ศาลวินิจฉัยว่า ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ให้อำนาจอธิบด ีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางโดยอนุมัติประธานศาลฎีกาออกข้อกำหนดใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาและการรับฟังพยานหลักฐานใช้บังคับในศาลภาษี อากรได้ เพื่อต้องการให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยสะดวกรวดเร็วและเที่ยงธรรม และตามข้อ 15 ของข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2544 ระบุว่า ในกรณีที่มีการชี้สองสถาน เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใด หรือคำเบิกความของพยานคนใด หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจสอบบุคคล วัตถุ สถานที่ หรืออ้างอิง ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้งเพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่ น้อยกว่า 30 วัน ซึ่งบัญชีระบุพยาน
ถ้าคู่ความมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ คู่ความดังกล่าวนั้นอาจยื่นคำร้องพร้อมทั้งบัญชีระบุพยานและสำเนาในจำนวนที่ เพียงพอไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนพิพากษาคดี ขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้น และถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดย เที่ยงธรรม จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานวันที่ 24 ม.ค. 2548 เจ้าพนักงานศาลนำหมายนัดชี้สองสถานไปส่งให้ทนายโจทก์วันที่ 27 ต.ค. 2547 แต่ไม่พบ จึงปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล ถือว่าโจทก์ได้ทราบวันนัดชี้สองสถานโดยชอบแล้ว
โจทก์จะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่โจทก์เพิ่งยื่นบัญชีระบุพยานในวันที่ 24 ม.ค. 2548 ซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถานโดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน จึงเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานที่เกินกำหนดเวลา ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ จึงชอบด้วยข้อกำหนดคดีภาษีอากรแล้ว
ดังนั้น การยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารของโจทก์จึงไม่อาจถือเป็นการ ยื่นบัญชีระบุพยานได้ เมื่อคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของศาลภาษีอากรกลางชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้ง 5 จึงชอบด้วยกฎหมายด้วย เพราะเมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ เมื่อศาลภาษีอากรกลางเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์และจำเลย ทั้ง 5 ศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้ง 5 ได้
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่าโจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อมาใช้คำนวณภาษี มูลค่าเพิ่มโดยมิชอบ จึงเป็นกรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ถูกต้องตาม ความเป็นจริง และเจ้าพนักงานประเมินได้ขออนุมัติประเมินภาษีโจทก์ตามแบบขออนุมัติใช้อำนาจ การประเมินตามมาตรา 88/6 วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร แม้การอนุมัติให้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2546 และการแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2546 จะเป็นเวลาภายหลังจากครบกำหนด 2 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์ สำหรับเดือนภาษีดังกล่าว แต่เมื่อยังอยู่ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันดังกล่าว จึงเป็นการประเมินโดยชอบและอำนาจทำการประเมินภาษีอากรเป็นของเจ้าพนักงาน ประเมินโดยตรง ไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจให้ประเมินเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมสรรพากรอีก
หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มได้ระบุถึงอำนาจตามกฎหมายที่เจ้า พนักงานประเมินใช้ในการประเมินภาษีโจทก์กับระบุยอดขายและภาษีขาย ยอดซื้อและภาษีซื้อ ภาษีที่โจทก์ชำระตามแบบแสดงรายการที่ยื่นไว้ เปรียบเทียบกับที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบ และจำนวนภาษีที่โจทก์ต้องชำระเพิ่ม และได้ระบุถึงสาเหตุในการประเมินไว้แล้วว่า โจทก์นำใบกำกับภาษีปลอมมาใช้ในการเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่ม มูลค่าสินค้า 383,922 บาท เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 26,874.54 บาท
ส่วนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้ให้เหตุผลไว้แล้วครบ ถ้วน ทั้งข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ หนังสือ แจ้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
จาก POST TODAY