สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ริชาร์ด เฟลมมิ่ง กู๊ดเยียร์จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง/คอลัมน์หลังรอยล้อ

จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :พิสันต์ อิทธิวัฒนกุล:


ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญขึ้นภาย ในองค์กรของบริษัทสัญชาติอเมริกันอย่างกู๊ดเยียร์ เมื่อมีการผลักดันผู้บริหารชาวไทยอย่าง ก้องเกียรติ ทีฆมงคล จากตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายบริหารธุรกิจ ก้าวสู่การเป็นกรรมการผู้จัดการคนไทยคนแรกของกู๊ดเยียร์ หลังจากที่มีการเข้ามาลงหลักปักฐานในประเทศไทยกว่า 41 ปี

ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่หากใครเคยได้สนทนากับ ริชาร์ด เฟลมมิ่ง อดีตกรรมการผู้จัดการ กู๊ดเยียร์ อาเซียนและประเทศไทย ที่ในปัจจุบันลดตำแหน่งลงไปเหลือเพียงกรรมการผู้จัดการ กู๊ดเยียร์ อาเซียน ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จะจำกันได้ว่านี่คือการดำเนินการตามแผนงานที่วางเอาไว้ล่วงหน้า

 

เฟลมมิ่ง
เฟลมมิ่งประกาศเอาไว้เมื่อ ตอนที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ว่าจะมีการผลักดันคนท้องถิ่นในทุกประเทศเข้ามาดูแลธุรกิจในแต่ละประเทศ เนื่องจากมั่นใจว่าคนของประเทศนั้นๆ จะมีความเข้าใจถึงความต้องการของผู้คนในแต่ละประเทศมากกว่า

ก่อนที่เฟลมมิ่งจะประกาศส่งมอบตำแหน่งเพียงไม่กี่อาทิตย์ โพสต์ทูเดย์มีโอกาสได้พบปะกับอดีตนายใหญ่ของประเทศไทยคนนี้เพียงช่วงเวลา สั้นๆ ซึ่งเฟลมมิ่งก็เล่าให้ฟังถึงทิศทางของการทำตลาดกู๊ดเยียร์ในประเทศไทยเอาไว้ อย่างน่าสนใจ และเป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่ากู๊ดเยียร์กำลังปรับตัวเข้าสู่ทิศทางในการเป็นคู่ แข่งรายสำคัญในตลาดยางรถยนต์อย่างแท้จริง

“หากย้อนกลับไปในอดีต ที่ผ่านมาเรามีช่วงที่ยอดจำหน่ายตกลงไป แต่เราก็เริ่มพัฒนามาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทีมบริหารที่เด็กขึ้น ทีมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่มีคนเข้ามาดูแลมากขึ้นในระดับภูมิภาค ผมอยู่ที่นี่มาเกือบ 3 ปี ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่เราเริ่มเงยหัวกลับมาได้อีกครั้ง 2-3 ปีจากนี้ไปจะเป็นช่วงที่เราเริ่มเติบโตขึ้นมาได้อีกครั้ง เรียกว่าเรากลับมาอีกครั้งก็คงไม่ผิด”

เขาให้เหตุผลถึงการผลักดันผู้บริหารท้องถิ่นขึ้นมาดูแลในประเทศว่า นโยบายหลักของเขาก็คือการให้ผู้บริหารชาตินั้นดูแลบริษัทท้องถิ่นแต่ละแห่ง ไปเลย เพราะคนท้องถิ่นจะเข้าใจอะไรได้ดีกว่ามาก นอกจากนี้ก็จะต้องเปิดโอกาสให้ทีมงานผู้หญิงเข้ามาทำงานมากขึ้น ซึ่งโดยมุมมองของเราจะมองว่าแนวคิดของผู้หญิงและผู้ชายจะแตกต่างกัน ก็เลยอยากได้เรื่องพวกนี้มาแชร์ความคิดกันไป

เฟลมมิ่ง บอกว่า สิ่งที่กู๊ดเยียร์พยายามจะสร้างก็คือการสร้างบรรยากาศที่ว่ากู๊ดเยียร์เป็น องค์กรที่สร้างโอกาส ซึ่งที่ผ่านมาในอาเซียนเองก็มีผู้หญิงที่ก้าวขึ้นมาดูแลการตลาด ไฟแนนซ์ หรือแม้แต่งานบุคลากร รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้กับเพศที่สามมากขึ้น ซึ่งอยากให้ภาพของการเป็นองค์กรที่มีแต่ชาวต่างชาติบริหารงานเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันกลับมามองที่ตลาดประเทศไทย เฟลมมิ่งบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่มีคู่แข่งเข้ามาลงหลักปัก ฐานในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้การแข่งขันและจำนวนคู่แข่งเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความต้องการของลูกค้าก็จะปรับตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาด

ขณะเดียวกัน พฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยก็เปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่าคนไทยขับรถช้าลงและระมัดระวังกันมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาในการทำการตลาดแต่ละครั้ง

นอกเหนือจากการพัฒนาตัวสินค้าใหม่ๆ สำหรับตลาดประเทศไทยแล้ว เฟลมมิ่งบอกว่าสิ่งที่คนไทยจะได้เห็นอย่างแน่นอนก็คือช็อปรูปแบบใหม่ที่ เรียกว่ากู๊ดเยียร์ ออโต้แคร์ ร้านค้าที่จะเปลี่ยนความคิดของผู้บริโภคจากร้านจำหน่ายยางธรรมดา ด้วยสินค้าและการให้บริการที่เหนือกว่าร้านจำหน่ายยางแบบเดิมๆ ซึ่งจะเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญสำหรับร้านค้ายางทุกรูปแบบในประเทศไทย

“ถ้าถามว่าทำไมเราต้องเปลี่ยนจากอีเกิลสโตร์ ผมมองว่าอีเกิลสโตร์มันค่อนข้างเก่า 9 ปีที่ผ่านมาพฤติกรรมของลูกค้าก็เปลี่ยนไปมาก ซึ่งเราเชื่อว่าการเพิ่มอะไรใหม่ๆ เข้าไปเพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเป็น การเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีให้กับลูกค้า และเราก็คาดหวังว่าเครือข่ายร้านขายยางแบบเดิม ทั้งของอีเกิลสโตร์และแบรนด์อื่นๆ จะเปลี่ยนมาเป็นกู๊ดเยียร์ ออโต้แคร์ กันมากขึ้นในอนาคต”

เมื่อถามเรื่องการปรับฐานการผลิตในโรงงานที่ประเทศไทย เฟลมมิ่งบอกว่ากู๊ดเยียร์เองมีพันธสัญญาทั่วโลกในการหาสินค้าที่ดีมาตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด และมีการจัดหาผลิตภัณฑ์จากทั่วโลกอยู่แล้ว การปิดโรงงานในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ผ่านมาไม่ได้ถือว่ามีปัญหา แต่เป็นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ ก็เลยปิด และหันไปเปิดโรงงานขนาดใหญ่ในจีนแทน

ในส่วนของอาเซียนที่มีโรงงานที่ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์นั้น ขณะนี้มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตในอินโดนีเซีย รวมไปถึงการลงทุนเพื่อปรับปรุงโรงงานในประเทศไทยให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของยางเครื่องบิน ซึ่งโรงงานไทยเป็นโรงงานไม่กี่แห่งในโลกนี้ที่สามารถทำได้ และไทยเป็นโรงงานแห่งเดียวในเอเชีย ทำให้ตัดสินใจขยายเพื่อรองรับธุรกิจการบิน ในอนาคต

“ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่ แต่หากมองไป ข้างหน้าอีก 5 ปี สายการบินราคาถูกทั้งหลายจะทำให้คนในภูมิภาคนี้เดินทางด้วยเครื่องบินกันมาก ขึ้น ทำให้เราตัดสินใจเดินหน้าขยายโรงงานในประเทศไทย ด้วยการหาเครื่องจักรในการผลิตที่ดีที่สุดในโลกเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งโรงงานในประเทศไทยจะมีบทบาทมากขึ้นในเรื่องเหล่านี้”

ในส่วนของยางรถยนต์นั้น เฟลมมิ่ง บอกว่าสิ่งที่ต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่องก็คือ การหาสินค้าคุณภาพที่ดี ในราคาจำหน่ายที่เหมาะสมเข้ามารองรับความต้องการของลูกค้าชาวไทย เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยมีความต้องการสินค้าที่ดีที่สุด ในราคาที่ถูก ที่สุดเสมอ ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าเทคโนโลยี ในการผลิตยางรถยนต์ของทุกบริษัทไม่ แตกต่างกัน แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพลิกแพลงในการทำตลาดของแต่ละค่ายว่าใครจะใช้ได้ดีกว่า

เฟลมมิ่ง สรุปว่า การประสบความสำเร็จในตลาดยางรถยนต์นั้น เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างกันแล้ว สิ่งที่จะมาตัดสินกันก็คือ หนึ่ง การวางตำแหน่งสินค้าและการจัดการ สอง การจับคู่ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างประสบการให้กับลูกค้า ซึ่งหากใครสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีกว่าก็เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จได้ใน ตลาดยางรถยนต์ประเทศไทย

และทั้งหมดนี้ก็คือคำให้การสุดท้าย ก่อนเดินออกจากตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด ในประเทศไทย และหันไปกุมบังเหียน ระดับภูมิภาคต่อไปเพียงตำแหน่งเดียว ของริชาร์ด เฟลมมิ่ง ที่สร้างผลงานให้ 3 ปีที่ผ่านมา กู๊ดเยียร์กลับมาเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องใน ประเทศไทย

และหวังว่าอีก 2-3 ปีนับจากนี้ กู๊ดเยียร์จะกลับมาเป็นคู่แข่งที่เข้มแข็งมากขึ้น สำหรับตลาดยางรถยนต์ในประเทศไทย และท้าทายผู้ผลิตรายอื่นๆ อย่างจริงจังเสียที!!!

view