จากประชาชาติธุรกิจ
ผู้สื่อข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงาน ว่า วันนี้ ( 24 ก.พ.) ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่
ข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่า ด้วยจรรยาของผู้บริหารกระทรวงการคลังเพื่อป้องกันการขัดหรือแย้งระหว่าง ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. 2553
ทั้งนี้ เนื่องจาก กระทรวงการคลังเล็งเห็นความจำเป็นในการวางข้อบังคับสำหรับผู้บริหารกระทรวง การคลังเพื่อป้องกันการขัดหรือแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการระดับผู้บริหารกระทรวงการคลัง เป็นไปด้วยความโปร่งใสมีความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ปราศจากข้อครหาของประชาชนและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและประโยชน์ สูงสุดต่อประชาชน และสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล และหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี จึงวางข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยจรรยา ของผู้บริหารกระทรวงการคลังเพื่อป้องกันการขัดหรือแย้งระหว่างประโยชน์ส่วน ตนและประโยชน์ส่วนรวม
ทั้งนี้ ข้อบังคับนี้ให้ใช้ บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศใช้
โดย “ผู้บริหารกระทรวงการคลัง” หมายความว่า ข้าราชการพลเรือนในสังกัดกระทรวงการคลังตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้นขึ้นไป และตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตำแหน่งเทียบเท่าตามที่สำนักงาน ก.พ. จะกำหนด
สำหรับข้อบังคับที่สำคัญ ประกอบด้วย
1.ผู้บริหารกระทรวงการคลังต้องไม่เป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ผู้บริหาร ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้าง รวมทั้งการรับจ้าง หรือรับทำการงานใด ๆ ในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่อาจขัด หรือแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตนและการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือประกอบธุรกิจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ที่ตนสังกัดหรือมีหน้าที่ในฐานะผู้มีอำนาจกำกับ
ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ของ ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ยกเว้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามที่กระทรวงการคลังมอบหมาย
2. ผู้บริหารกระทรวงการคลังต้องไม่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการ คลัง
ที่ ตนสังกัดหรือมีหน้าที่ในฐานะผู้มีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี ซึ่งจะก่อให้เกิด
การ ขัดหรือแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เว้นแต่การเป็นคู่สัญญาในการ
ให้ บริการของหน่วยงานตามธุรกรรมปกติโดยไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการได้มาซึ่ง สัญญาดังกล่าว
3. ห้ามผู้บริหารกระทรวงการคลังและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ รัฐวิสาหกิจ
หรือ นิติบุคคลโดยได้รับสิทธิพิเศษอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหาร กระทรวงการคลังผู้นั้น
4. ในกรณีผู้บริหารกระทรวงการคลังได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังไปเป็น
กรรมการ หรือผู้แทนกระทรวงการคลังในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคล หากรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลนั้น
ให้ สิทธิการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ในฐานะเป็นกรรมการหรือผู้แทนของกระทรวงการคลัง ให้ผู้บริหาร
กระทรวง การคลังผู้นั้นแจ้งรายละเอียดและเงื่อนไขของหลักทรัพย์ดังกล่าวต่อกระทรวง การคลังภายใน
15 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งจากรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคล
หากกระทรวงการคลังเห็นว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวสอดคล้อง กับนโยบายการถือครองหลักทรัพย์
หรือ นโยบายการลงทุนของรัฐบาลหรือกระทรวงการคลัง ให้ผู้บริหารกระทรวงการคลังโอนสิทธิ
การ ได้มาซึ่งหลักทรัพย์ดังกล่าวแก่กระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการต่อไป
หากกระทรวง การคลังเห็นว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับนโยบายการถือครอง
หลัก ทรัพย์หรือการลงทุนของรัฐบาลหรือกระทรวงการคลัง ผู้บริหารกระทรวงการคลังสามารถใช้สิทธิ
การ ได้มาซึ่งหลักทรัพย์นั้นได้ โดยให้รายงานการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ดังกล่าวตามที่กำหนดในหมวด ๓
5. ผู้บริหารกระทรวงการคลังต้องไม่ใช้ข้อมูลที่ล่วงรู้จาก การปฏิบัติหน้าที่ราชการ
และ เป็นข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผยทั่วไปหรือต่อสาธารณะไปแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตน เองหรือผู้อื่น
6. ในกรณีที่ผู้บริหารกระทรวงการคลังเห็นว่าการปฏิบัติ หน้าที่ของตนและการกระทำ
ของ บุคคลที่เกี่ยวข้องอาจมีการขัดหรือแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ ส่วนรวมตามที่
กำหนด ในข้อบังคับนี้ ให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาทราบในกรณีดังกล่าว เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา
ความ เหมาะสมในการมอบหมายงาน
7. ให้ผู้บริหารกระทรวงการคลังรายงานการถือครองหลักทรัพย์ และรายงานการได้มา
หรือ จำหน่ายไปซึ่งหลักทรัพย์ของตนและบุคคลที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่กำหนด ดังนี้
7.1 กรณีรายงานการถือครองหลักทรัพย์ครั้งแรก ให้รายงานภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่
ข้อ บังคับนี้มีผลใช้บังคับ หรือวันที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่ง หรือวันที่มีการได้มาซึ่งหลักทรัพย์
ครั้ง แรกซึ่งเกิดขึ้นหลังจากวันที่เข้าดำรงตำแหน่ง แล้วแต่กรณี
7.2 กรณีรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือครองหลักทรัพย์อันเนื่องมาจากการได้มาหรือ
จำหน่าย ไปซึ่งหลักทรัพย์ ให้รายงานทุกรายการที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในวันทำการสุดท้ายของเดือน
ถัด จากเดือนที่มีการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งหลักทรัพย์นั้น
7.3 กรณีรายงานการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล ให้รายงานทุกรายการภายในวันทำการสุดท้าย
ของ เดือนถัดจากเดือนที่มีการทำสัญญาการจัดการกองทุนส่วนบุคคล หรือเปลี่ยนแปลงบริษัทจัดการ
หรือ วงเงิน หรือนโยบายการลงทุน หรือเมื่อเลิกสัญญาดังกล่าว