืน ไม่ใช่รวยแบบประเดี๋ยวประด๋าว

แม้ว่าทั้งสองจะมีวัยต่างกันแต่ปรากฏว่าวอร์เรนและบิลลฺเป็นเพื่อนที่คบหาสนิทสนมกันนานปี โดยวอร์เรนเป็นผู้บริจาครายใหญ่รายหนึ่งที่สนับสนุนมูลนิธิบิลล์-เมลินด้า เกตส์ องค์กรเพื่อการกุศลที่บิลล์และเมลินด้าผู้ภรรยาได้ร่วมก่อตั้งขึ้นหลายปีติดต่อกันที่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกได้เชิญ CEO ทั้งคู่ไปเป็นผู้บรรยายเรื่องการบริหาร การเป็นผู้นำ การสร้างนวัตกรรม ตลอดจนการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จปีละหลายๆแห่ง ล่าสุดเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ดิฉันก็ได้เห็น ฟารี้ด ซาคาเรีย (Fareed Zakaria) นักนสพ. ชื่อดัง ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการข่าวต่างประเทศของ CNN ได้เชิญบิลล์ และเมลินด้า เกตส์มาแสดงความเห็นเรื่องทิศทางเศรษฐกิจโลก ส่วนบัฟเฟตต์แม้ว่าจะล่วงเข้าวัย 84 ปีในปีนี้ เขาก็ยังปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญออกรายการธุรกิจช่องฟ็อกซ์และอีกหลายๆช่องเพื่อให้ความเห็นเรื่องหุ้นและการเงินอยู่เป็นประจำ

น่าทึ่งและน่าศึกษาชีวิตของบุคคลระดับโลกเหล่านี้ว่าเขามีวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีใช้ชีวิตอย่างไรจึงทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ยั่งยืน ทั้งนี้เราอย่าไปใส่ใจในตัวเลขรายได้ของสองคนนี้ให้มากเกินไป แต่ให้มองบิลล์และวอร์เรนในภาพรวม ทั้งบิลล์กับวอร์เรนมิได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้เป็นคนดังมาตั้งแต่เกิด พวกเขาต้องทำงานหนัก ต้องสร้างตัวเองด้วยสมองและสองมือ ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์และความสำเร็จอยู่หลายปีกว่าจะก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกำหนดทิศทางความเป็นไปของโลก ทั้งคู่ถือว่าเป็น CEO ที่มีชีวิตส่วนตัวกับครอบครัวที่ค่อนข้างราบรื่น ไม่หวือหวาฉาวโฉ่เหมือนนักบริหารบางคนที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยแต่มีชีวิตครอบครัวที่ลุ่มๆดอนๆ อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ แม้ว่าจะร่ำรวยเริ่ดหรูปานใด พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์เดินดินที่หนีไม่พ้นวงจรสุข ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นคนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆนี่เอง มาศึกษาดูว่าบิลล์และวอร์เรนคู่หู CEO มีมุมมองเรื่องการทำงานและดำเนินชีวิตอย่างไรกัน

เริ่มจากการชีวิตนักศึกษาที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดงานก่อนเลย บิลล์กล่าวว่า “ถ้าคิดว่าครูอาจารย์ในห้องเรียนของคุณโหด รอให้ไปเจอเจ้านาย (ที่ทำงาน) ซะก่อน” (แล้วจะรู้ว่าใครโหดจริง!) คำกล่าวนี้ชี้ทางสว่างให้นิสิตนักศึกษาที่ยังอยู่ในรั้วการศึกษาให้เตรียมตัวสู่เวทีชีวิตจริงที่นายจ้างเขาจะเคี่ยวและเข็นลูกจ้างหนักหน่วงกว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมากนัก งานนี้ถ้าพลาด มันไม่ใช่แค่ได้เกรดไม่ดีแล้วยังอาจซ่อมได้ พลาดในงานอาจซ่อมไม่ได้ค่ะ ดังนั้นต้องมีน้ำอดน้ำทนให้มาก อย่าทำตัวประมาณว่า “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” และบิลล์ยังกล่าวอีกด้วยว่า “ผมมีฝัน (อยากทำโน่นนี่ อยากเป็นโน่นนี่)มากมายเลยตอนเป็นเด็ก ที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะผมอ่านหนังสือมาก” เรื่องนี้คงโดนใจผู้ใหญ่บ้านเราหลายท่านที่หนักใจเรื่องเด็กไทยไม่ค่อยอ่านหนังสือ

วอร์เรนเองก็เน้นเรื่องการอ่านเหมือนบิลล์ เขากล่าวว่า “ผมเน้นเรื่องการใช้เวลาในแต่ละวันของผมสำหรับการนั่งและคิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องธุรกิจอเมริกันไม่ค่อยทำกัน ผมอ่านและคิด ผมใช้เวลาในการอ่านและนั่งคิดมาก และทำการตัดสินใจแบบปุบปับน้อยมากกว่านักธุรกิจคนอื่นๆ ผมทำอย่างนี้ก็เพราะผมชอบชีวิตแบบนี้” นี่คือสไตล์การใช้ชีวิตประจำวันสูตรของวอร์เรนที่มีความระมัดระวังในการตัดสินใจ เขาไม่เสี่ยงแบบไร้การใคร่ครวญ ไม่ทำอะไรแบบบุ่มบ่าม อ่านข้อคิดของวอร์เรนแล้วทำให้ดิฉันระลึกถึงอภิมหาเศรษฐีในบ้านเราที่มีธุรกิจระดับอินเตอร์คือคุณ บิลล์ ไฮเนคกี เจ้าของกลุ่ม ไมเนอร์ กรุ๊ป ดูเผินๆคนทั่วไปจะคิดว่าคุณบิลล์ชอบรถแข่ง ชอบขับเครื่องบิน ชอบอะไรที่ดูเสี่ยงๆ แต่คุณบิลล์เคยให้สัมภาษณ์ว่าการที่กล้าทำอะไรที่ดูเสี่ยงสำหรับคนอื่น “ในความเป็นจริงคือ ผมอ่านมาก ศึกษาข้อมูลมาก และมีความระมัดระวังมาก อย่างเช่นการขับเครื่องบิน ก็ต้องมีระบบตรวจสอบต่างๆให้มั่นใจเพราะมีชีวิตของเราและคนที่นั่งด้วยเป็นเดิมพัน ในการลงทุน ผมก็ลงทุนอย่างมีข้อมูลจนมีความเสี่ยงน้อยที่จะทำ” ใครก็ตามที่คิดว่าการมีแต่หัวใจกล้า มีความกล้า ไม่กลัว ก็เพียงพอแล้วที่จะคว้าความสำเร็จมาอยู่ในมือ มาศึกษาเบื้องหลังความสำเร็จของนักขับรถแข่ง นักบินขับไล่ นักลงทุนต่างๆ แล้วจะทราบว่าพวกเขาล้วนต้องทำการบ้านหาข้อมูลและฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงแทบทั้งนั้น ประเภทอัจฉริยะที่พอกระโดดขึ้นเครื่องบินแล้วขับได้เลยนั้น น่าจะมีแต่ในหนังนะคะ แม้แต่มาร์ค ซัคเคอร์เบอร์กที่เป็นต้นแบบคนหนุ่มอภิมหารวยอย่างรวดเร็วที่หนุ่มสาวชาว Gen Y ใฝฝันอยากประสบความสำเร็จแบบนั้นบ้าง คนแบบนี้หายากค่ะ ทั้งยังต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ เชาวน์ปัญญาที่ฉลาดมากกว่าชาวบ้านทั่วไป และโอกาสดีที่มาถึงอย่างลงตัว กระนั้นก็ตาม เพื่อให้ความร่ำรวยอยู่ยั้งยืนยง มาร์คก็ต้องลงมือทำงานอย่างต่อเนื่องเหมือนคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าจะนั่งกินนอนกินเฉยๆ มิฉะนั้นก็จะไม่มีนวัตกรรมใหม่มาป้อนตลาด หยุดคิด หยุดทำงานไม่ได้ และถ้าคุณไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น และโอกาสดีๆไม่ได้มีมาหาคุณง่ายๆ คุณก็ต้องใช้เวลาเหมือนคนอื่นๆในการสร้างความสำเร็จไปทีละขั้น

ลำดับต่อมาคือข้อคิดสำหรับคนทุกวัยที่กำลังมองหางานทำ วอร์เรนให้ข้อคิดว่า “เมื่อถึงเวลาที่ต้องเริ่มทำงาน ให้ทำงานที่คุณรัก คุณจะอยากลุกโดดจากเตียง(ไปทำงาน) ในตอนเช้า ผมคิดว่าคุณคงเพี้ยนถ้าคุณเลือกทำงานที่คุณไม่ชอบ แต่ทำเพราะมันทำให้ประวัติการทำงานของคุณดูดี” ดิฉันเคยเห็นคนแบบนี้มากมายในสังคม ผลก็คือ เรามีพนักงานที่ทำงานกับองค์กรดังๆเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่แล้วก็สร้างผลงานไม่ออก ในระยะยาวก็สร้างผลงานไม่ได้ เพราะไม่มีใจรักในงาน เสียประโยชน์ทั้งพนักงานและองค์กร คนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองก็เช่นกัน เวลาแนะนำลูกหลานให้เลือกงาน อย่าให้ลูกเลือกแต่ในสิ่งที่พ่อแม่ชอบหรือเห็นว่าดี ต้องพิจารณาถึงความชอบของลูกเป็นหลักด้วย

ในยุคที่สื่อทั้งหลายมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของคนทุกวัยเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะคนไทยที่ติดละครกันงอมแงม บิลล์มีความเห็นว่า “โทรทัศน์ไม่ใช่ชีวิตจริง ในชีวิตจริงคนเราต้อง (รู้จัก) เดินออกจากร้านกาแฟ แล้วไปทำงาน” ใครที่ดูหนังดูละครแล้วเห็นแต่ฉากพระเอกนางเอกนั่งแช้ตอยู่แต่ในร้านกาแฟก็ต้องตื่นจากฝัน แล้วกลับไปทำงานอย่างมุ่งมั่นได้แล้ว ซึ่งในเรื่องของความมุ่งมั่น วอร์เรนได้ให้ข้อคิดว่า “เห็นใครนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่อย่างสบายอารมณ์ นั่นเป็นเพราะเขาได้ใช้เวลามากมายในการปลูกต้นไม้และดูแลมันจนแผ่กิ่งก้านสาขาได้ขนาดนี้” ฟังอย่างนี้แล้วต้องเข้าใจว่า เราต้องมีความใจเย็นอดทนรอคอยความสำเร็จ ซึ่งแม้เมื่อประสบความสำเร็จแล้ววอร์เรนยังเตือนว่าต้องมีความสังวรณ์เตือนตนเสมอ เพราะ “ต้องใช้เวลาถึง 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง แต่ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นในการทำลายมัน” ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ไว้เสมอ คุณจะทำหลายๆสิ่งด้วยความใคร่ครวญ และพลาดน้อยลง

ขอจบท้ายด้วยข้อคิดในการดำเนินชีวิตและการทำงานของบิลล์ที่ทำให้ไมโครซอฟต์ดำรงอยู่ได้จนทุกวันนี้ คือ “เราต่างต้องการผู้ที่จะให้คำวิจารณ์แก่เรา นี่คือหนทางที่เราจะปรับปรุงตัวเอง” ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครแก่เกินเรียน ทุกคนต่างต้องพัฒนาตัวเองอยู่ชั่วชีวิต จงน้อมรับคำวิจารณ์ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : คิดและทำ แบบคู่หู CEO บัฟเฟตต์ เกตส์

view