วิกฤติยุโรป กับ Stress Test แบงก์ไอร์แลนด์
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผลการทดสอบ Stress Test สถาบันการเงินใหญ่ 4 แห่งในไอร์แลนด์ได้ออกมา ปรากฏว่าธนาคารในไอร์แลนด์ต้องการเงินกองทุนเพิ่มเติม
อีก 24,000 ล้านยูโร โดยธนาคารกลางไอร์แลนด์คำนวณว่าแบงก์ทั้งสี่ต้องการเงินกองทุนเพิ่มเติม เพื่อกันไว้สำหรับความเสียหายในปัจจุบันจำนวน 18,700 ล้านยูโร และอีก 5,300 ล้านยูโร เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังปี 2013 นอกจากนี้ จากการที่ขนาดของระบบธนาคารในไอร์แลนด์ใหญ่กว่าเศรษฐกิจจริงอยู่ไม่น้อย ธนาคารกลางไอร์แลนด์จึงต้องการปรับลดขนาดของระบบแบงก์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยต้องการให้สินทรัพย์ลดลงประมาณ 70,000 ล้านยูโร จากปัจจุบันที่มียอดสินเชื่อรวมอยู่ประมาณ 255,600 ล้านยูโร ซึ่งเรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 2 ข้อ คือ ความน่าเชื่อถือของการทดสอบดังกล่าว และการใช้ประโยชน์จากผลการทดสอบในการประมาณความเสียหายของระบบแบงก์ในยุโรป รวมถึงสเปน ซึ่งระบบธนาคารมีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม PIGS
ในประเด็นแรก สำหรับวิธีการทดสอบในครั้งนี้ มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ส่วน (ดังรูป) ส่วนแรก ได้แก่ การประเมินความเสียหายพอร์ตสินเชื่อของแบงก์ทั้งสี่ โดย Blackrock ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนที่มีความชำนาญในการวิเคราะห์และประเมินความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อและการลงทุน จะทำการประมาณความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อประเภทต่างๆ ตามสถานการณ์ที่จำลองความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลของตนเอง หากเปรียบเทียบง่ายๆ กับการทดสอบความแข็งแรงของตึกสูง เพื่อรองรับการเกิดแผ่นดินไหว ก็คือ การทำโมเดลจำลองของตัวตึกที่จะทำการทดสอบให้มีขนาดเล็กลง ทว่ายังคงไว้ซึ่งคุณลักษณะต่างๆ ของตึกนั้น แล้วใช้เครื่องจำลองการสั่นไหว ซึ่งมีระดับริกเตอร์รุนแรงสูงสุดที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นได้ สร้างแรงสั่นสะเทือนเข้าไปที่ตัวโมเดลตึก แล้วประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น
ใน ส่วนที่สอง ธนาคารกลางไอร์แลนด์จะนำผลลัพธ์ในส่วนแรก มาเป็นพื้นฐานในการคำนวณและวิเคราะห์หาปริมาณเงินกองทุนที่ต้องการ โดยเงินกองทุนดังกล่าวมีไว้สำหรับป้องกันความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อที่อาจเกิดขึ้น หากเปรียบเทียบกับการทดสอบตึกสูง ก็หมายถึง การคำนวณจำนวนเสาเข็มที่ต้องเสริมในส่วนฐานรากของตึก เพื่อให้การสั่นไหวในส่วนแรกไม่ทำให้ตัวตึกถูกกระทบกระเทือน
สำหรับ ส่วนสุดท้าย คือ การลดขนาดของระบบสถาบันการเงินให้มีขนาดที่เหมาะสม โดยต้องการให้อัตราส่วนของปริมาณสินเชื่อต่อเงินฝากลดลงจากร้อยละ 180 ให้มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 122.5 ซึ่งธนาคารกลางไอร์แลนด์แนะนำให้สถาบันการเงินทั้งสี่ แบ่งสินทรัพย์ทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น Core และ Non-Core โดยเฉพาะส่วน Non-Core เท่านั้น ที่แบงก์ทั้งสี่สามารถขายออกไปได้ นั่นก็เหมือนกับกรณีการทดสอบตึกสูง ส่วนที่ถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นนอกแปลนของอาคารจะต้องถูกรื้อถอนออก
ต้องยอมรับว่า ความน่าเชื่อถือของการทดสอบครั้งนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เริ่มจากสมมติฐานต่างๆ ที่ใช้ทดสอบ อาทิเช่น การสมมติให้การเจริญเติบโตของปริมาณสินเชื่อใน 3 ปีข้างหน้าเท่ากับศูนย์ หรือสมมติฐานหรือตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคในกรณีที่เลวร้าย ส่วนใหญ่ก็ดูรุนแรงพอสมควรไม่แพ้ของสหรัฐเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว อีกทั้งการใช้ผลลัพธ์ของการประมาณความเสียหาย จาก Blackrock ซึ่งใช้วิธีประมาณจากระดับลูกค้าเป็นรายๆ แล้วนำมารวมกันเป็นพอร์ตหรือ Bottom Up ก็มีความละเอียดอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การที่จะขายสินทรัพย์ของแบงก์ทั้งสี่ออกจากพอร์ตปริมาณกว่า 70,000 ล้านยูโร ในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น น่าจะต้องขาดทุนอยู่พอสมควร อีกทั้งตัวเลขเงินกองทุนที่ต้องเพิ่มเติมดังกล่าวยังไม่รวมความเสียหายของธนาคาร Anglo Irish และ Irish Nationwide ที่ได้ล้มละลายไปแล้ว
สำหรับ ประเด็นที่สอง ว่าด้วยประโยชน์จากการทำ Stress Test ของไอร์แลนด์ในครั้งนี้ มีอยู่อย่างน้อย 2 ข้อ หนึ่ง คือ สามารถที่จะใช้ประมาณความเสียหายของสินเชื่อในระบบธนาคารของยุโรปได้ดียิ่งขึ้น โดยจากรายงานเมื่อปลายปีที่แล้วของ European Central Bank (ECB) และ Basel Committee on Banking Supervision (BCBS) ประมาณความเสียหายดังกล่าวสำหรับ 2 ปีถัดไปไว้ประมาณ 195,000 ล้านยูโร แต่ถ้าดูตัวเลขความเสียหายของสินเชื่อจากการทดสอบของธนาคารกลางไอร์แลนด์ (ตาราง) จะพบว่าสูงกว่าของ ECB และ BCBS อยู่ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ หากใช้ผลของธนาคารกลางไอร์แลนด์มาประมาณความเสียหายของสินเชื่อในระบบธนาคารยุโรป จะพบว่าความเสียหายสำหรับ 2 ปีถัดไปน่าจะประมาณ 285,000 ล้านยูโร
ประโยชน์ข้อที่สอง นั้น ใช้สำหรับการประมาณความเสียหายของสินเชื่อในสเปน ซึ่งมีระบบธนาคารใหญ่ที่สุดในกลุ่ม PIGS โดยธนาคารกลางของสเปนได้ประเมินตัวเลขความเสียหายของสินเชื่อของธนาคารในสเปนล่าสุดไว้ประมาณร้อยละ 8 ซึ่งต่ำกว่าผลของ Stress Test ของไอร์แลนด์ซึ่งมีความเสียหายอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบของสินเชื่อของประเทศทั้งสอง พบว่ามีความคล้ายคลึงกัน ที่ต่างกันไปบ้าง ก็คือ สินเชื่อรายย่อยประเภทบ้าน ซึ่งสเปนจะมีสัดส่วนสินเชื่อประเภทนี้มากกว่าไอร์แลนด์ ทว่าสินเชื่อดังกล่าวก็มีระดับความเสียหายต่ำกว่าสินเชื่อชนิดอื่น รวมถึงตัวเลขความเสียหายจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของแบงก์ทั้งสองประเทศก็มิได้ต่างกันนัก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำผลการวิเคราะห์ความเสียหายของไอร์แลนด์มาใช้กับสเปน โดยตัวเลขประมาณการความเสียหายของธนาคารรัฐและธนาคารเอกชนของสเปนที่ประเมินโดยบริษัทหลักทรัพย์ Evolution อยู่ที่ 19,000 ล้านยูโร และ 65,000 ล้านยูโรตามลำดับ แต่ถ้านำผลของหนี้เสียในไอร์แลนด์มาใช้กับสเปน ความเสียหายน่าจะสูงกว่านั้นประมาณร้อยละ 20
ต้องบอกว่า วิกฤติยุโรปตอนนี้เหมือนคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรังเข้าไปทุกขณะ ทีมคณะแพทย์ที่รักษาต่างคนต่างลงมือกันไปคนละทาง ก็ได้แต่หวังว่ากลางปีนี้ ผลการทดสอบ Stress Test สถาบันการเงินของยุโรป จะไม่น้อยหน้าของไอร์แลนด์ครับ
หมายเหตุ หนังสือ "สุดมุมคิด : จากวิกฤติสู่สงครามการเงินโลก" ของผู้เขียน วางตลาดแล้ววันนี้ หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือทั่วประเทศ
อีก 24,000 ล้านยูโร โดยธนาคารกลางไอร์แลนด์คำนวณว่าแบงก์ทั้งสี่ต้องการเงินกองทุนเพิ่มเติม เพื่อกันไว้สำหรับความเสียหายในปัจจุบันจำนวน 18,700 ล้านยูโร และอีก 5,300 ล้านยูโร เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังปี 2013 นอกจากนี้ จากการที่ขนาดของระบบธนาคารในไอร์แลนด์ใหญ่กว่าเศรษฐกิจจริงอยู่ไม่น้อย ธนาคารกลางไอร์แลนด์จึงต้องการปรับลดขนาดของระบบแบงก์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยต้องการให้สินทรัพย์ลดลงประมาณ 70,000 ล้านยูโร จากปัจจุบันที่มียอดสินเชื่อรวมอยู่ประมาณ 255,600 ล้านยูโร ซึ่งเรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 2 ข้อ คือ ความน่าเชื่อถือของการทดสอบดังกล่าว และการใช้ประโยชน์จากผลการทดสอบในการประมาณความเสียหายของระบบแบงก์ในยุโรป รวมถึงสเปน ซึ่งระบบธนาคารมีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม PIGS
ในประเด็นแรก สำหรับวิธีการทดสอบในครั้งนี้ มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ส่วน (ดังรูป) ส่วนแรก ได้แก่ การประเมินความเสียหายพอร์ตสินเชื่อของแบงก์ทั้งสี่ โดย Blackrock ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนที่มีความชำนาญในการวิเคราะห์และประเมินความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อและการลงทุน จะทำการประมาณความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อประเภทต่างๆ ตามสถานการณ์ที่จำลองความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลของตนเอง หากเปรียบเทียบง่ายๆ กับการทดสอบความแข็งแรงของตึกสูง เพื่อรองรับการเกิดแผ่นดินไหว ก็คือ การทำโมเดลจำลองของตัวตึกที่จะทำการทดสอบให้มีขนาดเล็กลง ทว่ายังคงไว้ซึ่งคุณลักษณะต่างๆ ของตึกนั้น แล้วใช้เครื่องจำลองการสั่นไหว ซึ่งมีระดับริกเตอร์รุนแรงสูงสุดที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นได้ สร้างแรงสั่นสะเทือนเข้าไปที่ตัวโมเดลตึก แล้วประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น
ใน ส่วนที่สอง ธนาคารกลางไอร์แลนด์จะนำผลลัพธ์ในส่วนแรก มาเป็นพื้นฐานในการคำนวณและวิเคราะห์หาปริมาณเงินกองทุนที่ต้องการ โดยเงินกองทุนดังกล่าวมีไว้สำหรับป้องกันความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อที่อาจเกิดขึ้น หากเปรียบเทียบกับการทดสอบตึกสูง ก็หมายถึง การคำนวณจำนวนเสาเข็มที่ต้องเสริมในส่วนฐานรากของตึก เพื่อให้การสั่นไหวในส่วนแรกไม่ทำให้ตัวตึกถูกกระทบกระเทือน
สำหรับ ส่วนสุดท้าย คือ การลดขนาดของระบบสถาบันการเงินให้มีขนาดที่เหมาะสม โดยต้องการให้อัตราส่วนของปริมาณสินเชื่อต่อเงินฝากลดลงจากร้อยละ 180 ให้มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 122.5 ซึ่งธนาคารกลางไอร์แลนด์แนะนำให้สถาบันการเงินทั้งสี่ แบ่งสินทรัพย์ทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น Core และ Non-Core โดยเฉพาะส่วน Non-Core เท่านั้น ที่แบงก์ทั้งสี่สามารถขายออกไปได้ นั่นก็เหมือนกับกรณีการทดสอบตึกสูง ส่วนที่ถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นนอกแปลนของอาคารจะต้องถูกรื้อถอนออก
ต้องยอมรับว่า ความน่าเชื่อถือของการทดสอบครั้งนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เริ่มจากสมมติฐานต่างๆ ที่ใช้ทดสอบ อาทิเช่น การสมมติให้การเจริญเติบโตของปริมาณสินเชื่อใน 3 ปีข้างหน้าเท่ากับศูนย์ หรือสมมติฐานหรือตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคในกรณีที่เลวร้าย ส่วนใหญ่ก็ดูรุนแรงพอสมควรไม่แพ้ของสหรัฐเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว อีกทั้งการใช้ผลลัพธ์ของการประมาณความเสียหาย จาก Blackrock ซึ่งใช้วิธีประมาณจากระดับลูกค้าเป็นรายๆ แล้วนำมารวมกันเป็นพอร์ตหรือ Bottom Up ก็มีความละเอียดอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การที่จะขายสินทรัพย์ของแบงก์ทั้งสี่ออกจากพอร์ตปริมาณกว่า 70,000 ล้านยูโร ในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น น่าจะต้องขาดทุนอยู่พอสมควร อีกทั้งตัวเลขเงินกองทุนที่ต้องเพิ่มเติมดังกล่าวยังไม่รวมความเสียหายของธนาคาร Anglo Irish และ Irish Nationwide ที่ได้ล้มละลายไปแล้ว
สำหรับ ประเด็นที่สอง ว่าด้วยประโยชน์จากการทำ Stress Test ของไอร์แลนด์ในครั้งนี้ มีอยู่อย่างน้อย 2 ข้อ หนึ่ง คือ สามารถที่จะใช้ประมาณความเสียหายของสินเชื่อในระบบธนาคารของยุโรปได้ดียิ่งขึ้น โดยจากรายงานเมื่อปลายปีที่แล้วของ European Central Bank (ECB) และ Basel Committee on Banking Supervision (BCBS) ประมาณความเสียหายดังกล่าวสำหรับ 2 ปีถัดไปไว้ประมาณ 195,000 ล้านยูโร แต่ถ้าดูตัวเลขความเสียหายของสินเชื่อจากการทดสอบของธนาคารกลางไอร์แลนด์ (ตาราง) จะพบว่าสูงกว่าของ ECB และ BCBS อยู่ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ หากใช้ผลของธนาคารกลางไอร์แลนด์มาประมาณความเสียหายของสินเชื่อในระบบธนาคารยุโรป จะพบว่าความเสียหายสำหรับ 2 ปีถัดไปน่าจะประมาณ 285,000 ล้านยูโร
ประโยชน์ข้อที่สอง นั้น ใช้สำหรับการประมาณความเสียหายของสินเชื่อในสเปน ซึ่งมีระบบธนาคารใหญ่ที่สุดในกลุ่ม PIGS โดยธนาคารกลางของสเปนได้ประเมินตัวเลขความเสียหายของสินเชื่อของธนาคารในสเปนล่าสุดไว้ประมาณร้อยละ 8 ซึ่งต่ำกว่าผลของ Stress Test ของไอร์แลนด์ซึ่งมีความเสียหายอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบของสินเชื่อของประเทศทั้งสอง พบว่ามีความคล้ายคลึงกัน ที่ต่างกันไปบ้าง ก็คือ สินเชื่อรายย่อยประเภทบ้าน ซึ่งสเปนจะมีสัดส่วนสินเชื่อประเภทนี้มากกว่าไอร์แลนด์ ทว่าสินเชื่อดังกล่าวก็มีระดับความเสียหายต่ำกว่าสินเชื่อชนิดอื่น รวมถึงตัวเลขความเสียหายจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของแบงก์ทั้งสองประเทศก็มิได้ต่างกันนัก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำผลการวิเคราะห์ความเสียหายของไอร์แลนด์มาใช้กับสเปน โดยตัวเลขประมาณการความเสียหายของธนาคารรัฐและธนาคารเอกชนของสเปนที่ประเมินโดยบริษัทหลักทรัพย์ Evolution อยู่ที่ 19,000 ล้านยูโร และ 65,000 ล้านยูโรตามลำดับ แต่ถ้านำผลของหนี้เสียในไอร์แลนด์มาใช้กับสเปน ความเสียหายน่าจะสูงกว่านั้นประมาณร้อยละ 20
ต้องบอกว่า วิกฤติยุโรปตอนนี้เหมือนคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรังเข้าไปทุกขณะ ทีมคณะแพทย์ที่รักษาต่างคนต่างลงมือกันไปคนละทาง ก็ได้แต่หวังว่ากลางปีนี้ ผลการทดสอบ Stress Test สถาบันการเงินของยุโรป จะไม่น้อยหน้าของไอร์แลนด์ครับ
หมายเหตุ หนังสือ "สุดมุมคิด : จากวิกฤติสู่สงครามการเงินโลก" ของผู้เขียน วางตลาดแล้ววันนี้ หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือทั่วประเทศ