จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"จุลสิงห์"แถลงนโยบายบริหารงานให้กับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ เน้นเป็นกลาง เที่ยงธรรม
สำนัก งานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก-นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดคนใหม่ ได้แถลงนโยบายการบริหารงานให้กับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยมีรองอัยการสูงสุด อธิบดีอัยการ รองอธิบดีอัยการทั้งส่วนกลางส่วนภูมิภาคและเจ้าหน้าที่กว่า 100 คน เข้าร่วมรับฟัง โดยมีการแพร่ภาพโดยระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ไปยังสำนักงานอัยการทั่วประเทศ ด้วย ก่อนเริ่มแถลงนโยบายพระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภาได้ให้ผู้แทนพระองค์นำกระเช้า ดอกไม้มาแสดงความยินดีกับนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ในโอกาสได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นอัยการสูงสุดคน ใหม่ นำความปลาบปลื้มแก่นายจุลสิงห์อย่างยิ่ง
นายจุลสิงห์ กล่าวว่า วันนี้กระบวนทำความเห็นการสั่งคดีของอัยการค่อนข้างมีการพิจารณากลั่นกรอง ตามลำดับชั้นอย่างพอสมควร แต่การดำเนินคดีในชั้นศาลหลังจากที่มีคำสั่งฟ้องแล้ว ตนเห็นว่าควรจะต้องนำอัยการอาวุโสเข้ามาเป็นที่ปรึกษา หรือพี่เลี้ยงให้กับอัยการที่ทำหน้าที่ว่าความ เพราะโดยปกติในการว่าความก็จะมีอัยการรับผิดชอบสำนวน 1 คน ดังนั้นเพื่อความรัดกุม และรอบครอบ ควรจะนำอัยการอาวุโสที่มีประสบการณ์มาช่วยเป็นพี่เลี้ยง เพราะอัยการไม่ใช่มีหน้าที่แค่ทำความเห็นแล้วสั่งฟ้อง แต่จะต้องติดตามดำเนินการว่าความในชั้นศาลให้เรียบร้อยให้สมกับที่อัยการได้ มีคำสั่งฟ้องคดีนั้นๆไป
นายจุลสิงห์ กล่าวว่า วันนี้บ้านเมืองแบ่งเป็นสองฝ่าย ดังนั้นอัยการจะต้องมีความเป็นกลาง มีความนิ่งให้ได้มากที่สุด เคยมีอดีตอัยการสูงสุด พูดไว้ว่าอัยการต้องยืนอยู่ข้างประชาชน แต่เมื่อวันนี้ประชาชนแบ่งเป็นฝักฝ่าย เราต้องคิดว่าแล้วเราจะทำยังไง ซึ่งถ้อยคำในรัฐธรรมนูญที่ใช้กับอัยการเขียนไว้ว่าเที่ยงธรรมเป็นกลางดัง นั้นอัยการจะต้องยึดหลักยุติธรรมและเป็นธรรมให้ได้ ตามรัฐธรรมนูญอัยการถือว่ามีความอิสระในการสั่งคดีและฟ้องคดีตามพยานหลักฐาน ที่มีอยู่ อัยการต้องยึดหลักดังกล่าวนำมาปฏิบัติ
แม้ว่าบ้านเมืองจะเป็นฝักฝ่ายแล้วอัยการที่มาทำคดีสำคัญจะมีความกดดัน แต่เราต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ให้มีเหตุผลให้เป็นที่ยอมรับได้ และให้ทัดเทียมกับการตัดสินคดีของตุลาการ โดยคำสั่งคดีของอัยการต้องเป็นที่ยอมรับและตรวจสอบได้ และในยุคที่มีกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของทางราชการ การสั่งคดีของอัยการก็ย่อมเป็นที่เปิดเผยได้ในหลักการ
อัยการสูงสุด ยังกล่าวถึงบทบาทของอัยการเกี่ยวกับการพิจารณาคดีอาญาว่า ปกติบทบาทของอัยการอยู่ตรงกลางระหว่างตำรวจกับศาล ขณะที่ในปัจจุบันอัยการก็มีหน้าที่จะต้องร่วมสอบสวนคดีอาญามากขึ้น ทั้งจากปัจจัยด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีความทันสมัยขึ้น และปัจจัยการกระทำความผิดของผู้ต้องหาซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักร แต่สามารถใช้โทรศัพท์ หรือเทคโนโลยีสร้างความเสียหายให้กับผู้เสียหายที่อยู่ในประเทศ
ดังนั้นการพิจารณาคดีทางอาญาจึงเป็นงานหลักของอัยการที่จะต้องทำคดีให้มี มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ ส่วนคดีแพ่ง คดีปกครองนั้นการสั่งคดีและการบังคับคดีจะต้องทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การตรวจร่างสัญญาต่างที่หน่วยงานรัฐส่งมาให้อัยการ ช่วยพิจารณาข้อกฎหมายก็จะต้องทำให้ทันเวลา ขณะที่การจ่ายสำนวนให้กับอัยการดูแลนั้น ในส่วนของอธิบดีอัยการ อัยการฝ่าย หรืออัยการจังหวัดที่เป็นผู้บริหาร ควรจะต้องนำสำนวนนั้นมาอ่าน แล้วพิจารณาความสามารถให้เหมาะสมกับความสามารถและความเชี่ยวชาญของอัยการ ท่านนั้น
นายจุลสิงห์ กล่าวว่า ในส่วนของการบังคับคดีทางแพ่ง เมื่อปี 2550 จากสถิติพบว่าคดีแพ่งที่ยื่นฟ้องอัยการชนะคดีรวมทุนทรัพย์ประมาณ 2,700 ล้านบาท แต่การบังคับคดีทำได้เพียง ร้อยละ 2.7 เท่านั้น เนื่องจากบางครั้งหน่วยงานรัฐเมื่อชนะคดีแล้ว ก็ยังไม่ดำเนินการบังคับคดีโดยทันที หรือบางครั้งการบังคับคดีก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของบุคคลจึงทำให้ไม่อยาก ติดตามบังคับคดีโดยเร็ว จึงเห็นว่าการบังคับคดียังขาดประสิทธิภาพอยู่ ตนจะดำเนินนโยบายการบังคับคดีตามที่ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด มีนโยบายไว้ โดยอัยการหลังจากทำหน้าที่ฟ้องคดีแล้วจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานให้หน่วย ราชการดำเนินการบังคับคดี และเป็นตัวเร่งในการดำเนินการบังคับคดีด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ใช่การนำอัยการเข้าไปเป็นผู้นำยึดทรัพย์ เพราะหน้าที่การนำยึดทรัพย์นั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่อัยการจะร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
นายจุลสิงห์ กล่าวด้วยว่า ตนยังมีแนวคิดที่จะให้อดีตอัยการสูงสุด เช่นนายชัยเกษม เข้ามาเป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยง ให้กับทีมอัยการที่จะดูแลการพิจารณาสั่งคดี ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อสำนักงานอัยการสูงสุด
สำหรับนโยบายการบริหารงานของนายจุลสิงห์ ที่แถลงต่อข้าราชการอัยการทั่วประเทศมีทั้งหมด 9 ข้อ ประกอบด้วย 1 .พัฒนาการอำนวยการความยุติธรรมทางอาญา ทั้งการวินิจฉัยสั่งคดี และการดำเนินคดีชั้นศาลให้มีมาตรฐาน ความเป็นกลาง เที่ยงธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นหน่วยงานอันเป็นที่พึ่งสำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา พัฒนาการกำกับดูแลการสอบสวน และเพิ่มบทบาทของพนักงานอับการในการสอบสวนคดีอาญา
2.พัฒนาการดำเนินคดีแพ่ง คดีปกครอง และการให้คำปรึกษาหารือกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็วทันต่อเวลา ตลอดถึงพัฒนาระบบการบังคับคดี รักษาผลประโยชน์ของรัฐให้บังเกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม
3.ส่งเสริมงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนให้เป็นหลัก ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และการคุ้มครองผู้บริโภค เพิ่มบทบาทการต่อต้านการค้ามนุษย์ภายใต้พันธกรณีระหว่างประทศโดยเน้นการทำ งานเชิงรุก
4.พัฒนาบทบาทของสำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
5.บริหารงานด้วยหลักธรรมภิบาลตามแนวทางการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติงานรับฟังความคิดเห็นของบุคลากรใน องค์กรก่อนตัดสินใจ มีระบบประเมินผลที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการบริหารงาน
6.พัฒนาศักยภาพการทำงานของพนักงานอัยการสู่ระดับสากล และสร้างคลังสมองให้เกิดการพัฒนาผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน โดยพัฒนาการทำงานของข้าราชการธุรการ และบุคลาการควบคู่กันไป พร้อมทั้งจัดหาทุนการศึกษา เพื่อพัฒนาการปฏิบัติราชการในทุกระดับชั้น
7. พัฒนางานวิจัยงานพัฒนากฎหมาย การยกร่าวงกฎหมาย และการชี้แจงร่างกฎหมายให้มีประสิทธิภาพอย่างมืออาชีพ
8. ยกระดับมาตรฐานสวัสดิการ คุณภาพชีวิต และครอบครัวของข้าราชการอัยการ ข้าราชการธุรการ และบุคลาการอื่น ให้เหมาะสมกับตำแหน่ง
9.ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางสังคม ตลอดจนประชาสัมพันธ์ภารกิจและผลงานของสำนักงานอัยการสูงสุดให้สังคมรับทราบ อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องกัน