23 นาที สึนามิบิ๊กตู่
จาก โพสต์ทูเดย์
โดย ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ฟ้าหลังฝนของเช้าวันพุธ ที่25 มี.ค. เวลา 10.00น. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ไม่ได้สดใสอย่างที่คิด
พายุฤดูร้อนพัดเอาอารมณ์ขุ่นมัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มาเต็มๆในห้วงเวลา 23 นาที ของการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ก่อนเดินทางเยือนบรูไน
23 นาที เป็นห้วงเวลาของเสียงสะท้อนนายกฯที่มีต่อสื่อมวลชน ทั้งตักเตือน ซัดแบบเต็มๆ แม้กระทั่งแฉเบื้องหลังสื่่อบางแห่ง สร้างความงวยงงว่าไปโกรธใครมาจากที่ไหนหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ วาทกรรมที่โหมใส่ราวสึนามิ ทำเอาสื่อมวลชนสั่นไหวกันไปทั่ว
ตลอดการตอบคำถามต่อสื่อมวลชนเกือบทุกประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ จะมีการตำหนิ ต่อว่าสื่อไปด้วย อาทิ ประเด็นการทำงานระหว่างรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ที่เข้าพบและหารือเมื่อบ่ายวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา
"ไม่มีการพูดคุยในเรื่องปัญหาความขัดแย้งอะไร เป็นการปรึกษาเรื่องการงาน ทำไมจะทะเลาะอะไรกันหนักหนา ทำไมอยากให้ทะเลาะกันหรือไง เห็นสื่อเขียนกันเหลือเกินว่าไอ้โน่นทะเลาะกับไอ้นี่ ถ้าจะทะเลาะมีผมทะเลาะได้อยู่คนเดียว ถ้าใครบกพร่องผมก็ตำหนิเขา แต่ถ้าทำดีผมก็ต้องชมและก็เรียกมาหารือกัน มันก็แค่นั้น จะมีอะไรมากไปกว่านี้วะ อยากจะรู้นัก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า แต่มีการไปพูดโยงถึงเรื่องการทำงานและการปรับครม. โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบอย่างเสียงดัง
"มีแต่พวกคุณพูดกันทั้งนั้นว่าจะมีการปรับ ครม. ถ้าปรับแล้วมันดีขึ้น เออ มันก็ใช่ แต่ถามว่าสถานการณ์ขณะนี้การปรับคนจะทำให้แก้ปัญหาได้หรือไม่ อยากให้ตอบ สมมติว่าหนังสือพิมพ์ของพวกคุณ ถ้าจะให้ขายดีต้องให้ไอ้นักข่าวคนนี้ออกไป บรรณาธิการคนนี้ก็ต้องออก แล้วมันจะดีขึ้นไหม มันไม่ได้แก้ปัญหาง่ายขนาดนั้น ประเทศชาติมีคนเกือบ 70 ล้านคน มีปัญหาร้อยกว่าเรื่องจนถึงวันนี้ขึ้นเป็นพันกว่าเรื่อง แทนที่จะมาช่วยกันเพราะวันนี้เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาแบบนี้ ไปรวมพลังคนมาให้ได้มาช่วยกันแก้ปัญหา รวมกันทุกพวกไม่ใช่ตีให้แตกไปทุกเรื่อง เหมือนรัฐบาลปกติ มันไม่เข้าใจกันหรืออย่างไร
เสรีภาพให้ก็ให้แล้ว ทุกอย่างไม่เคยห้ามอะไรเลย ไม่มีใครเขาให้แบบนี้หรอก เดี๋ยวผมจะดูอีกระยะหนึ่งนะสำหรับการทำงานของสื่อ ที่ผมและรัฐบาลทำมาทั้งหมดก็เพื่อคนไทยทุกคน แต่พอจะมีกลไกอะไรต่างๆ ออกมาก็ไม่ยอมกันจะกลับไปยืนที่เก่า สื่อก็คล้อยตามกันไปเรื่อย ยิ่งทำให้สังคมแตกแยก แล้วผมจะได้อะไรขึ้นมากับสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ใช่การเมือง ผมไม่ได้ผลประโยชน์ ผมไม่มีธุรกิจ ที่พูดไม่ได้มาทวงบุญคุณอะไร ทั้งหมดผมทำให้คนไทย ถ้าใครมันไม่เข้าใจ มันก็ไม่ใช่คนเท่านั้น สื่อต้องช่วยกัน ต่อจากนี้ผมจะดูทุกสื่อและถ้าจำเป็นผมก็จะใช้อำนาจของผมทุกคน ไม่ได้ไม่ให้มาวิจารณ์ วิจารณ์ได้แต่ต้องเข้าใจเสียหน่อย วันนี้คำสั่งคสช.มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หรือลืมกันไปหมดแล้ว ลืมหรืออย่างไร สบายกันเกินไปแล้วมั้ง"
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่า ถ้าสื่อเสนอข่าวลักษณะที่ทำให้แตกแยกจะพิจารณาใช่หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า"สื่อใดที่เสนอข่าวสร้างความแตกแยกก็จะให้ทางสมาคมดำเนินการสอบมาแล้วถ้าสมาคมไม่ได้เรื่อง ผมก็จะให้คณะข้างบนเขาสอบต่อ เอามาตีดูสิว่าไอ้นี่มันสร้างความแตกแยกหรือไม่ ถ้าวิจารณ์ทั่วๆไป ผมไม่ว่า ติติงนิดหน่อยผมก็รับได้นะ แต่ถ้าพูดทุกวันว่าล้มเหลว มันจะล้มเหลวได้อย่างไรวะ ก็ของเก่ามันยิ่งกว่าล้มเหลวอีก เมื่อเราเข้ามาแก้ จากความล้มเหลวเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น คิดแบบนี้กันบ้างสิ"
เมื่อถามว่า จะถึงขั้นปิดสื่อเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่ามาหาเรื่องให้ตนต้องไปรบกับสื่อเลย
เมื่อถามย้ำว่า บทลงโทษคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทันทีว่า "ประหารชีวิตมั้ง ถามส่งเดชไปได้ ก็อย่าทำกันสิ ระมัดระวังกันหน่อย สื่อต้องมีวิจารณญาณ มีจรรยาบรรณกันหน่อย เห็นเรียกร้องอยากได้จรรยาบรรณกันหนักหนา ให้ไปแล้วก็ใช้ไม่เป็น ไม่รู้จักใช้ อะไรที่เป็นความร่วมมือเพื่อทำให้ประชาชนก็ต่องมาร่วมมือกัน อะไรที่เป็นความขัดแย้งก็ต้องพอๆ เพราะเห็นว่ารัฐบาลเขากำลังทำงานอยู่ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยเห็นสักฉบับไม่มีเลย มีน้อยมากหรือมีแค่บางคนเท่านั้น ผมไม่ได้ขอให้เชียร์"
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นทุกขณะระหว่างการให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวจึงพยายามที่จะสร้างบรรยากาศให้เป็นไปด้วยดี โดยขอให้นายกรัฐมนตรีรีบเดินทางขึ้นเครื่องบินเพื่อให้ทันตามกำหนดการเยือนบรูไน แต่ทว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยังคงติดพันและกล่าวกับผู้สื่อข่าวต่อ
จากนั้นเมื่อผู้สื่อข่าวกล่าวว่าไม่มีคำถามจะถามแล้ว เกรงจะถูกคำสั่งประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จึงกล่าวว่า "ใช้เครื่องประหารหัวสุนัขเลย เดี๋ยวจะจัดการกับสื่อสักหน่อย รักกันอยู่แล้ว ขอร้องให้ช่วยกันหน่อย ไม่ใช่ให้มาแก้ตัวให้ผม แต่ขอให้ช่วยกันสร้างความรัก ความสามัคคี ไหนๆเราก็มาถึงจุดนี้แล้ว เอาวิกฤตให้เป็นโอกาส ในการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทำวิกฤตให้เป็นวิกฤต"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมนายกฯไม่มองว่าคำวิจารณ์ต่างๆ เป็นความเห็นและการเสนอแนะ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็ไปดูคำวิจารณ์ของพวกสื่อสิ เป็นทางบวกหรือ ถามว่าชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ พล.อ.ประยุทธ์จะทำได้หรือไม่ ก็เข้ามาวันนี้ก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ จะถามทำไม สร้างสรรค์ตรงไหนวะ ปัดโธ่"
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้หันไปชี้นิ้วสั่งให้ ทส.คนสนิทไปหยิบหนังสือพิมพ์ในรถมา โดยกล่าวว่า "เอามากันสักที แล้วช่วยกันตัดสินดูสิว่า ไอ้นี่มันเขียนดีหรือไม่ เดี๋ยวฉันจะบอกว่าไม่ต้องไปซื้อ ตกงานกันให้หมด"
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พยายามบอกกับนายกฯว่าไม่มีคำถามแล้ว และถ้าช้าไปกว่านี้อาจจะทำให้กำหนดการเยือนบรูไนคลาดเคลื่อน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ถ้าฉันไปถึงช้า ฉันจะบอกสมเด็จพระราชาธิบดีว่าเพราะพวกเธอ วันนี้ไม่ได้โกรธแต่อารมณ์ไม่ดี"
หลังการให้สัมภาษณ์จบ ทส.คนสนิทได้หยิบหนังสือพิมพ์ มติชน และ astvผู้จัดการ มาให้พล.อ.ประยุทธ์ ตามคำสั่ง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้หันไปชี้ พร้อมระบุว่า มีหลายฉบับมาก พร้อมหันมาถามกลุ่มผู้สื่อข่าวว่า "ไหนเครือมติชนอยู่ไหน ไปดู เขียนให้ดี อย่าเขียนให้มันเข้าข้างฝ่ายโน้นให้มากนักนะ
"ผมจะบอกให้ รัฐบาลที่แล้ว มติชนน่ะ ขายกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด คุณไปรื้อดู กระทรวงมหาดไทยสั่งให้ซื้อเฉพาะมติชน ทำให้ฉบับอื่นขายกันไม่ออก"
พลันพล.อ.ประยุทธ์กล่าวจบ ก็หันหลังขวับก้าวเท้าฉับๆ เข้าห้องรับรองเตรียมตัวเดินทางเยือนบรูไนให้ทันตามกำหนดการ.
“บิ๊กตู่” ด่าคอลัมนิสต์เก่งนักมึงมาบริหาร! ขู่ใช้อำนาจลุยสื่อ แฉ มท.ยุค “ปู” ซื้อแต่มติชน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ประยุทธ์” สุดฉุนไล่บี้สื่อ! ด่าคอลัมนิสต์ “โสภณ-ชัชวาลย์” เก่งนักหนามึงมาบริหาร ถามฝ่ายต่อต้านรับผิดอะไรบ้างหรือยัง บอกเลื่อนวันแถลงผลงานก็เรื่องของตน จวก “อำมาตย์เต้น” โง่ด่ารัฐสร้างบึ้มเอง สับเฮงซวยพอเรียกมาคุยแล้วไม่ปล่อยก็หาว่าละเมิดสิทธิ บอกเลยไม่ท้อแต่โมโหมากขึ้น จวกเขียนวิจารณ์ทะเลาะรองนายกฯ ถามปรับ ครม.ตอนนี้จะดีขึ้นหรือไม่ โวยแทนที่จะรวมพลังช่วยกันแก้ ขอดูสื่ออีกระยะ ถ้าจำเป็นจะใช้อำนาจ ยันวิจารณ์ได้ ติติงนิดหน่อยพอเข้าใจ แต่ไม่พอใจพูดทุกวันล้มเหลว ขู่สมาคมสื่อฯ สอบไม่ได้เรื่องจะจัดทีมสอบเอง ลั่นไม่ได้ขอให้เชียร์แต่มีจรรยาบรรณหน่อย แฉ มท.ยุคก่อนสั่งซื้อแต่ “มติชน”
วันนี้ (25 มี.ค.) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเยือนประเทศบรูไน โดยมีสีหน้าเคร่งเครียดและแสดงอารมณ์โกรธและโมโหตลอดระยะเวลาการให้สัมภาษณ์ รวมทั้งได้มีการเตรียมเอกสารเพื่อชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวโดยเฉพาะ ถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์มีอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงถึงขนาดบางช่วงเสียงสั่น และมีการโยนเอกสารใส่ผู้สื่อข่าว โดยการให้สัมภาษณ์วันนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นรวม 23 นาที โดย พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ขอร้องสื่อมวลชนว่าในเรื่องคดีการเมืองต่างๆ ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมขอให้เป็นไปตามกลไก อย่าไปยุ่งกับมันมากนัก
“อะไรกันนักหนา ผมไม่เข้าใจ จะต้องเมื่อนี่เมื่อนั่น โดยเฉพาะของผู้จัดการ เปิดอ่านดูไม่ได้สักหน้าหนึ่ง เป็นบ้ากันไปหรืออย่างไร เขียนอะไรไม่รู้กันทุกวัน จะเอาอะไรกันนักหนา เก่งนักหนา มึงมาบริหารงานมา มาเป็น ส.ส.เลย ไอ้ชัชวาลย์ (ชาติสุทธิชัย คอลัมนิสต์) ไอ้โสภณ (องค์การณ์ คอลัมนิสต์) พวกนี้ รัฐบาลนี้พูดจาแบบนี้จะว่าผมก็ว่ามา ยังไงก็รับอยู่แล้ว แต่ผมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนายกฯ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็มีจิตใจ มีชีวิตและจิตใจ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การพิจารณาคดีทางการเมืองอย่าไปสนใจ ให้เขาเดินหน้าไปตามกระบวนยุติธรรม อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์กันนัก เพราะเขาทำงานไม่ง่าย ถ้าเรามัวแต่คล้อยตามไปมาแบบนี้ ศาลก็ลำบาก วันนี้ฝ่ายต่อต้านกระบวนการยุติธรรม ถามว่ายอมรับความผิดอะไรบ้างหรือยัง สักอย่าง ยังไม่มีเลย และตนก็ไม่ได้บอกว่าเขาผิด เขาเป็นเพียงผู้ต้องหาก็ไปสู้คดีกัน แต่ขอร้องว่าอย่ามาสู้นอกศาล สื่อก็ไปขยายความกันเรื่อยเปื่อย เวลาศาลตัดสินว่าไม่ผิด ทำไมไม่โวยแต่พอผิดก็ออกมาโวยว่าไม่เป็นธรรม ส่วนความผิดอื่นๆ ที่มีการยกฟ้องกลับไม่พูดถึง อย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน คนเหล่านี้ใช้ได้หรือไม่ก็ต้องคิดดู
เมื่อถามว่า คดีที่พูดถึงหมายถึงคดีอะไร และเกี่ยวข้องกับใคร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างโมโหว่า สื่อก็รู้อยู่จะมาถามอีกทำไม มันก็คือคดีการเมือง ก็รู้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเลื่อนการแถลงผลงานรอบ 6 เดือน จากวันที่ 10 เม.ย.เป็นวันที่ 17 เม.ย.เนื่องจากเกรงว่าเป็นวันหยุดยาวจะไม่มีคนฟัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า แล้วจะทำไม ขนาดตนพูดธรรมดายังไม่ฟังกันเลย ก็ต้องหาเวลาที่ทุกคนฟัง โดยเฉพาะสื่อ เพราะที่พูดทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครฟัง ถ้าไปพูดวันหยุดแล้วใครจะฟัง ดังนั้นการเลื่อนวันแถลงก็เป็นเรื่องของตน ก็จะแถลงในวันนี้จะมาบังคับอะไรนักหนา และก็ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงมีการชี้แจงผลงานมาตั้งนานแล้ว และแต่ละกระทรวงก็มีการดำเนินการมาเพียงแต่สื่อไม่ไปสนใจ มาสนใจที่ตนอย่างเดียว
พล.อ.ประยุทธ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เหตุระเบิดหลายครั้งที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นเรื่องที่ รัฐบาลสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองว่า “ก็มันโง่ไง แล้วพวกเธอไปโง่ตามเขาหรือเปล่า รัฐบาลและผมจะทำไปเพื่ออะไร คิดดูสิ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฉันมาฉันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นแล้ว ฉันจะมาทำเองทำไม เพื่อที่ฉันอยากจะอยู่อย่างนั้นหรือ”
เมื่อถามว่า การออกมาพูดเช่นนี้จะมีการห้ามปรามอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่สนใจ เมื่อถามต่อว่าจะเรียกมาปรับทัศนคติอีกครั้งหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่สนใจ เรียกมาแล้วหลายครั้ง แล้วพอเรียกมาจะอย่างไร พอไม่ปล่อยก็หาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็แค่นี้ เฮงซวยพวกนี้”
ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงการเลือกตั้งปลายปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องที่พูดว่าปลายปีนั้นตนพูดเร็ว ความจริงตนพูดมาหลายครั้งว่ารัฐธรรมนูญจะออกปลายปี นั่นคือการเริ่มกระบวนการเลือกตั้ง ตนพูดรวบไปหน่อย แต่ไม่เข้าใจว่ามันจะอะไรกันนักหนาเรื่องการเลือกตั้ง จะเป็นจะตายกันหรืออย่างไร เป็นการแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม หรือใครคิดว่าไม่ใช่รัฐธรรมนูญจะออกได้ไหมก็ต้องไปรอดูกัน
“ผมบอกแล้ว ผมไม่ท้อแท้ ไม่มี มีแต่โมโหมากขึ้น และผมบอกเลยผมสู้ทุกอย่าง อย่ามาพูดอะไรให้ผมท้อแท้ ผมไม่มีท้อแท้ ยังมีคนไทยอีกเยอะแยะ อีก 60 กว่าล้าน และถ้าผมเป็นคนท้อง่าย ผมไม่เข้ามาหรอก ยิ่งเป็นอย่างนี้ ฉันยิ่งอยู่นานและก็ไม่ได้ฮึกเหิมอะไร ผมก็เป็นของผมอย่างนี้อยู่แล้ว ฉันพยายามสงบอยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าเท่าที่ดูคิดว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวชี้แจงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีเข้าพบและหารือเมื่อบ่ายวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่มีการพูดคุยในเรื่องปัญหาความขัดแย้งอะไร “เป็นการปรึกษาเรื่องการงาน ทำไมจะทะเลาะอะไรกันหนักหนา ทำไมอยากให้ทะเลาะกันหรือไง เห็นสื่อเขียนกันเหลือเกินว่าไอ้โน่นทะเลาะกับไอ้นี่ ถ้าจะทะเลาะมีผมทะเลาะได้อยู่คนเดียว ถ้าใครบกพร่องผมก็ตำหนิเขา แต่ถ้าทำดีผมก็ต้องชมและก็เรียกมาหารือกัน มันก็แค่นั้น จะมีอะไรมากไปกว่านี้วะ อยากจะรู้นัก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่มีการไปพูดโยงถึงเรื่องการทำงานและการปรับ ครม. โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบอย่างเสียงดังว่า “มีแต่พวกคุณพูดกันทั้งนั้นว่าจะมีการปรับ ครม. ถ้าปรับแล้วมันดีขึ้น เออ มันก็ใช่ แต่ถามว่าสถานการณ์ขณะนี้การปรับคนจะทำให้แก้ปัญหาได้หรือไม่ อยากให้ตอบ สมมติว่าหนังสือพิมพ์ของพวกคุณ ถ้าจะให้ขายดีต้องให้ไอ้นักข่าวคนนี้ออกไป บรรณาธิการคนนี้ก็ต้องออก แล้วมันจะดีขึ้นไหม มันไม่ได้แก้ปัญหาง่ายขนาดนั้น ประเทศชาติมีคนเกือบ 70 ล้านคน มีปัญหาร้อยกว่าเรื่องจนถึงวันนี้ขึ้นเป็นพันกว่าเรื่อง แทนที่จะมาช่วยกันเพราะวันนี้เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาแบบนี้ ไปรวมพลังคนมาให้ได้มาช่วยกันแก้ปัญหา รวมกันทุกพวกไม่ใช่ตีให้แตกไปทุกเรื่อง เหมือนรัฐบาลปกติ มันไม่เข้าใจกันหรืออย่างไร”
“เสรีภาพให้ก็ให้แล้ว ทุกอย่างไม่เคยห้ามอะไรเลย ไม่มีใครเขาให้แบบนี้หรอก เดี๋ยวผมจะดูอีกระยะหนึ่งนะสำหรับการทำงานของสื่อ ที่ผมและรัฐบาลทำมาทั้งหมดก็เพื่อคนไทยทุกคน แต่พอจะมีกลไกอะไรต่างๆ ออกมาก็ไม่ยอมกันจะกลับไปยืนที่เก่า สื่อก็คล้อยตามกันไปเรื่อย ยิ่งทำให้สังคมแตกแยก แล้วผมจะได้อะไรขึ้นมากับสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ใช่การเมือง ผมไม่ได้ผลประโยชน์ ผมไม่มีธุรกิจ ที่พูดไม่ได้มาทวงบุญคุณอะไร ทั้งหมดผมทำให้คนไทย ถ้าใครมันไม่เข้าใจ มันก็ไม่ใช่คนเท่านั้น สื่อต้องช่วยกัน ต่อจากนี้ผมจะดูทุกสื่อและถ้าจำเป็นผมก็จะใช้อำนาจของผมทุกคน ไม่ได้ ไม่ให้มาวิจารณ์ วิจารณ์ได้แต่ต้องเข้าใจเสียหน่อย วันนี้คำสั่ง คสช.มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หรือลืมกันไปหมดแล้ว ลืมหรืออย่างไร สบายกันเกินไปแล้วมั้ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าถ้าสื่อเสนอข่าวลักษณะที่ทำให้แตกแยกจะพิจารณาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “สื่อใดที่เสนอข่าวสร้างความแตกแยกก็จะให้ทางสมาคมฯ ดำเนินการสอบมา แล้วถ้าสมาคมไม่ได้เรื่อง ผมก็จะให้คณะข้างบนเขาสอบต่อ เอามาตีดูสิว่าไอ้นี่มันสร้างความแตกแยกหรือไม่ ถ้าวิจารณ์ทั่วๆ ไป ผมไม่ว่า ติติงนิดหน่อยผมก็รับได้นะ แต่ถ้าพูดทุกวันว่าล้มเหลว มันจะล้มเหลวได้อย่างไรวะ ก็ของเก่ามันยิ่งกว่าล้มเหลวอีก เมื่อเราเข้ามาแก้จากความล้มเหลวเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น คิดแบบนี้กันบ้างสิ”
เมื่อถามว่าจะถึงขั้นปิดสื่อเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อย่ามาหาเรื่องให้ตนต้องไปรบกับสื่อเลย เมื่อถามย้ำว่า บทลงโทษคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทันทีว่า “ประหารชีวิตมั้ง ถามส่งเดชไปได้ ก็อย่าทำกันสิ ระมัดระวังกันหน่อย สื่อต้องมีวิจารณญาณ มีจรรยาบรรณกันหน่อย เห็นเรียกร้องอยากได้จรรยาบรรณกันนักหนา ให้ไปแล้วก็ใช้ไม่เป็น ไม่รู้จักใช้ อะไรที่เป็นความร่วมมือเพื่อทำให้ประชาชนก็ต่องมาร่วมมือกัน อะไรที่เป็นความขัดแย้งก็ต้องพอๆ เพราะเห็นว่ารัฐบาลเขากำลังทำงานอยู่ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยเห็นสักฉบับไม่มีเลย มีน้อยมากหรือมีแค่บางคนเท่านั้น ผมไม่ได้ขอให้เชียร์”
เมื่อการให้สัมภาษณ์มาถึงจุดดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวมากขึ้น ผู้สื่อข่าวพยายามที่จะสร้างบรรยากาศโดยขอให้นายกรัฐมนตรีรีบเดินทางขึ้น เครื่องบินเพื่อให้ทันตามกำหนดการเยือนบรูไน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงติดพันและกล่าวกับผู้สื่อข่าวต่อ ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวกล่าวว่าไม่มีคำถามจะถามแล้ว เกรงจะถูกคำสั่งประหาร พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวว่า “ใช้เครื่องประหารหัวสุนัขเลย เดี๋ยวจะจัดการกับสื่อสักหน่อย รักกันอยู่แล้ว ขอร้องให้ช่วยกันหน่อย ไม่ใช่ให้มาแก้ตัวให้ผม แต่ขอให้ช่วยกันสร้างความรัก ความสามัคคี ไหนๆ เราก็มาถึงจุดนี้แล้ว เอาวิกฤตให้เป็นโอกาส ในการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทำวิกฤตให้เป็นวิกฤต”
เมื่อถามว่า ทำไมนายกฯ ไม่มองว่าคำวิจารณ์ต่างๆ เป็นความเห็นและการเสนอแนะ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็ไปดูคำวิจารณ์ของพวกสื่อสิ เป็นทางบวกหรือ ถามว่าชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ พล.อ.ประยุทธ์จะทำได้หรือไม่ ก็เข้ามาวันนี้ก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ จะถามทำไม สร้างสรรค์ตรงไหนวะ ปัดโธ่”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์พูดมาถึงจุดนี้ได้หันไปสั่งให้ ทส.คนสนิทไปหยิบหนังสือพิมพ์ในรถมา โดยกล่าวว่า “เอามากันสักที แล้วช่วยกันตัดสินดูสิว่า ไอ้นี่มันเขียนดีหรือไม่ เดี๋ยวฉันจะบอกว่าไม่ต้องไปซื้อ ตกงานกันให้หมด”
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวได้บอกนายกฯ ว่าไม่มีคำถามแล้ว และถ้าช้าไปกว่านี้อาจจะทำให้กำหนดการเยือนบรูไนคลาดเคลื่อน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ถ้าฉันไปถึงช้า ฉันจะบอกสมเด็จพระราชาธิบดีว่าพวกเธอ วันนี้ไม่ได้โกรธ แต่อารมณ์ไม่ดี”
หลังการให้สัมภาษณ์จบ ทส.คนสนิทได้หยิบหนังสือพิมพ์มติชน และ ASTV ผู้จัดการ มาให้ พล.อ.ประยุทธ์ตามคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้หันไปชี้พร้อมระบุว่ามีหลายฉบับมาก พร้อมหันมาถามกลุ่มผู้สื่อข่าวว่า “ไหน เครือมติชนอยู่ไหน ไปดู เขียนให้ดี อย่าเขียนให้มันเข้าข้างฝ่ายโน้นให้มากนักนะ ผมจะบอกให้ รัฐบาลที่แล้วมติชนน่ะ ขายกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด คุณไปรื้อดู กระทรวงมหาดไทยสั่งให้ซื้อเฉพาะมติชน ทำให้ฉบับอื่นขายกันไม่ออก”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์พูดจบก็หันหลังเพื่อเดินไปยังห้องรับรองเพื่อไปเยือนบรูไนอย่างเป็นทางการ
“บิ๊กตู่” เรียกนักข่าวช่อง 3 แจงคดีแรงงานไทย ถามชุดที่แล้วทำไมไม่แก้ ขู่ถูกระงับซื้อปลาต้องรับผิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
นายกฯ ปรามสื่ออย่าเพิ่งขยายความคดีแรงงานไทยในอินโดนีเซียถูกหลอกไปทำประมง หวั่นเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ยันช่วยเหลือมาตลอด ถามรัฐบาลที่แล้วทำไมไม่ทำ หวั่นเรื่องค้ามนุษย์คัมแบ็ก ขู่ถ้าเขาไม่ซื้อปลาสองแสนกว่าล้านตันคนตีข่าวต้องรับผิด เรียก “ฐปณีย์” มาพบเจ้าหน้าที่ จ้ออยู่ข้างนอกได้อะไรขึ้นมา เผยกำลังทำทะเบียน ติดจีพีเอสเรือ ตกปลาจากไหน
วันนี้ (25 มี.ค.) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวก่อนเดินทางไปเยือนประเทศบรูไนดารุสซาลาม ถึงกรณีแรงงานไทยในอินโดนีเซียถูกหลอกไปเป็นลูกเรือประมงและกลายเป็นคนตก เรือเนื่องจากถูกปลอมเอกสาร หลักฐานจนไม่มีตัวตนว่า รัฐบาลดำเนินการมาตลอด ครั้งที่ผ่านมาก็สามารถช่วยเหลือมาได้ 26 ราย เรื่องนี้อย่าเพิ่งขยายความกันมากเพราะบางข่าวเป็นอันตรายกับประเทศในเรื่อง ความมั่นคง และอยากถามว่ารัฐบาลที่ผ่านมาทำไมไม่ทำ จะให้ตนทำทุกอย่างเสร็จในเวลาแป๊บเดียวแล้วไล่ตนไป มันได้ที่ไหน รัฐบาลพยายามเจรจาพูดคุยมาโดยตลอด หากสื่อตีข่าวนี้ออกไปรู้หรือไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไร จะเกิดเรื่องการค้ามนุษย์เข้ามาทันที และถ้าเขาไม่ซื้อปลา 2 แสนกว่าล้านตัน พวกตีข่าวจะต้องรับผิดชอบ มีอะไรตนรับฟังอยู่แล้วขอให้มาพูดและบอกเจ้าหน้าที่ วันนี้รัฐบาลรับฟังปัญหาแต่ต้องมาพูดก่อน ถ้าไปตีข่าวอยู่อย่างนี้คนไทยทั้งประเทศเสียหาย ฉะนั้นนักข่าวได้ข่าวมาแล้วต้องตรวจสอบ
“ผมบอกจริงๆ ฐปณีย์ (เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3) มาหาเจ้าหน้าที่เสีย พูดอยู่ข้างนอกมันได้อะไรขึ้นมา ถ้าผมทำผมไม่ได้ทำเพราะฐปณีย์ ผมทำเพราะผมอยากจะทำ รู้หมดว่าใครอยู่ที่ไหนอย่างไร ผมถามว่ามันง่ายหรือไม่ และผิดกฏหมายหรือเปล่า ไม่ยอมรับอะไรซักอย่างแล้วจะเอาแต่สิทธิเสรีภาพ จะไปไหนก็ได้หรือจะไปประเทศนู้นประเทศนี้ ได้โดยที่ไม่ต้องมีใบอนุญาติหรือเปล่า เรือสี่ห้าลำชื่อเดียวกันได้หรือไม่ วันนี้รัฐบาลกำลังขึ้นทะเบียนเรือ และติดจีพีเอสบนเรือ จับปลาที่ไหนมาต้องแสดงให้เห็นว่าจับมาจากไหน ไม่ใช่นอกน่านน้ำ ต้องไปในพื้นที่ถูกต้อง คนงานต้องมีใบอนุญาติ ไม่เช่นนั้นจะถูกหลอกอย่างที่ว่า และผมถามว่าถูกหลอกสมัยผมหรือเปล่า ซึ่งวันนี้ก็แก้ทุกอัน แล้วมันแก้ได้ไวหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
สภาการ นสพ.ยินดีนายกฯ ให้สื่อตรวจสอบกันเอง เผยหลายสำนักไม่ใช่สมาชิก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ยินดีที่นายกฯ ใช้กระบวนการตรวจสอบกันเองของสื่อ แนะระบุประเด็นเป็นรายไป แต่สื่อหลายสำนักไม่ใช่สมาชิก ไม่อาจไปแนะนำได้ทุกสื่อ ติงใช้อำนาจจ้อสื่อไม่เป็นผลดีต่อนายกฯ - คสช.
วันนี้ (25 มี.ค.) นายภัทระ คำพิทักษ์ ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการทำหน้าที่สื่อมวลชน ว่า มีสื่อที่นำเสนอข้อมูลไปสู่ความแตกแยก และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะใช้อำนาจที่มีอยู่ดำเนินการกับสื่อเหล่านั้น โดยเบื้องต้นได้ขอให้องค์กรสื่อได้ไปตรวจสอบกันเองนั้น สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ยินดีที่นายกรัฐมนตรีจะใช้กระบวนการตรวจสอบกันเองของสื่อ ซึ่งเป็นไปตามคำแถลงของ คสช. ก่อนหน้านี้ ที่เคยระบุว่า คสช. จะสนับสนุนกระบวนการตรวจสอบกันเองของสื่อ
“สื่อหลายสำนักไม่ใช่สมาชิก เราจึงไม่อาจไปแนะนำได้ทุกสื่อ หากหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดเห็นว่า สื่อที่เป็นสมาชิกของเราทำเกินกรอบของการทำหน้าที่สื่อทีดี ก็สามารถแจ้งมาได้ตลอดเวลา สภาการหนังสือพิมพ์ฯ มีคณะทำงานรับผิดชอบในการควบคุมจริยธรรมของสื่ออยู่แล้ว แม้นายกฯ จะมีข้อข้องใจในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ก็ขอให้ท่านระบุเป็นประเด็นและเป็นรายไปเลย” นายภัทระ กล่าว
นายภัทระ กล่าวว่า แม้ นายกรัฐมนตรี และ คสช. จะเข้าใจและสนับสนุนกระบวนการควบคุมกันเองของสื่อ แต่หวังว่านายกฯ และ คสช. จะเข้าใจวิธีการปฏิบัติตามช่องทางเหล่านั้นด้วย การให้สัมภาษณ์ในลักษณะการใช้เชิงอำนาจไม่ได้เป็นผลดีต่อนายกฯ และ คสช. แต่อย่างใด
อดีตประธานสภาการ นสพ.เรียกร้องปกป้องเสรีภาพสื่อ วอน "ประยุทธ์" หยุดสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ฝากถึง "ประยุทธ์" ต้องรับฟังเสียงวิจารณ์ ชี้เรียก "ฐปณีย์" รายงานตัว - ต่อว่าคอลัมน์นิสต์ผู้จัดการ - พาดพิงมติชน ล้วนแล้วแต่ทำให้ความน่าเชื่อถือของตัวผู้นำลดลง ระบุสื่อที่ทำหน้าที่อย่างสุจริตควรได้รับการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิด เห็น วอนอย่าสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวโดยไม่จำเป็น
วันนี้ (25 มี.ค.) นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก "Chakkrish Permpool" ว่า หมายเหตุ JK หยุดสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว
ไม่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีคุณอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาตินี้เพียงใด หรือได้เข้ามาสู่อำนาจด้วยวิธีใด แต่ภาพสะท้อนในกระจกเงาวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ที่อาสาเข้ามานำพาสังคมให้ก้าวพ้นวิกฤตการณ์แห่งความขัดแย้ง
นั่นคือผู้นำประเทศที่ต้องมีความเสียสละ อดทน หนักแน่นในการรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจากฝ่ายใด และไม่ว่าเสียงเหล่านั้นจะยังความพึงพอใจให้ตัวเองหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น การใช้อำนาจเรียกให้ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ด้วยเหตุการเสนอข่าวแรงงานไทยในประเทศอินโดนีเซีย หรือการกล่าวถ้อยคำดุดันต่อคอลัมน์นิสต์ผู้จัดการ การพาดพิงถึงมติชน ล้วนเป็นสิ่งที่ลดทอนความเชื่อถือศรัทธาในตัวผู้นำทั้งสิ้น
เราไม่อาจปฏิเสธว่า ปัญหาความรับผิดชอบของสื่อ ยังเป็นปรากฎการณ์ร่วมที่เกิดขึ้นทั่วไป รัฐบาลมีอำนาจเต็มตามกฏอัยการศึก ในการห้ามจำหน่าย จ่ายหรือแจก ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ รับหรือส่งซึ่งวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ อีกทั้งยังมีประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 เป็นเครื่องมือในการจัดการสื่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งก็ต้องกระทำอย่างระมัดระวังด้วยเหตุแห่งการประกาศกฎอัยการศึก คือมีเหตุฉุกเฉินอย่างยิ่งนั้น ได้ผ่านพ้นมาจนเกือบจะครบรอบหนึ่งปีแล้ว
สิ่งที่รัฐบาลพึงกระทำคือขอความร่วมมือ หรือใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่ดำเนินคดีกับสื่อที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างเด็ด ขาด โดยกระบวนการพิจารณาของศาลพลเรือน
ฐาปณีย์ เอียดศรีไชย เป็นสื่อมวลชนคนหนึ่ง ที่รายงานข่าวตามหน้าที่อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา การรายงานถึงโศกนาฎกรรมของเพื่อนร่วมชาติ กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นคนละเรื่องคนละกรณีกัน
ขณะเดียวกัน การเสนอบทความวิพากษ์ วิจารณ์ของคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก็เป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เป็นความเห็นส่วนตัวซึ่งผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบ หากเกิดกรณีละเมิด หมิ่นประมาทบุคคลอื่น หรือไปเกี่ยวข้องกับความผิดเรื่องอื่นๆ คนอ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะมีความเห็นคล้อยตามกับผู้เขียนหรือไม่ ก็เป็นวิจารณญาณของคนอ่าน ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏซึ่งพวกเขาสามารถรับรู้จากแหล่งอื่นๆได้อยู่ แล้ว ความเชื่อหรือจุดยืนของมติชนก็เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นฐาปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้จัดการ มติชน หรือสื่ออื่นใด ที่ทำหน้าที่ตามวิชาชีพอย่างสุจริต ตรงไปตรงมา สมควรจะได้รับการปกป้อง มิใช่การปกป้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง
หากแต่เป็นการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี และจะต้องเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้เคารพบทบาทหน้าทื่ซึงกันและกัน ไม่ก้าวก่าย แทรกแซงหรือสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวโดยไม่จำเป็น
“โสภณ องค์การณ์” เหน็บ บิ๊กตู่ไม่เอา ส.ส.แต่ขอเป็น “นายกฯ” ทางลัด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
“โสภณ องค์การณ์” ชี้เป็นเกียรติ “บิ๊กตู่” เรียก ไอ้! เหน็บกลับ ไม่ขอเป็น ส.ส. แต่ขอเป็น “นายกรัฐมนตรี” ทางลัด
ช่วงค่ำวันนี้ (25 มี.ค.) มีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กของ นายโสภณ องค์การณ์ คอลัมนิสต์เอเอสทีวี ผู้จัดการ “sopon.onkgara” ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ได้ฟังท่านนายกฯ พูดพาดพิงถึงผมกับคุณชัช ท้าให้ผมเป็นนายกฯ ผมเป็นปลื้มมากครับ
ท่านเรียกพวกผมว่า “ไอ้” ฟังแล้วเหมือนรู้จักสนิทสนมกับผมมายาวนาน ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเป็นส่วนตัว ไม่เคยพบกัน ไม่เคยเดินเฉียดกันในระยะ 100 เมตร ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ท่าน “ตาถึง” มองว่าผมมีศักยภาพพอที่จะรับช่วงเป็นนายกฯ แทนท่าน
แต่ถ้าจะให้ผมเป็น ส.ส. ก่อนผมไม่เอาครับ ผมชอบมาทางลัดแบบท่านนี่แหละ ถ้าให้ผมเป็นนายกฯ จริงผมต้องมีอำนาจเหมือนท่านนะครับ ผมรอคำสั่งแต่งตั้งจากท่านอยู่ด้วยใจระทึกนะครับ
ขอขอบพระคุณอย่างสูงในความกรุณา บอกผมล่วงหน้า 1 ชั่วโมงก็พอครับ เอ่อ! ผมมีเงื่อนไขเดียว ผมต้องไว้ผมยาว นุ่งยีนส์ ใส่เสื้อลายสก็อตเหมือนเดิมนะครับ อย่าลืมนะครับ ผมรออยู่
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน