สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๑/๒๕๕๐ ดอกเบี้ยที่จะให้แก่ผู้ที่ได้รับเงินคืนภาษีอากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๒๔๑/๒๕๕๐

                บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)                                                                             โจทก์

                กรมสรรพากร                                                                                                                            จำเลย

ประมวลรัษฎากร  มาตรา  ๓ เตรส, ๔ ทศ, ๒๐, ๒๗ ตรี, ๒๘, ๒๙, ๓๐, ๖๓

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘  มาตรา ๗ (๑) (๓), ๘, ๙

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔, ๓๒๙

กฎกระทรวงฉบับที่ ๑๖๑ (พ.ศ.๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับเงินคืนภาษีอากร

 

                แม้คดีก่อนคือคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑ ของศาลภาษีอากรกลางกับคดีนี้จะเป็นมูลคดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๓๐ เหมือนกัน และคู่ความเป็นคู่ความเดียวกัน  แต่ คดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำ วินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ อันเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานหรือคณะกรรมการตามกฎหมายเกี่ยว กับภาษีอากรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๗ (๑)  ซึ่งโจทก์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๐ และ ๒๘ ถึง ๓๐ แห่งประมวลรัษฎากรเสียก่อน คือโจทก์ต้องอุทธรณ์คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว จึงจะฟ้องคดีในศาลภาษีอากรได้ตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา ๘  และคดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องหรือไม่  ส่วนคดีนี้คำฟ้องโจทก์อ้างว่า ผลแห่งคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑ ทำให้โจทก์มีสิทธิได้เงินดอกเบี้ยที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๕/๒๕๓๘ คืนจากจำเลย จึงขอบังคับจำเลยให้คืนเงินจำนวนนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย  เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑ ทำให้สิทธิหน้าที่ของโจทก์จำเลยตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๕/๒๕๓๘ เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พิพาทกันมาในคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑   สำหรับคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ส่วนที่ขอบังคับจำเลยให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของเงินภาษีอากร พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดอกเบี้ยนั้น  เป็นเรื่องสืบเนื่องจากการขอคืนเงินภาษีอากรอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา ๗ (๓) ซึ่งโจทก์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กำหนดตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๓ เตรส  ประกอบมาตรา ๖๓ และมาตรา ๒๗ ตรี  โดยโจทก์ต้องยื่นคำร้องขอคืนตามแบบที่อธิบดีกำหนดจึงจะฟ้องคดีในศาลภาษีอากรได้ตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา ๙  ซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องส่วนนี้ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของเงินภาษีหรือไม่  กับมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของดอกเบี้ยนั้นหรือไม่  อันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับที่โจทก์ได้ฟ้องมาในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑  หลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ปฏิบัติก็แตกต่างกัน  สิทธิในการนำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรก็แตกต่างกัน  แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑ ขอบังคับจำเลยคืนเงินค่าภาษีอากรและศาลนั้นมีคำพิพากษาให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรแก่โจทก์  ก็ไม่ทำให้คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑          

 

                มาตรา ๔ ทศ แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายสั่งให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ... และกฎกระทรวงฉบับที่ ๑๖๑ (พ.ศ.๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับเงินคืนภาษีอากร มีความว่า

 

                ข้อ ๑ ดอกเบี้ยที่จะให้แก่ผู้ที่ได้รับเงินคืนภาษีอากร ให้คิดดังต่อไปนี้ ...

 

                ข้อ ๒ การคิดดอกเบี้ยตามข้อ ๑ จะคิดให้ต่อเมื่อได้มีการยื่นแบบแสดงรายการหรือคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรภาย ในเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือภายในเวลาที่ได้รับการขยายหรือเลื่อนให้ ...   เมื่อภาษีรายพิพาทเป็นภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๓๐ โดยโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนด  โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนภาษีเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๓๒  ซึ่งไม่เกินเวลาตามที่กฎหมายกำหนด  โดยโจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์  และนำคดีฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางตามที่กฎหมายกำหนด  ตลอดจนยื่นคำร้องขอคืนภาษีต่อจำเลยภายในสามปีนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด  อันเป็นการปฏิบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๑ (พ.ศ.๒๕๒๖) แล้ว  โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนตามมาตรา ๔ ทศ แห่งประมวลรัษฎากร

 

                คำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๕/๒๕๓๘ ที่ให้โจทก์ใช้เงินจำนวน ๕๐,๖๗๗,๙๐๕.๔๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วยเหตุว่ามีข้อตกลงตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยว่า โจทก์ขอรับคืนเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยก่อนหากเจ้าพนักงานจำเลยตรวจสอบแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับคืนเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์ยินยอมคืนเงินนั้นให้แก่จำเลย  โจทก์จึงมีหน้าที่คืนเงินนั้นแก่จำเลยตามสัญญา  กรณีเป็นการบังคับตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย  ดังนี้แม้ต่อมาศาลจะมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑ ให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์อันมีผลให้จำเลยต้องคืนเงินภาษีอากรเพียงจำนวน ๓๓,๘๖๑,๒๔๑.๙๘ บาท  ก็เป็นข้อพิพาทคนละส่วนกัน เพราะภาษีอากรที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์นั้น  มาตรา ๔ ทศ แห่งประมวลรัษฎากรได้บัญญัติให้โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย  อันเป็นทางเยียวยาความเสียหายของโจทก์ที่อาจมีจากการได้รับคืนเงินภาษีอากรล่าช้าอยู่แล้ว  โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยรับเงินดังกล่าวจากโจทก์โดยไม่มีสิทธิ  และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

 

                ที่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดอกเบี้ยที่คำนวณในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนจำนวน ๓๓,๘๖๑,๒๔๑.๙๘ บาท ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๙๐/๒๕๔๑  นั้นขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคสองที่บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดโดยชัดแจ้ง และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๙ บัญญัติว่า ถ้านอกจากการชำระหนี้อันเป็นประธาน ลูกหนี้ยังจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและเสียค่าฤชาธรรมเนียมอีกด้วยไซร้ หากการชำระหนี้ในครั้งหนึ่งๆ ไม่ได้ราคาเพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมด ท่านให้เอาจัดใช้เป็นค่าฤชาธรรมเนียมเสียก่อนแล้วจึงใช้ดอกเบี้ย และในที่สุดจึงให้ใช้ในการชำระหนี้อันเป็นประธาน

 

                ถ้าลูกหนี้ระบุให้จัดใช้เป็นประการอื่น ท่านว่าเจ้าหนี้จะบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ได้บทกฎหมายนี้มีความชัดเจนตามตัวอักษรโดยไม่ต้องมีการอธิบายขยายความอย่างใดๆ เมื่อโจทก์ยอมรับการชำระเงินจำนวน ๓๓,๘๖๑,๒๔๑.๙๘ บาท ของจำเลยว่าเป็นการชำระต้นเงินโดยไม่บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ของจำเลยตามสิทธิของโจทก์  โจทก์ก็คงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระดอกเบี้ยที่จำเลยยังไม่ได้ชำระเท่านั้น  หาทำให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าวกลายเป็นต้นเงินและทำให้เกิด สิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะเรียกดอกเบี้ยจากเงินดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นไม่

 

 

สิทธิโชค  เอียดทวี / ย่อ

สุวัฒน์  ไวยุพัฒนธี / ตรวจ

จากเวปไซต์ศาลภาษีอากรกลาง