จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
คำฟ้องคดีแพ่งสืบเนื่องจากคดีลอบ สังหารประธานศาลฎีกา ยื่นฟ้องวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔ ศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ ๓๔๕๖/๒๕๕๔ ความแพ่ง ระหว่าง นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่ ๑, นางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ ที่ ๒ โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ ๑, สำนักงานอัยการสูงสุดที่ ๒, สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓ จำเลย ข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิด เรียกค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
คำฟ้องคดีแพ่งสืบเนื่องจากคดีลอบสังหารประธานศาลฏีกา
ยื่นฟ้องวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔
ศาลแพ่ง
คดีหมายเลขดำที่ ๓๔๕๖/๒๕๕๔ ความแพ่ง
ระหว่าง นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่ ๑, นางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ ที่ ๒ โจทก์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ ๑, สำนักงานอัยการสูงสุดที่ ๒ ,
สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓ จำเลย
ข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิด เรียกค่าเสียหาย
จำนวนทุนทรัพย์ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑ .โจทก์ที่ ๑ เป็นข้าราชการบำนาญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบอาชีพเป็นสถาปนิก และยังเป็นนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างอาคารและสร้างบ้านพักอาศัยขายแก่ประชาชนทั่วไป มีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน กำลังเจริญรุ่งเรืองในทางทำมาหาได้ และเกียรติคุณของตน มีบริษัทที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายบริษัท
โจทก์ที่ ๒ เป็น ภริยาของโจทก์ที่ ๑ ในขณะเกิดเหตุละเมิด เป็นข้าราชการตุลาการกำลังเจริญรุ่งเรืองในตำแหน่งหน้าที่ของตน ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ
จำเลยที่ ๑ เป็นส่วนราชการ มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ คือ ดูแลควบคุมและกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ ซึ่งปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดอาญา, รักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของราชอาณาจักร, ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๖ มีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นหัวหน้าส่วนราชการตามมาตรา ๑๑ และเป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามมาตรา ๑๔(๓) เดิมในขณะที่เริ่มเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ เป็นกรมตำรวจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้แทนกรมตำรวจ ซึ่งขณะนั้น พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และเป็นผู้บังคับบัญชา พล.ต.ต.สมบัติ อมรวิวัฒน์ พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ พ.ต.อ.สติ ตูวิเชียร พ.ต.อ.เฉลิม สิตานนท์ พ.ต.อ.รังสรรค์ ชำนาญหมอ พ.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย พ.ต.ท.ทัศนัย ศิริสนธิ พ.ต.ท.การุณ จิตรภักดี พ.ต.ท.ประพันธ์ เนียรภาค พ.ต.ต.ทวี สอดส่อง พ.ต.ต.ชนะชัย ลิ้มประเสริฐ ร.ต.อ.การุณ อิงประสาร ร.ต.อ.ประวุธ วงศ์สีนิล ฯลฯ
จำเลยที่ ๒ เป็น ส่วนราชการที่มีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่นและเป็นนิติบุคคล โดยมีอัยการสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชาและเป็นผู้แทนนิติบุคคลให้ข้าราชการ ฝ่ายอัยการสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๗ “ข้าราชการฝ่ายอัยการ” หมายความว่า ข้าราชการฝ่ายอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ “พนักงานอัยการ” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพนักงานอัยการตามพระราชบัญญัตินี้ ตามมาตรา ๔ เดิมในขณะที่เริ่มเกิดเหตุละเมิด จำเลยที่ ๒ เป็นกรมอัยการ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีอธิบดีกรมอัยการเป็นผู้แทนกรมอัยการ ในขณะเกิดเหตุมี นายสหาย ทรัพย์สุนทร นายวรท ศรีไพโรจน์ และนายธวัชชัย ชำนาญหล่อ เป็นพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาสำนวนสั่งฟ้องคดีและดำเนินคดี
จำเลยที่ ๓ มีฐานะเป็นกระทรวงและเป็นนิติบุคคล มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลมีอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะ รัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม และจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ดูแลกำกับบังคับบัญชาหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
ข้อ ๒.เมื่อระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๕ มาจนถึงปัจจุบันนี้ จำเลยทั้งสามโดยข้าราชการในสังกัดของจำเลยทั้งสาม ได้ร่วมกับประชาชนที่ตนมีอำนาจสั่งการ หรือบังคับให้กระทำการใดๆได้ ร่วมกันจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำผิดกฎหมายให้โจทก์ทั้งสอง และครอบครัวให้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว และได้ร่วมกันไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ทำให้เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ทั้งสอง เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ ทางเจริญของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสามต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสอง โดยมีการกระทำละเมิดที่สำคัญดังต่อไปนี้
กล่าวคือ นับแต่เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๓๕ ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ตำรวจในสังกัดของจำเลยที่ ๑ เช่น พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ, พล.ต.ต.สมบัติ อมรวิวัฒน์, พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ, พ.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย, พ.ต.ท.ทัศนัย ศิริสนธิ, พ.ต.ต.ทวี สอดส่อง, ร.ต.อ.ประวุธ วงศ์สีนิล, ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์, พ.ต.อ.รังสรรค์ ชำนาญหมอ, พ.ต.ท.ประพันธ์ เนียรภาค, พ.ต.อ.สติ ตูวิเชียร ยศและตำแหน่งในขณะนั้น และข้าราชการตำรวจอีกหลายนายได้ปฏิบัติในอำนาจหน้าที่ราชการ ได้ทำการสืบสวนและสอบสวน โดยร่วมสมคบกับราษฎรจำนวนหลายคน เช่น นายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกา, นายบรรเจิด จันทนะเปลิน, นายประทุม สุดมณี, นายบำรุง ชัยเมือง ฯลฯ เป็นต้น โดยร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกล่าวหาโจทก์ทั้งสองว่าการกระทำความผิด อาญา โดยจะทำการลอบฆ่านายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกา โดยมีเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งสองได้รับโทษทางอาญามีโทษถึงจำคุก โดยปรักปรำโจทก์ทั้งสองจากมูลเหตุหลายมูลเหตุที่อ้างขึ้นมา แล้วแบ่งงานกันทำเป็นขั้นตอนเป็นตอนเพื่อให้เห็นว่ามีเหตุการณ์ลอบสังหาร นายประมาณ ชันซื่อ จริง โดยอ้างเอาสาเหตุ จาการที่ นายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกา มีความโกรธและไม่พอใจโจทก์ที่ ๑ มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๓๕ หรือก่อนหน้านั้น เพราะหนังสือพิมพ์ข่าวพิเศษปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๘๐๒(๙๓) ๒๓ ต.ค.-๒๙ ต.ค.๒๕๓๕ หน้า ๑๘ ถึงหน้า ๒๐ บทความโดยปิยนาท วรศิริ ได้นำเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับโจทก์ที่ ๑ ไปลงข่าวพิเศษฉบับต้นเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ โดยมิได้เป็นการให้สัมภาษณ์และโจทก์ที่ ๑ ไม่ได้ประสงค์ให้นำเรื่องที่พูดคุยกันนั้นไปลงเป็นข่าว แต่นักข่าวก็ได้นำไปลงข่าวในหัวข้อว่า “รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เปิดใจ ใครก่อปัญหาตุลาการ” โดยบทความตีพิมพ์ เสนอว่า โจทก์ที่ ๑ ออกความเห็นวิจารณ์เกี่ยวกับวงการตุลาการความประพฤติ และคุณสมบัติของนายประมาณ ชันซื่อ รวมทั้งการทวนพระราชกระแสในการแต่งตั้ง ประธานศาลฎีกา ซึ่งบทความที่ตีพิมพ์คำวิจารณ์ของโจทก์ที่ ๑ ที่นักข่าวนำไปลงนั้น ไปกระทบต่อ นายประมาณ ชันซื่อ อย่างร้ายแรง ทำให้นายประมาณ ชันซื่อ และพวกไม่พอใจโจทก์ที่ ๑ เป็นอย่างมาก หนังสือพิมพ์ดังกล่าวได้ขายทั่วราชอาณาจักร ทำให้เรื่องที่โจทก์ที่ ๑ ที่กล่าวถึงวงการตุลาการและนายประมาณเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักร เป็นที่เสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง (ปรากฏตามภาพหนังสือพิมพ์ข่าวพิเศษปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๘๐๒ (๙๓) ๒๓ ต.ค.-๒๙ ต.ค. ๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๘ - ๒๐ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑)
จากบทความที่ตีพิมพ์ของหนังสือข่าวพิเศษดังกล่าว เป็น เหตุให้นายประมาณ ชันซื่อ มีความโกรธแค้นโจทก์ที่ ๑ นายประมาณ ชันซื่อ ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจและความโกรธที่มีต่อโจทก์ที่ ๑ โดยให้การต่อพนักงานสอบสวนในในเวลาต่อมา โดยนำไปอ้างเป็นสาเหตุการจ้างฆ่านายประมาณว่า “ ดังจะเห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ข่าวพิเศษรายสัปดาห์ ฉบับที่ ๘๐๒ ลงวันที่๒๓-๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ มีข้อความโจมตีข้าฯอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงทั้งสิ้นในฐานะที่ข้าฯเป็นตุลาการ การจะฟ้องร้องนายรังสรรค์ (โจทก์ที่ ๑) กับเรื่องนี้อาจจะทำให้คนเข้าใจว่า ข้าฯไปรังแกนายรังสรรค์ (โจทก์ที่ ๑) ข้าฯจึงไม่ดำเนินการใดๆทั้งๆที่ข้าฯได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก (ปรากฏตามภาพถ่ายคำให้การของนายประมาณ ชันซื่อ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๒)
การที่นายประมาณ ชันซื่อ โกรธเคืองโจทก์ที่ ๑ แต่ไม่กล้าฟ้องโจทก์ที่ ๑ จึงเป็นจุดให้สร้างเรื่อง สร้างข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จ โดยร่วมมือกับผู้ใต้บังคับบัญชา และข้าราชการในสังกัดจำเลยที่ ๑ และราษฎรที่บังคับได้ ทำการใส่ร้ายโจทก์ทั้งสอง และสร้างเรื่องว่าโจทก์ทั้งสองจะลอบฆ่านายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกา
ในการสืบสวนสอบสวนการจ้างฆ่านั้น ข้าราชการในสังกัดจำเลยที่ ๑ ได้นำราษฎรผู้มีชื่อที่อยู่ภายใต้การบังคับของข้าราชการตำรวจสังกัดจำเลยที่ ๑ เข้าร่วมขบวนการ โดยกำหนดให้เป็นผู้หามือปืน คือ นายประทุม สุดมณี และนายบำรุง ชัยเมือง หลานชายนายประทุม สุดมณี โดยนายประทุม สุดมณี ถูกตำรวจในท้องที่จังหวัดนครสวรรค์ ต้องสงสัยว่า จะเกี่ยวข้อง หรือเป็นคนร้ายฆ่านายวิโรจน์ เหลืองสวรรค์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑๑ ต.ลาดยาว อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ และมีคดีติดตัวหลายคดีที่นายประทุม สุดมณี เป็นผู้สงสัยเป็นผู้ฆ่าผู้อื่น คือ ประมาณ ปี ๒๕๒๙ คดีฆ่าคนในตระกูลพฤกษาสวยตาย ๓ ศพ บาดเจ็บ ๒ คน เหตุเกิดทีอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ปี ๒๕๓๕ คดีฆ่า ส.จ.ช้วน บุญเกิด ที่อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และยังมีคดีอีกหลายคดีที่จังหวัดอื่นเป็นจำนวนมาก แต่นายประทุม สุดมณี ไม่ถูกดำเนินคดีเลย แต่ได้มาร่วมสร้างเรื่องกล่าวหาโจทก์ทั้งสอง และไม่ต้องถูกดำเนินคดีฆ่านายวิโรจน์ เหลืองสวรรค์ อีกด้วย เอกสารและพยานหลักฐานจะขอกราบเรียนในชั้นพิจารณา
เมื่อได้ นายประทุม สุดมณี และนายบำรุง ชัยเมือง ผู้มีชื่อมารับสมอ้างเป็นผู้หามือปืน จากนั้นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ ๑ ก็ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของตนตามกฎหมาย กระทำการโดยผิดกฎหมาย โดยกำหนดให้มีการนำเอานายประทุม สุดมณี ราษฎรที่กำหนดไว้มาให้ถ้อยคำต่อตำรวจกองปราบปรามซึ่งมีหน้าที่สืบสวนสอบสวน จับกุมผู้กระทำความผิด เมื่อตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามทราบว่า มีคนมาว่าจ้างราษฎรผู้มีชื่อคนนี้ไปทำการฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีอยู่จริงแม้แต่น้อย แต่เป็นการกำหนดให้มีการเอาเรื่องเท็จดังกล่าวมาแจ้งต่อกองบังคับการกองปราบ ปราม เพื่อให้กองบังคับการกองปราบปรามมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน โดยมิได้มีการดำเนินการตามกระบวนการการดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด ไม่มีการ้องทุกข์กล่าวโทษ หรือร้องขอให้ช่วยเหลือของนายประทุม สุดมณี
ข้าราชการตำรวจในสังกัดของกองบังคับการกองปราบปรามซึ่งมีหน้าที่ตาม กฎหมาย ที่จะต้องกระทำการสอบสวนให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ได้ร่วมกันทำสำนวนการสอบสวนโดยผิดกฎหมาย ไม่ทำการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย เป็นการสืบสวนโดยผิดกฎหมาย โดยไม่มีการสืบสวนเพื่อพิสูจน์ว่ามีความผิดเกิดขึ้นจริงหรือไม่เสียก่อน เพราะไม่ได้ทำการสืบสวนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่นายประทุม สุดมณี นำมาเล่าเรื่องแต่อย่างใด ไม่ได้มีการสืบสวนสอบสวนสถานที่มีการติดต่อจ้างฆ่า สาเหตุจ้างฆ่า สถานที่จ่ายเงินจ้างฆ่า ไม่ได้ทำแผนที่เกิดเหตุไว้ ไม่ได้มีการยึดของกลางที่อ้างว่าเป็นเงินค่าจ้างฆ่าไว้แต่อย่างใด มีแต่ทำบันทึกคำให้การเป็นเรื่องเล่าไว้ในสำนวนการสอบสวน การกระทำดังกล่าวไม่ใช่เป็นการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย แต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการสร้างเรื่องเพื่อให้เห็นว่าเรื่องที่นายประทุมและตำรวจกองปราบ ปรามได้ร่วมกันทำบันทึกไว้นั้นเป็นเรื่องจริง นอกจากจะไม่ทำการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายแล้ว ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามกลับเอาเรื่องที่จะมีคนมาฆ่านายประมาณ ชันซื่อไปเล่าให้นายประมาณ ชันซื่อ ฟัง นายประมาณฟังแล้วก็เชื่อทันทีว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง และได้ระบุว่า ผู้ที่เป็นตัวบงการจะต้องเป็นนายรังสรรค์ นางยินดี ต่อสุวรรณ โจทก์ทั้งสอง
การระบุตัวผู้บงการของ นายประมาณ ชันซื่อ ดังกล่าวเป็น การกำหนดตัวผู้กระทำความผิดโดยให้โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้บงการฆ่านายประมาณ ชันซื่อ โดยตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามไม่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดของนายประมาณแต่อย่างใดเลย แต่ตำรวจกองบังคับการกองปราบปราม กลับทำการสอบสวนและสร้างพยานหลักฐาน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพื่อใช้เป็นเหตุในการจับกุม ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ทั้งสองต่อไป
จากการที่ นายประมาณ ชันซื่อ ระบุชื่อโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ว่าเป็นผู้บงการฆ่านายประมาณ ชันซื่อนั้น เป็นการเริ่มต้นของตำรวจกองปราบปรามที่จะสืบสวนสอบสวน และจับกุมโจทก์ทั้งสอง โดยเริ่มเหตุการณ์ว่าในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามและตำรวจอื่นได้ร่วมกันจับกุมนายเณร มหาวิลัย และนายสมพรหรือหมา เดชานุภาพ ได้ที่บริเวณหน้าบ้านนายประมาณ ชันซื่อ ซอยหมู่บ้านศรีนคร แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร โดยได้แจ้งข้อกล่าวหานายสมพร เดชานุภาพ และนายเณร มหาวิลัยว่าร่วมกันใช้ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริมให้ฆ่าผู้อื่น (นายประมาณ ชันซื่อ) โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และได้นำตัวไปควบคุมไว้ที่กองบังคับการกองปราบ ซึ่งการจับกุม นายสมพร เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัยนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย รายละเอียดเนื่องจากเป็นเอกสารจำนวนมาก ขอกราบเรียนในชั้นพิจารณา
ในระหว่างที่ นายสมพร เดชานุภาพ และนายเณร มหาวิลัยถูกควบคุมตัว ต่อมาตำรวจกองปราบปรามก็ได้เสนอผลประโยชน์ให้แก่ นายสมพร (หมา) เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย เพื่อให้ร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปราม เพื่อชัดทอดไปยังนายบรรเจิด จันทะเปลิน และในวันเดียวกันนั้นเอง ตำรวจกองปราบปรามก็ได้ทำการจับกุมนายบรรเจิด จันทะเปลิน ที่จังหวัดนครสวรรค์
นายบรรเจิด จันทนะเปลิน ได้ร่วมมือกับตำรวจกองบังคับการกองปราบปราม ให้การซัดทอดโจทก์ทั้งสอง ว่าเป็นผู้บงการฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ แต่ นายบรรเจิด จันทนะเปลิน ด้วยเดิมมีสาเหตุโกรธเคืองในเรื่องส่วนตัวด้านชู้สาวกัน นายอภิชิต อังศุธรางกูร ซึ่งเคยเป็นเพื่อสนิทกันมาก่อน ก็ได้อาศัยเหตุนี้กลั่นแกล้ง นายอภิชิต อังศุธรางกูร โดยใส่ร้ายนายอภิชิต อังศุธรางกูร ว่าเป็นบุคคลที่รับจ้างมาจากโจทก์ที่ ๑ ให้มาหามือปืนเพื่อฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ แล้วนายอภิชิต อังศุธรางกูร ก็ได้มาใช้จ้างวาน นายบรรเจิด จันทนะเปลิน อีกทอดหนึ่ง เพื่อนายบรรเจิด จันทนะเปลิน หวังในทรัพย์สินเงินทองของนายอภิชิต อังศุธรางกูร
เมื่อ นายบรรเจิด จันทนะเปลิน ให้การซัดทอดนายอภิชิต อังศุธรางกูร แล้ว ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ตำรวจกองปราบปรามก็ได้ทำการจับกุม นายอภิชิต อังศุธรางกูร ที่บ้านพักที่กรุงเทพ และแจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับ นายสมพร เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย และในขณะที่ถูกควบคุมที่กองบังคับการปราบปราม ตำรวจกองบังคับการกองปราบปราม ก็ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ นายอภิชิต อังศุธรางกูร ให้การซัดทอดโจทก์ทั้งสองว่าเป็นผู้ใช้จ้างวาน นายอภิชิต อังศุธรางกูร ให้หามือปืนเพื่อฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ แต่ นายอภิชิต อังศุธรางกูร ให้การปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามแต่อย่างใด ซึ่งการสอบสวนของตำรวจกองปราบปรามเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย รายละเอียดและพยานหลักฐานขอเสนอในชั้นพิจารณา
เมื่อ นายอภิชิต อังศุธรางกูร ไม่ให้ความร่วมมือ ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามจึงต้องใช้วิธีการสอบสวนโดยผิดกฎหมายให้นาย บรรเจิด จันทนะเปลิน และผู้ต้องหาอื่นเป็นผู้ให้การซัดทอดว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ใช้จ้างวา นนายอภิชิต อังศุธรางกูร และ นายอภิชิต อังศุธรางกูรมาว่าจ้างตนอีกทอดหนึ่งโดยสร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จว่า ได้พบเห็นโจทก์ที่ ๑ สนิทสนมกับนายอภิชิต อังศุธรางกูร และการจ้างให้หามือปืนในครั้งนี้ นายอภิชิต อังศุธรางกูร เป็นผู้บอกนายบรรเจิด จันทะเปลินว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้ใช้จ้างวาน (หลักฐานและเอกสารจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
เมื่อตำรวจกองปราบปรามได้ให้นายบรรเจิด จันทนะเปลิน ให้การซัดทอดโจทก์ทั้งสองแล้ว ตำรวจกองปราบปรามก็ได้ออกหมายจับโจทก์ที่ ๑ และต่อมาในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๖ โจทก์ที่ ๑ ก็ได้เข้ามอบตัวกับกองบังคับการกองปราบปรามเพื่อต่อสู้คดี
ในระหว่างนั้น ได้มีตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๑ ได้เข้ามาเสนอให้โจทก์ที่ ๑ ซัดทอดบุคคลอีกหลายคนในวงการตุลาการ และวงการเมืองในขณะนั้น ว่าเป็นผู้ใช้จ้างวานโจทก์ที่ ๑ เพื่อฆ่านายประมาณ ชันซื่อ โดยโจทก์ที่ ๑ ไม่สามารถรู้ได้ถึงเจตนาร้ายดังกล่าวได้เลยว่า ตำรวจต้องการดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้นเพราะสาเหตุใด แต่โจทก์ที่ ๑ ก็มิได้ให้ความร่วมมือ และขอให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ในช่วงเวลานับแต่ที่มีการจับกุม นายสมพร (หมา) เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย แล้ว ตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๑ กับพวกหลายฝ่ายก็ได้ไขข่าวแพร่หลาย เพื่อชักนำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า มีการกระทำความผิดฐานใช้จ้างวานฆ่านายประมาณ ชันซื่อ จริง พร้อมทั้งมีการพยายามเสนอข่าวในลักษณะมุ่งเน้นไปยังโจทก์ทั้งสองว่าเป็นผู้ บงการอยู่เบื้องหลัง ก่อนหน้าที่จะมีการจับกุมโจทก์ที่ ๑ ซึ่งทำให้ครอบครัวของโจทก์ทั้งสอง พี่น้อง เพื่อนฝูง ต่างหวาดกลัว หวาดระแวง สงสัยและบางคนถึงกับด่าว่าโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองและครอบครัวต้องตกอยู่ในฐานะที่ลำบาก เพราะคู่กรณีเป็นถึงประธานศาลฎีกา พยานหลักฐาน และรายละเอียดเนื่องจากเป็นเอกสารจำนวนมากขอกราบเรียนในชั้นพิจารณา
ข้อ ๒.การที่ตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อให้โจทก์ทั้งสองกับพวกต้องรับโทษทางอาญานั้น ยังมีการ กระทำอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหลายครั้งได้แก่ การที่พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ เป็นผู้กล่าวโทษ ทั้งๆที่พล.ต.ต.ล้วนไม่เคยพบไม่เคยเห็นพฤติการณ์ต่างๆที่ความเกิดขึ้น และไม่มีผู้ใดเป็นผู้เสียหาย แม้แต่นายประมาณ ชันซื่อก็ไม่ได้ทำการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพล.ต.ต.ล้วน แต่อย่างใดเลย และการกล่าวหานายอภิชิตหรือเล็ก อังศุธรางกูร ว่ากระทำความผิดเป็นผู้ใช้จ้างวานโดย พล.ต.ต.ล้วน ไม่เคยพบเห็นการกระทำผิดเช่นกัน โดยกล่าวหาว่ามีการกระทำผิดตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๓๕ จนถึง ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๖ คืออ้างว่าทำผิดตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๓๕ ที่หนังสือพิมพ์ “ข่าวพิเศษ” ลงข่าวการให้สัมภาษณ์ของโจทก์ที่ ๑ อันเป็นการกล่าวโทษที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ปรากฏตามคำร้องทุกข์กล่าวโทษของ พล.ต.ต.ล้วน ผู้กล่าวโทษ กับ พ.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผู้รับคำกล่าวโทษ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๖ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓)
การที่ นายประมาณ ชันซื่อ ระบุชื่อโจทก์ทั้งสองว่าเป็นผู้บงการจ้างฆ่านั้น เป็น การกำหนดตัวบุคคลผู้ใช้จ้างวาน และทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่ามีการกระทำที่เป็นความผิดแล้ว ทางตำรวจจึงหาแนวทางสร้างเรื่อง ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และกองบังคับการกองปราบปรามต้องสืบสวนสอบสวนเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ จึงมีการเสนอเรื่องเท็จดังกล่าวไปยังกรมตำรวจ เพื่อให้มีคำสั่งแต่งตั้งกองบังคับการปราบปราม พ.ต.อ.รังสรรค์ ชำนาญหมอ กับ พ.ต.ท.ประพันธ์ เนียรภาค, พ.ต.ต.ชนะชัย ลิ้มประเสริฐ ตำรวจภูธร เป็นคณะพนักงานสอบสวนเพื่อจะสอบสวนเอาความผิดกับโจทก์ทั้งสองให้ได้รับโทษ ทางอาญา โดยอธิบดีกรมตำรวจก็ได้ร่วมถึงการสร้างเรื่องเท็จดังกล่าว และได้มีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนโดยอ้างว่า อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.๒๕๓๕ ข้อ ๒.๕ ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวไมได้บัญญัติให้อธิบดีกรมตำรวจมีอำนาจแต่งตั้งพนักงาน สอบสวนได้แต่อย่างใด การแต่งตั้งพนักงานสอบสวนดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหาย (ปรากฏตามคำสั่งกรมตำรวจที่ ๘๖๑/๒๕๓๖ เรื่องแต่งตั้งพนักงานสอบสวน สั่ง ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔)
แต่ปรากฏว่า คำกล่าวโทษเกิดขึ้นในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๖ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวน โดยกรม ตำรวจมีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ซึ่งก็เป็นคำสั่งแต่งตั้งที่ได้กระทำผิดกฎหมายนั้น ตำรวจกองปราบปรามได้ทำการสอบสวน นายประทุม นายบำรุง นายสมพร หรือ หมา นายเณร นายบรรเจิด พล.ต.ต.ล้วน ในฐานะพนักงานสอบสวนก่อนวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ อันเป็นการสอบสวนที่ได้กระทำโดยผิดกฎหมาย เพราะมิใช่เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลง โทษแต่อย่างใด แต่เป็นการรวบรวมเอาการกระทำที่ได้ร่วมกันวางแผนสร้างขึ้นมาทำเป็นสำนวนการ สอบสวน เพื่อกล่าวหาปรักปรำใส่ร้ายโจทก์ทั้งสองว่ากระทำผิดอาญา เป็นผู้บงการใช้จ้างวานให้ฆ่านายประมาณ และได้กระทำโดยที่ไม่มีผู้เสียหายใดร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นความผิดแต่อย่างใด รายละเอียดในการทำสำนวนการสอบสวนพร้อมข้อเท็จจริง และข้ออ้างต่างๆเนื่องจากเป็นเอกสารจำนวนมา ขอกราบเรียนในชั้นพิจารณา
๒.๑ จากการทำสำนวนการสอบสวนโดยผิดกฎหมายที่ได้ทำบันทึกเรื่องที่นายประทุมนำมา เล่าให้ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามทำบันทึกไว้ และจากการที่ นายประมาณ ชันซื่อ ได้กำหนดให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้บงการใช้จ้างวานให้ฆ่าตนแล้ว ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามตำรวจภูธร และ นายประทุม สุดมณี นายบำรุง ชัยเมือง ราษฎรก็ได้ร่วมทำการวางแผนจับกุมนายสมพร หรือ หมา เดชานุภาพ และนายเณร มหาวิลัย ที่หน้าบ้านนายประมาณ ชันซื่อ โดยสร้างเรื่องให้ นายประทุม สุดมณี นายบำรุง ชัยเมือง มากับ ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ ตำรวจกองปราบปราม โดยอ้างว่า ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ เป็นมือปืนใหม่ เพื่อหลอกให้ นายสมพร หรือ หมา เดชานุภาพ และนายเณร มหาวิลัย จ้าง ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ มือปืนใหม่ที่นายประทุม นายบำรุง พาไปแนะนำให้รู้จัก เพื่อให้ นายสมพร เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย ว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล แล้วให้ ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ พาทุกคนมาที่หน้าที่หน้าบ้านายประมาณ ชันซื่อ แล้วทำการจับกุม นายสมพร เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิไล นั้น เป็นเรื่องที่ตำรวจกองบังคับการกองปราบปราม อ้างว่า เป็นการสืบสวนเพื่อจับกุมผู้ที่กระทำผิดนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการใช้นายประทุม นายบำรุง ซึ่งเป็นราษฎรร่วมทำการสืบสวน ซึ่งกระทำไม่ได้ เพราะพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเท่านั้นที่มีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญา ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗ ราษฎรไม่มีอำนาจในการสืบสวนคดีอาญา การกำหนดเรื่องราวว่า มีการใช้นายประทุม นายบำรุง ร่วมทำการสืบสวนโดยพา ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ ไปหลอกให้นายสมพร (หมา) เดชานุภาพ และนายเณร มหาวิลัย ว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ มือปืนปลอม แล้วพามาจับที่หน้าบ้านนายประมาณ เป็นการใช้ราษฎรร่วมสืบสวนจับกุมโดยให้ ส.ต.อ.ไพศาล สมมติว่า เป็นมือปืนไปหลอกนายสมพร เดชานุภาพ และนายเณร มหาวิลัย กระทำความผิดฐานใช้ ส.ต.อ.ไพศาล ทรพย์อนันต์ ให้ฆ่านายประมาณ ชันซื่อ แล้วพามาจับที่หน้าบ้าน นายประมาณ ชันซื่อ เพื่อให้เห็นว่าจะมีการฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ นั้น จึงเป็นการสืบสวนจับกุมที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการจับ นายสมพร เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย โดยที่คนทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดอาญาใดๆ แม้คนทั้งสองจะหลงเชื่อว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ ให้ไปฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ ก็ไม่เป็นความผิดอาญาในข้อหาใช้จ้างวานให้ ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ ให้ไปฆ่านายประมาณ เพราะ ส.ต.อ.ไพศาล ไม่มีเจตนาที่ไปฆ่า นายประมาณ การฆ่านายประมาณไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยเด็ดขาดแม้คนทั้งสองจะจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล ให้ไปฆ่านายประมาณก็ตาม การกระทำของนายสมพรและนายเณรจึงไม่เป็นความผิดอาญา เพราะหลงเชื่อว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล และไม่เป็นความผิดฐานพยายามใช้จ้างวานให้ฆ่า เพราะความผิดฐานใช้จ้างวาน ให้ฆ่าผู้อื่น ไม่มีความผิดฐานพยายามใช้จ้างวาน การสืบสวนโดยผิดกฎหมายแล้วทำการจับกุม นายสมพร และ นายเณร ที่หน้าบ้านนายประมาณซึ่งก็เป็นการจับกุมโดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย
๒.๒ และในความผิดอาญาแผ่นดินที่มีเอกชนเป็นผู้เสียหายจะใช้การล่อให้กระทำความ ผิดไม่ได้เลย เพราะขัดกับหลักกฎหมายในเรื่อง “ความรับผิดในทางอาญา” เพราะบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาและการกระทำโดย เจตนา ได้แก่ การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล้งเห็นผลของการกระทำนั้น ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้ กระทำประสง๕ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้” การสืบสวนสอบสวนเพื่อจับนายเณรและนายสมพร โดยวางแผนหลอกให้ว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล มือปืนปลอมแต่เป็นตำรวจกองปราบปราม แล้วขับรถพามาจับที่หน้าบ้านนายประมาณ เพื่อให้เห็นว่านายประมาณจะเป็นผู้ถูกจ้างให้ฆ่านั้น จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายขัดต่อหลักการแสดงเจตนาในความรับผิดทางอาญา แม้นายสมพรและนายเณรจะหลงเชื่อว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล ให้ไปฆ่านายประมาณ การกระทำของนายสมพร และนายเณร ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้จ้างวานให้ ส.ต.อ.ไพศาลฆ่า นายประมาณ เพราะนายสมพร และ นายเณร ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดว่า ส.ต.อ.ไพศาล ไม่ใช่เป็นมือปืนที่จะมารับจ้างฆ่าหรือจะไปฆ่านายประมาณ ซึ่งจะถือว่านายสมพรและนายเณรมีเจตนาใช้จ้างวานให้ฆ่านายประมาณ ไม่ได้ การจับกุมนายสมพร และ นายเณร ที่หน้าบ้าน นายประมาณ จึงเป็นการสืบสวนจับกุมโดยผิดกฎหมาย การสอบสวนผู้ต้องหาและพยานที่ได้กระทำต่อมาเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้ง สิ้น การสืบสวนจับกุม นายบรรเจิด จันทนะเปลิน การสืบสวนจับกุม นายอภิชิต อังศุธรางกูร รวมทั้งการสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมโจทก์ ทั้งสองเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพราะเป็นผลเนื่องมาจากการกระทำการสืบสวนสอบสวนจับกุมที่ผิดกฎหมายมาแต่แรก เริ่ม ตามหลักทฤษฎี “ผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ” ซึ่งจะนำมาใช้ดำเนินการใดๆเพื่อให้เป็นคดีอาญากับโจทก์ทั้งสองไม่ได้เลย
๒.๓ ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งพนักงานสอบสวนในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ตำรวจกองปราบปรามได้ทำการสอบสวนนายประทุม พล.ต.ต.ล้วน ในฐานะพนักงานสอบสวน, นายสมพร หรือหมา, นายเณร, นายบรรเจิด และ นายบำรุง นั้น ก็เป็นกระทำที่ผิดกฎหมายที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะเป็นการสอบสวนอันเกิดจากการกระทำผิดกฎหมายที่ใช้นายประทุม นายบำรุงซึ่งเป็นราษฎรร่วมกันทำการสืบสวนจับกุมนายเณร และ นายสมพร หรือ หมา และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายที่ใช้วิธีการล่อให้กระทำความผิดในคดีอาญาแผ่น ดินที่มีเอกชนเป็นผู้เสียหายซึ่งกระทำไม่ได้ โดยทฤษฎีทางกฎหมาย ซึ่งนักกฎหมายผู้ใช้บังคับกฎหมายจะต้องทราบเป็นอย่างดี การสอบสวนคำให้การดังกล่าวเป็นขบวนการสร้างเรื่องเพื่อให้โจทก์ทั้งสองต้อง ถูกดำเนินคดีอาญา
๒.๔ การร้องทุกข์ของ พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ ได้กระทำโดยผิดกฎหมาย เพราะไม่มีผู้ใดกล่าวโทษแจ้งความต่อ พล.ต.ต.ล้วน พล.ต.ต.ล้วน ไม่ได้พบเห็นการกระทำความผิดอาญาใดเกิดขึ้น ไม่ได้พบเห็นความเสียหายเกิดขึ้นกับนายประมาณ ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เสียหาย และนายประมาณไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ในคดีนี้ และปรากฏจากคำร้องทุกข์กล่าวโทษของ พล.ต.ต.ล้วน เป็นการร้องทุกข์โดยเอาข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้นโดยการวางแผนใช้ให้นายประ ทุม นายบำรุง ไปล่อ นายเณร นายหมา มาจับที่หน้าบ้าน นายประมาณ ชันซื่อ แล้ว ได้มีการจับนายบรรเจิดและนายอภิชิตแล้ว บันทึกการร้องทุกข์ของ พล.ต.ต.ล้วน จึงเป็นการร้องทุกข์ที่ได้กระทำโดยผิดกฎหมาย เพราะมิใช่เป็นการร้องทุกข์ของผู้เสียหาย หรือของผู้พบเห็นการกระทำความผิดแต่อย่างใด แต่เป็นการร้องทุกข์จากการสร้างเรื่องที่ได้มีการร่วมกันวางแผนกับนายประทุม นายบำรุง ล่อ นายเณร และ นายหมา มาจับที่หน้าบ้านนายประมาณ เพื่อดำเนินคดีอาญากับโจทก์ทั้งสองว่าเป็นผู้ว่าจ้างให้ฆ่านายประมาณ
๒.๕ การจับ นายเณร นายหมา ที่หน้าบ้านนายประมาณ จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเนื่องจากเป็นการสร้างเรื่องขึ้น เมื่อมีการจับนายเณร นายหมา ที่หน้าบ้านนายประมาณก็ได้มีการจับนายประทุม นายบำรุง พร้อมกัน ๔ คน แต่ได้มีการปล่อยนายประทุม นายบำรุงไป เพราะพนักงานสอบสวนรู้ว่า นายประทุม นายบำรุง ไม่ได้เป็นมือปืนที่รับจ้างฆ่านายประมาณและไม่ได้ทำผิดอาญาแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ที่พนักงานสอบสวนขอให้มาร่วมสืบสวนเพื่อจับนายเณร นายหมาให้ได้ที่หน้าบ้านนายประมาณเท่านั้น ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้รับความร่วมมือจาก นายประทุม นายบำรุง และรู้ว่านายประทุม นายบำรุง ไม่ได้รับจ้างนายเณร นายหมา ให้ไปฆ่านายประมาณ จึงต้องปล่อยตัวนายประทุมไป การปล่อยตัวนายประทุม นายบำรุงไปภายหลังที่มีการจับนายประทุม นายบำรุงแล้ว ก็แสดงว่านายประทุม นายบำรุง ไม่ได้กระทำความผิดอาญาใดๆ (เพราะบุคคลเมื่อถูกจับเป็นผู้ต้องหาแล้ว จะหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องหาได้ พนักงานอัยการจะต้องสั่งไม่ฟ้องเท่านั้น) การที่พนักงานสอบสวนปล่อยตัวนายประทุม นายบำรุง ก็แสดงว่าพนักงานสอบสวนรู้ว่านายประทุม นายบำรุงไม่ได้กระทำความผิดอาญาใดๆ เมื่อนายประทุม นายบำรุงไม่ได้กระทำความผิดอาญาใดๆ นายเณร นายหมาก็ไม่ได้กระทำความผิดอาญาใดๆ ที่ถูกจับในขณะที่มาที่หน้าบ้านนายประมาณด้วย การจับคนทั้งสี่ไว้พร้อมกันแล้วปล่อยนายประทุม นายบำรุงไป จึงเป็นการสร้างเรื่องขึ้น ดังนั้นการจับนายเณร นายหมา ก็เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะนายเณร นายหมา ไม่ได้กระทำความผิดอาญาใดๆ การจับนายเณร นายหมาโดยไม่ได้กระทำผิดอาญาก็เป็นการจับที่ผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย (หลักฐานและเอกสารจะเสนอในชั้นพิจารณา)
๒.๖ การกันนายบรรเจิด ไว้เป็นพยานก็ได้กระทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องกันนายบรรเจิดไว้เป็นพยานแต่อย่างใด แต่เป็นการปล่อยนายบรรเจิดเพื่อจับโจทก์ที่ ๑ โดยพนักงานอัยการไม่ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายบรรเจิดและสั่งให้สอบสวนนาย บรรเจิดไว้เป็นพยานก่อนแต่อย่างใด คำให้การของนายบรรเจิดที่ได้สอบสวนไว้ในสำนวนการสอบสวน โดยที่พนักงานอัยการยังไม่ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายบรรเจิดเสียก่อนนั้น จึงเป็นคำให้การของผู้ต้องหาและไม่มีการสอบสวนนายบรรเจิดไว้ในฐานะเป็นพยาน การปล่อยนายบรรเจิดเพื่อจับโจทก์ที่ ๑ และเอาคำให้การของนายบรรเจิดมาดำเนินการสั่งฟ้องคดีกับโจทก์ที่ ๑ จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหาย (เอกสารและหลักฐานจะเสนอในชั้นพิจารณา)
๒.๗. ในการสร้างเรื่องให้เป็นคดีอาญาจะปรากฏว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำการสอบสวนเรื่องที่นายเณร นายหมา ใช้จ้างวานนายประทุม นายบำรุงให้ฆ่านายประมาณ แต่พ.ต.ท.ประพันธ์ได้ทราบเรื่องราวดังกล่าว โดยนายประทุมและนายบำรุงมาเล่าเรื่องให้ฟังเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๖ พ.ต.ท.ประพันธ์นำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้พ.ต.ท.ทัศนัย ศิริสนธิ ซึ่งเป็นตำรวจกองปราบปรามฟังเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ต่อมาตำรวจกองปราบปรามคนอื่นรวมทั้งพล.ต.ต.ล้วนก็ทราบเรื่องดังกล่าวจาก พ.ต.ท.ประพันธ์ และนายบำรุงเล่าให้ฟังเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ รุ่งขึ้นตำรวจกองปราบปรามก็นำเรื่องไปเล่าให้นายประมาณฟัง ดังนั้นการรู้เรื่องการว่าจ้างนายประทุม นายบำรุงให้ไปฆ่านายประมาณ จึงเป็นการบอกเล่าต่อๆกันมาในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๙-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๖ แต่ก็ปรากฏหลักฐานที่เป็นคำสั่งของพล.ต.ต.ล้วนสั่งให้ทำการสืบสวนมาตั้งแต่ เดือนมีนาคม ๒๕๓๖ จนถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๖ นั้น จึงเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างเรื่องขึ้น เพราะคำสั่งของพล.ต.ต.ล้วนเป็นคำสั่งให้ทำการสืบสวนย้อนเวลามาจนถึงวันที่ พล.ต.ต.ล้วนออกคำสั่ง คือวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๖ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และแสดงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๓๖ นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง พฤติการณ์จึงเป็นการสร้างเรื่องขึ้น ( เอกสารและหลักฐานจะเสนอในชั้นพิจารณา)
๒.๘ อีกทั้งตำรวจสังกัดจำเลยที่ ๑ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวนตามคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวข้างต้น ทำการสืบสวนสอบสวนโดยผิดกฎหมายในการดำเนินคดีอาญากับโจทก์ทั้งสอง โดยตำรวจกองบังคับการกองปราบปราม และตำรวจภูธรดังกล่าวในคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนได้ใช้ราษฎรร่วม ทำการสืบสวนจับกุมนายสมพร (หมา) เดชานุภาพ นายเณร มหาวิลัยนั้น ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามและตำรวจภูธรกับราษฎรดังกล่าวร่วมกันดำเนินการ ตามแผนได้วางไว้ก่อนหน้า แล้วทำการจับกุมเอง ต่อจากนั้น พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ ก็ขอแต่งตั้งพวกที่ร่วมวางแผนและจับกุมเป็นพนักงานสอบสวนเองแล้วทำการสอบสวน คดีเอง โดยมีการอ้างเอาพนักงานสอบสวนที่ได้ร่วมกันสร้างเรื่อง มาอ้างตนเข้าเป็นพยานในคดีที่ตนเองเป็นผู้สอบสวนเองอีกด้วย และมีความเห็นสั่งฟ้องคดีเอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนคดีนี้เป็นผู้วางแผนร่วมกับราษฎรจับกุม นายสมพรและนายเณรเอง แล้วดำเนินการตามแผนหลอกลวงให้ฆ่านายประมาณเพื่อจับกุมเอง เมื่อจับกุมได้แล้วก็ขอแต่งตั้งตำรวจที่ร่วมกันวางแผนหลอกจับนั้น เป็นพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนการกระทำการหลอกลวงของตนเองให้เป็นเรื่องที่ ผู้ถูกหลอกลวงกระทำความผิดอาญาเสียเอง แล้วพนักงานสอบสวนก็มีความเห็นสั่งฟ้องคดีเสียเอง กระบวนการดำเนินดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีอาญาโดยผิดกฎหมายเพื่อให้โจทก์ทั้ง สองได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะมุ่งไปถึงสิทธิและเสรีภาพในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองด้วย การดำเนินการใดๆ ของข้าราชการตำรวจสังกัดจำเลยที่ ๑ ร่วมกับราษฎรตามที่อ้างว่าเป็นการสืบสวนสอบสวน ทั้งที่ได้กระทำก่อนหน้าและภายหลังวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ที่มีการแต่งตั้งพนักงานสอบสวนแล้วนั้น ก็เป็นการสอบสวนที่ได้ทำขึ้นโดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่าง ร้ายแรงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง เมื่อตำรวจสังกัดจำเลยที่ ๑ ตามคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนของจำเลยที่ ๑ ได้อ้างว่าทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และมีความเห็นเสนอไปยังจำเลยที่ ๑ เพื่อมีความเห็นทางคดี และจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งฟ้องโจทก์ที่ ๑ กับพวกในความผิดฐานเป็นผู้ใช้จ้างวาน ยุยงส่งเสริม หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แล้วนำสำนวนเสนอต่อจำเลยที่ ๒ เพื่อพิจารณาสั่งคดีต่อไป แต่ยังไม่มีหลักฐาน โดยจะทำการสืบสวนสอบสวนหาหลักฐานต่อไป โจทก์ที่ ๒ ก็ยังเป็นผู้กระทำผิดอยู่ (ปรากฏตามสรุปสำนวนการสอบสวนของตำรวจสังกัดจำเลยที่ ๑ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๕)
ข้อ ๓.การสร้างเรื่องดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองทั้งทางด้านสิทธิและเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินและชื่อเสียงของโจทก์ทั้งสอง มีการเผยแพร่เรื่องบงการจ้างฆ่านายประมาณไปทั่วราชอาณาจักร โดยหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โทรทัศน์ทุกช่องและแพร่ขยายไปที่ต่างประเทศด้วยทำให้ชื่อเสียงและการทำมาหา กินในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่ ๑ ต้องได้รับความเสียหายล่มจมและต้องหยุดชงัก ประชาชนไม่ให้ความเชื่อถืออีกต่อไป ตามคำให้การของนายอภิชิตหรือเล็กฯ ผู้ต้องหาที่ ๔ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา หมายความว่าผู้ต้องหาที่ ๔ ไม่ได้ซัดทอดว่าโจทก์ที่ ๑ ที่เป็นผู้ต้องหาที่ ๕ บงการจ้างฆ่านายประมาณแต่อย่างใด ไม่มีประจักษ์พยานยืนยัน มีแต่นายประมาณที่ระบุชื่อโจทก์ที่ ๑ ว่าเป็นผู้บงการ แต่นายประมาณก็ไม่พบเห็นการบงการของโจทก์ที่ ๑ นั้นเลย มีแต่ความเชื่อว่า ความเข้าใจว่าโจทก์ที่ ๑ โกรธแค้นนายประมาณ เสียผลประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ราชการของนายประมาณ ส่วนนายบรรเจิดก็เช่นเดียวกัน มีแต่ความเชื่อความเข้าใจของนายประมาณว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้จ้างฆ่านายประมาณ แต่ไม่ได้เห็นการจ้างฆ่าด้วยตนเอง พนักงานสอบสวนก็ยังสั่งฟ้องโจทก์ที่ ๑ แม้จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยัน ส่วนคดีของโจทก์ที่ ๒ นั้น แม้จะไม่ถูกจับ แต่โจทก์ที่ ๒ ก็ยังมีชื่อว่าเป็นผู้กระทำผิดติดสำนวนการสอบสวนอยู่ จะถูกจับเมื่อใดก็ยังไม่ทราบ เนื่องมาจากนายประมาณเชื่อว่าโจทก์ที่ ๒ ได้ร่วมกระทำผิดด้วย แต่ในชั้นสอบสวนยังขาดพยานและหลักฐานที่จะเสนอขอรับความเห็นชอบออกหมายจับ และจับกุม ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนสอบสวนต่อไป แสดงว่าโจทก์ที่ ๒ ยังคาหรือยังค้างอยู่ในสำนวนการสอบสวนอยู่ จะถูกจับกุมเมื่อใดก็ยังไม่ทราบจากการสร้างเรื่องดังกล่าวนั้น ทำให้หน้าที่การงานของโจทก์ที่ ๒ ในการเป็นข้าราชการตุลาการมีปัญหาหยุดชงัก ตำแหน่งหน้าที่การงานตุลาการที่กำลังเจริญรุ่งเรืองต้องหยุดชงัก ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมด้วย ได้รับความเสียหายทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ได้รับความยากลำบากในการดำรงชีพอย่างแสนสาหัส ซึ่งจำเลยทั้งสามจะต้องจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหาย อันเกิดจากการละเมิดดังกล่าวนั้น
๓.๑ ในระหว่างการดำเนินคดีโจทก์ที่ ๑ ได้รับการประกันตัวในระหว่าการพิจารณาคดี เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ก็ได้สร้างเรื่องเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ที่ ๑ ให้ต้องคุมขัง โดยร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของ นายประมาณ ชันซื่อ กล่าวหาว่าโจทก์ที่ ๑ ข่มขู่พยานทั้งที่ไม่เป็นความจริง และศาลอาญากรุงเทพใต้ได้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่ว คราวโจทก์ที่ ๑ และมีคำสั่งขังโจทก์ที่ ๑ ในระหว่างการพิจารณาเป็นเวลานานเกือบ ๖ เดือน เพราะการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในทางชีวิต ร่างกาย อิสรภาพ และเสียหายทางธุรกิจอย่างมหาศาล และโจทก์ที่ ๒ ได้รับความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจอย่างแสนสาหัส ต้องรับภาระและปัญหาทุกอย่างโดยลำพัง ( เอกสารและหลักฐานจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
ข้อ ๔.เมื่อพนักงานอัยการ หรืออัยการในตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบในคดี ได้รับสรุปสำนวนสั่งฟ้องโจทก์ที่ ๑ กับพวก จากพนักงานสอบสวนในข้อหาร่วมกันใช้ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๔, ๒๘๘ และ ๒๘๙(๔) แล้ว พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบก็ได้ทำผิดต่อกฎหมาย เพราะพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในวิชาการทางกฎหมาย เมื่อเห็นสำนวนการสอบสวนโดยบริบูรณ์แล้วย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า พนักงานอัยการจะต้องพิจารณาสำนวนการสอบสวนทั้งสำนวนด้วยความรอบคอบเยี่ยงผู้ มีความรู้เชี่ยวชาญในกฎหมายและรู้ชั้นเชิงทางกฎหมาย จะต้องทราบได้ด้วยความรู้เชี่ยวชาญของตนเองในฐานะของความเป็นพนักงานอัยการ ว่า กระบวนการสอบสวนดังกล่าวในหลักวิชาชีพทางกฎหมายนั้น พนักงานสอบสวนจะต้องสืบสวนอย่างไร มีเหตุผลและหลักกฎหมายที่จะต้องลำดับขั้นตอนกันอย่างไร ซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไว้แล้ว มิใช่ตัดตอนพิจารณาเฉพาะส่วน เพื่อหวังผลตามอำเภอใจ หรือเพื่อให้เป็นไปตามกระแสของสังคม เพราะพนักงานอัยการจะต้องตระหนักถึงการกรระทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบกระบวน การทางอาญาว่าเป็นกระบวนการที่ได้ดำเนินการมาโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อผดุงความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยแล้วหรือไม่ พนักงานอัยการไม่ได้มีหน้าที่ส่งทอดผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีใน ศาลเท่านั้น แต่จะต้องตรวจสอบและคานอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ถ้าพนักงานอัยการได้ทำหน้าที่ในฐานะพนักงานอัยการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แล้ว คดีที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนสั่งฟ้องโจทก์ที่ ๑ กับพวกมานั้น ไม่ใช่เป็นการสอบสวนในการกระทำความผิดอาญา แต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่สร้างขึ้น ไม่มีมูลคดีอาญาเกิดขึ้น ไม่มีการกระทำความผิดใดๆ แต่เกิดจากความโกรธแค้นโจทก์ที่๑ ของนายประมาณฯในเรื่องที่โจทก์ที่ ๑ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหนังสือพิมพ์ ที่ทำให้นายประมาณ ได้รับความเสียหายมาก ซึ่งก็มีพยานหลักฐานปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวน พนักงานอัยการที่รับสรุปสำนวนสั่งฟ้องจากพนักงานสอบสวนนั้น ก็จะเห็นหนังสือพิมพ์ดังกล่าวและพิจารณาแล้ว พนักงานอัยการก็ได้ร่วมกันทำผิดกฎหมาย โดยได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสำนวนการสอบสวนนั้น เกิดจากการกระทำของพนักงานสอบสวนที่ได้ร่วมกันวางแผนกับ นายประทุม สุดมณี นายบำรุง ชัยเมือง ซึ่งเป็นราษฎรทำให้เกิดข้อเท็จจริงให้มีการหลอกนายสมพร (หมา ) เดชานุภาพ นายเณร มหาวิลัย ถูกจับกันที่หน้าบ้าน นายประมาณ ชันซื่อ อันมิใช่เป็นการกระทำความผิดอาญาใดๆของนายสมพร (หมา) เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย แต่อย่างใด และ นายประมาณ ก็ไม่ใช่เป็นผู้เสียหายจากการจัดให้มีการจับที่หน้าบ้านนายประมาณ ชันซื่อ และการใช้วิธีการล่อจับนายสมพร (หมา) และนายเณร มหาวิลัย อันเป็นการกระทำการจับที่ผิดกฎหมายและการจับดังกล่าวก็เกิดจากการที่นายประ ทุม สุดมณี ผู้มีชื่อมาเล่าเรื่องให้พ.ต.ท.ประพันธ์ เนียรภาค ฟังว่า มีคนมาว่าจ้างให้ตนไปฆ่านายประมาณ ชันซื่อ โดยพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนก่อนเลยว่า การบอกเล่าของ นายประทุม สุดมณี นั้นเป็นความจริงหรือมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งพนักงานอัยการจะต้องทราบได้ด้วยความรู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพทางกฎหมายได้ ว่าการกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นคดีอาญาแต่อย่างใดเลย
อีกทั้งพนักงานอัยการสังกัดจำเลยที่ ๒ หากได้พิจารณาความโกรธแค้นของ นายประมาณ ชันซื่อ ที่มีกับโจทก์ที่ ๑ แล้ว ก็จะต้องทราบได้ว่า คดีดังกล่าวเกิดจากความโกรธแค้นของนายประมาณ ชันซื่อ ที่ไม่กล้าฟ้องโจทก์ที่ ๑ ด้วยตนเอง จึงร่วมมือกับตำรวจสร้างเรื่องขึ้นให้ตำรวจสั่งฟ้องและพนักงานอัยการฟ้องคดี แทนนายประมาณ ชันซื่อ จะได้ไม่มีใครมากล่าวหาว่านายประมาณ รังแกนายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ (โจทก์ที่ ๑) แต่กลับไปพิจารณาเรื่องคดีต่างๆและเรื่องอื่นๆ ที่ นายประมาณ ชันซื่อ นำมาอ้างว่า ที่นายประมาณ ชันซื่อ เชื่อว่า หรือคิดว่า หรือเข้าใจว่า การที่โจทก์ที่ ๑ ว่าจ้างคนให้ฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ นั้น มีสาเหตุมาจากการเสียประโยชน์ของโจทก์ที่ ๑ โดย นายประมาณ ชันซื่อ ก็ไม่ได้ยืนยันการเสียผลประโยชน์และไม่มีประจักษ์พยานที่ได้พบเห็นการกระทำ ผิดใดๆ ของโจทก์ที่ ๑ เลยในสำนวนคดีความในศาล และเรื่องอื่นต่างๆที่นายประมาณ ชันซื่อ นำมาอ้างเป็นมูลเหตุการจ้างฆ่าต่อพนักงานสอบสวนนั้น พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ทำการสอบสวนมูลเหตุการจ้างฆ่าดังกล่าวว่า จะเป็นเหตุชักจูงใจหรือไม่ อีกทั้งไม่มีหลักฐานปรากฏชื่อของนายประมาณ ชันซื่อ ว่าเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆในคดีความที่จะทำให้โจทก์ที่ ๑ จะทราบและจะโกรธแค้นนายประมาณ ชันซื่อ และหากไม่ฆ่านายประมาณ ชันซื่อแล้ว โจทก์ที่ ๑ จะเสียผลประโยชน์เพราะนายประมาณ ชันซื่อได้แต่อย่างใด
๔.๑ พนักงานอัยการสั่งฟ้องคดีโดยผิดกฎหมาย เพราะนำเอาคำให้การของนายบรรเจิด จันทนะเปลิน ซึ่งให้การไว้ในฐานะเป็นผู้ต้องหามาสั่งฟ้องคดี เพราะขณะที่สั่งฟ้องคดีนั้น พนักงานอัยการยังไม่ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายบรรเจิด แล้วสั่งให้สอบสวนนายบรรเจิดไว้เป็นพยานเสียก่อน พนักงานสอบสวนปล่อยนายบรรเจิดเพื่อจับโจทก์ที่ ๑ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พนักงานสอบสวนดำเนินการกันนายบรรเจิดไว้เป็นพยานแต่ อย่างใด การนำเอาคำให้การของนายบรรเจิดมาสั่งฟ้องคดี จึงเป็นการนำเอาคำให้การของผู้ต้องหาด้วยกันเองมาฟ้องโจทก์ที่ ๑ การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการจึงเป็นการสั่งฟ้องคดีโดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
๔.๒ ก่อนที่พนักงานอัยการ สังกัดจำเลยที่ ๒ จะมีคำสั่งฟ้องคดีโจทก์ที่ ๑ กับพวก โจทก์ที่ ๑ ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมพนักงานอัยการ สังกัดจำเลยที่ ๒ เพื่อขอให้ความเป็นธรรมโดยร้องขอให้อัยการมีคำสั่งให้สอบพยานเพิ่มเติม แต่ก็ปรากฏหลักฐานว่า เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนยังสอบพยานไม่เสร็จ พนักงานอัยการก็ได้ทำผิดต่อกฎหมายโดยมีคำสั่งฟ้องคดี โดยที่การสอบสวนพยานเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการยังไม่เสร็จ เป็นการสั่งฟ้องคดีแบบเร่งรีบผิดหลักการของการเป็นพนักงานอัยการ ซึ่งต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน และผิดหลักการของการทำหน้าที่กึ่งอำนาจตุลาการของพนักงานอัยการ การทำหน้าที่ของพนักงานอัยการในคดีนี้ จึงเสมือนเป็นเพียงเครื่องมือของพนักงานสอบสวน โดยเป็นบันไดเลื่อนส่งผู้ต้องหาเข้าสู่ขบวนการทางศาลเท่านั้น (เอกสารและหลักฐานจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา) พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องโจทก์ที่ ๑ และพวกเป็นจำเลยที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยเป็นโจทก์ฟ้องนายสมพรหรือนายหมา เดชานุภาพ ที่ ๑ นายเณร มหาวิลัย ที่ ๒ นายอภิชิต หรือเล็ก อังศุธรางกูร ที่ ๓ นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ (โจทก์ที่ ๑) ที่ ๔ เป็นจำเลย โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๖
โดยฟ้องของอัยการสังกัดจำเลยที่ ๒ บรรยายฟ้อง ว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า “เมื่อระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ติดต่อกันเวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยทั้งสี่ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ด้วยการใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยจำเลยที่ ๔ เป็นผู้บงการ วางแผน ใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมจำเลยที่ ๓ ให้จัดหาบุคคลไปฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ ให้ถึงแก่ความตาย หลังจำเลยที่ ๓ ตกลงรับการบงการใช้ จ้างวาน จากจำเลยที่ ๔ แล้ว จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ใช้ จ้าง วาน นายบรรเจิด จันทนะเปลิน ให้ไปจัดหาบุคคลไปฆ่านายประมาณ โดยให้ค่าจ้างบุคคลที่ฆ่านายประมาณเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้ค่าจ้างแก่นายบรรเจิดเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ มอบเงินค่าจ้างบางส่วนให้แก่นายบรรเจิดไป ๒ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำเงินดังกล่าวไปให้บุคคลที่รับจ้างฆ่านายประมาณ นายบรรเจิดตกลงตามที่จำเลยที่ ๓ จ้างวาน จึงติดต่อจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ให้จัดหาบุคคลไปฆ่านายประมาณ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยเป็นผู้จ้าง วาน ให้ ยุยงส่งเสริมให้นายประทุม สุดมณี และนายบำรุง ชัยเมือง กับพวกไปฆ่านายประมาณจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ตกลงให้ค่าจ้างแก่บุคคลทั้งสองกับพวกเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ มอบเงินค่าจ้างบางส่วนเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ให้นายประทุมและนายบำรุงกับพวกรับไปแล้ว นายประทุมและนายบำรุงกับพวกตกลงจะฆ่านายประมาณตามที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จ้าง แต่นายประทุมและนายบำรุงกับพวกยังไม่ได้กระทำความผิด โดยกลับใจไม่กระทำภายหลัง นายประมาณจึงไม่ถูกฆ่าตาย เหตุเกิดที่ตำบลปากน้ำโพ ตำบลบึงเสนาท อำเภอเมืองนครสวรรค์ ตำบลสร้อยละคร อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และแขวงลาดยาว เขตจตุจักร แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๓, ๘๕ (ปรากฏตามคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๙๙๐/๒๕๓๖ ของศาลอาญากรุงเทพใต้ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖)
ฟ้องของจำเลยที่ ๒ ก็ขัดต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน เพราะจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ฟ้องว่า มีการจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล ทรัพย์อนันต์ให้ฆ่านายประมาณ ตามแผนที่หลอกนายสมพร หรือ หมา เดชานุภาพ นายเณร ให้ว่าจ้าง ส.ต.อ.ไพศาล แล้วหลอกพามาจับที่หน้าบ้านนายประมาณแต่อย่างใด แต่ฟ้องว่ามีการจ้างนายประทุม สุดมณี นายบำรุง ชัยเมือง และพวกให้ฆ่านายประมาณ ชันซื่อ ซึ่งก็ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน เพราะในสำนวนการสอบสวนนายประทุม นายบำรุง เป็นเพียงคนหามือปืน ไม่ใช่เป็นมือปืนที่รับจ้างจากนายสมพรและนายเณรแต่อย่างใด อันเป็นการฟ้องเพื่อให้ครบองค์ประกอบของความผิด ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวน (หลักฐานและเอกสารจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
ข้อ ๕. ในระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๑ โจทก์ที่ ๑ และนายสมพร (หมา) เดชานุภาพ และ นายเณร มหาวิลัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายขัดต่อ รัฐธรรมนูญหลายประเด็น และในประเด็นข้อ บังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.๒๕๒๓ ข้อ ๒.๕ ที่อธิบดีกรมตำรวจอ้างเพื่อแต่งตั้งพนักงานสอบสวนตามคำสั่งกรมตำรวจที่ ๘๖๑/๒๕๓๕ เป็นข้อบังคับที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามนัยรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖ หรือไม่ (ปรากฏตามคำร้องให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยของจำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๗)
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ ๑/๒๕๔๑ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๓ ในประเด็นเกี่ยวกับข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.๒๕๒๓ ข้อ ๒.๕ ว่าข้อบังคับดังกล่าวไม่ใช่เป็นกฎหมาย เพราะข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยและคำสั่งดังกล่าวมิได้ออกโดยองค์กรที่ใช้ อำนาจนิติบัญญัติ จึงไม่เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๔ (ปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ท้ายคำฟ้องหมายเลข ๘)
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยดังกล่าว คำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนของกรมตำรวจที่ ๘๖๑/๒๕๓๖ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่เป็นกฎหมาย คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญจึงผูกพันอง๕กรของรัฐทุกองค์กรว่า ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่เป็นกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ การแต่งตั้งพนักงานสอบสวนของกรมตำรวจจึงเป็นการแต่งตั้งพนักงานสอบสวนโดยผิด กฎหมาย โจทก์ที่ ๑ ได้พยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดแก่โจทก์ที่ ๑ ทั้งในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ โดยได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ทำการไต่สวนและให้มีคำพิพากษายกฟ้อง ร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีกรมตำรวจ และอัยการสูงสุด ตลอดจนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดำเนินการให้พนักงานอัยการถอนฟ้องให้กับโจทก์ที่ ๑ แต่ปรากฏว่า ทุกหน่วยงานที่โจทก์ที่ ๑ ได้ร้องขอไปไม่ได้ดำเนินการใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเวลาเนิ่นนานมาถึง ๑๐ ปีตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ จนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในปี ๒๕๕๓ ระยะเวลาที่จำเลยทั้งสามไม่ดำเนินการถอนฟ้องเพื่อบรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ ทั้งสองนั้น ก่อให้เกิดความเสียหายในทางธุรกิจของโจทก์มาอย่างต่อเนื่อง (หลักฐานและเอกสารจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
เมื่อเสร็จการพิจารณาคดีศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา (๒๘๙ (๔) ประกอบกับมาตรา ๘๓, ๘๕ ความผิดมาตรา ๒๘๙ (๔) มีระวางโทษประหารชีวิต เมื่อความผิดมิได้กระทำลงเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสาม ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง เท่ากับลดมาตราส่วนโทษลงสองในสาม โดยให้ลดโทษประหารชีวิตหนึ่งในสามเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา ๕๒(๑) และให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิต อันเป็นโทษสองในสามของโทษประหารชีวิตเป็นจำคุก ๕๐ ปี ตามมาตรา ๕๓ ซึ่งต้องลงโทษจำเลยทั้งสี่หนึ่งในสามของโทษประหารชีวิต คือ กึ่งหนึ่งของโทษจำคุก ๕๐ ปี เป็นจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ ๒๕ ปี จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาทา ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คนละ ๑๖ ปี ๘ เดือน เป็นเลขคดีดำของศาลอาญากรุงเทพใต้หมายเลขดำที่ ๙๙๐/๒๕๓๖ หมายเลขแดงที่ ๓๐๖๙/๒๕๕๑ โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นจำเลยที่ ๔ ในคดีดังกล่าวได้ถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก ๒๕ ปี เสียชื่อเสียงและเสียหายมาก ( ปรากฏตามคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๐๖๙/๒๕๕๑ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๙) จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องคดีแพ่งสืบเนื่องจากคดีลอบ สังหารประธานศาลฏีกา ยื่นฟ้องวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔ ศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ ๓๔๕๖/๒๕๕๔ ความแพ่ง ระหว่าง นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่ ๑, นางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ ที่ ๒ โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ ๑, สำนักงานอัยการสูงสุดที่ ๒, สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓ จำเลย ข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิด เรียกค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัย ในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญว่า ที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๔ ใช้จ้างวานจำเลยที่ ๓ ให้หามือปืนไปฆ่านายประมาณ แล้วจำเลยที่ ๓ ให้ใช้จ้างวานนายบรรเจิดให้หามือปืน และนายบรรเจิด ได้ติดต่อนายประทุม และ นายบำรุง ให้หามือปืนไปฆ่านายประมาณ แต่ นายประทุม และ นายบำรุง กลับใจนั้น จึงรับฟังความจริงไม่ได้ และไม่มีมูลเหตุการจ้างฆ่านายประมาณแต่อย่างใด ศาล อุทธรณ์ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ จึงรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนับตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ นั้น (ปรากฏตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๐) และคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว (ปรากฏตามหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๑)
ข้อ ๖.ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ และข้อเท็จจริงในคดีอาญารับฟังได้แล้วว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ซึ่งอยู่ในหน่วยงานของจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ ๓ มี่มีอำนาจบังคับบัญชาสั่งการเพื่อบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นกับโจทก์ทั้งสอง มีหน้าที่ช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง แต่กลับละเว้น ละเลยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ ไม่ระงับเหตุการณ์ทำละเมิดดังกล่าวในวาระที่สามารถกระทำได้แต่ไม่กระทำ จำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองในความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นต่อ โจทก์ทั้งสอง
โดยในระหว่างที่โจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินคดี โจทก์ทั้งสองได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ และได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังจำเลยที่ ๓ เพื่อให้ความเป็นธรรม ซึ่งจำเลยทั้งสามสามารถให้ความเป็นธรรมได้ ในฐานะเป็นองค์กรของรัฐและเป็นองค์กรบริหารราชการแผ่นดินสูงสุด ซึ่งสามารถควบคุมบริหารราชการแผ่นดินโดยตรวจสอบและให้หน่วยงานทางราชการชี้ แจ้งแสดงเหตุผล และสั่งการให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไปได้ โดยต้องมีมาตรฐานของการเป็นองค์กรบริหารงานในองค์กรและบริหารราชการสูงสุด ของแผ่นดินและจะต้องตระหนักว่าถึงหน้าที่ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ ประชาชน ตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข เพราะ “ทุกข์ของประชาชนนั้นคือ ทุกข์ของแผ่นดิน” แต่จำเลยทั้งสามได้ละเลยละเว้น อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง (หลักฐานและเอกสารจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
จากการต่อสู้คดีในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองได้พยายามแสวงหาความเป็นธรรมจากทุกฝ่าย ทุกองค์กร เท่ที่สามารถจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองต้องต่อสู้คดีต้องแสวงหาพยานหลักฐานต่างๆ แสดงต่อศาลด้วยตนเองทั้งที่ความจริงแล้ว เมื่อไม่มีข้อเท็จจริง หรือการกระทำที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนไม่มีอยู่จริง ก็เป็นธรรมดาที่ว่าไม่มีพยานหลักฐานที่เป็นจริงปรากฏอยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่มีการกล่าวอ้างในสำนวนการสอบสวน ไม่มีพยานบุคคลใดๆ ที่สามารถจะสืบหา เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อใช้ยันกับข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนได้ ดังนั้น การจะทำการสืบพยานเพื่อหักล้างข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนที่เป็นเท็จย่อม กระทำได้ยากเป็นอย่างยิ่ง โจทก์ทั้งสองจึงมีเพียงหลักกฎหมายที่จะใช้ต่อสู้คดีเท่านั้น การสร้างพยานหลักฐานเท็จในสำนวนการสอบสวน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในการสอบสวน และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในการฟ้องคดี เพราะได้นำเอาผลของการสอบสวนที่ได้ทำโดยผิดกฎหมายมาฟ้องคดีโจทก์เพื่อดำเนิน คดีกับโจทก์
ข้อ ๗.โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของโจทก์ที่ ๑ โดยโจทก์ที่ ๑ ได้ถูกออกหมายจับโดยการเสนอขอออกหมายของ พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ และพวกต่อกระทรวงมหาดไทย (ขณะนั้นกรมตำรวจอยู่ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย) และกระทรวงมหาดไทยก็ได้อนุมัติออกหมายจับโจทก์ที่ ๑ โดยพล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ เป็นผู้ออกหมายจับโจทก์ที่ ๑ อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหาย ทำให้สูญเสียอิสรภาพ เสรีภาพ ต้องถูกคุมขัง และไม่ให้ประกันตัว จนโจทก์ที่ ๑ ล้มป่วยและถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ โจทก์ที่ ๑ ได้รับการประกันตัวในระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็ได้รับการข่มขู่ว่าให้ประกันตัวเพราะป่วยและต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลเท่า นั้น ถ้าหายป่วยและออกจากโรงพยาบาลจะถอนประกันทันที ในระหว่างที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โจทก์ที่ ๑ ได้ร้องขอความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวนขอให้สอบคำให้การโจทก์ที่ ๑ เพิ่มเติม โดยขอให้บันทึกคำให้การของโจทก์ที่ ๑ ตามวิธีการสอบสวนของพนักงานสอบสวนด้วย พนักงานสอบสวนไม่ยอมสอบไปสอบคำให้การของโจทก์ที่ ๑ เพิ่มเติม และเมื่อ โจทก์ที่ ๑ หายป่วยออกจากโรงพยาบาล พนักงานสอบสวนก็ตามตัวโจทก์ที่ ๑ ส่งพนักงานอัยการในวันรุ่งขึ้นทันที โดยไม่ยอมทำการสอบสวนคำให้การของโจทก์ที่ ๑ ทั้งๆ ที่ โจทก์ที่ ๑ ได้ร้องขอ (ปรากฏตามเอกสารร้องขอให้สอบคำให้การโจทก์ที่ ๑ เพิ่มเติม เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๒)
เมื่อพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวโจทก์ที่ ๑ ต่อพนักงานอัยการแล้ว โจทก์ที่ ๑ ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบขอให้สอบคำให้การโจทก์ ที่ ๑ และพยานโจทก์ที่ ๑ พนักงานอัยการได้แจ้งว่า จะสอบคำให้การโจทก์ที่ ๑ อีกไม่ได้ แต่จะสอบพยานโจทก์ที่ ๑ ตามที่โจทก์ที่ ๑ ร้องขอได้ โจทก์ที่ ๑ ได้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ โดยขอให้สอบคำให้การพยานโจทก์ที่ ๑ (ปรากฏตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๓)
ต่อมามีการสอบพยานโจทก์ที่ ๑ ตามที่โจทก์ที่ ๑ ร้องขอแต่ก็ยังสอบไม่เสร็จ โดยพนักงานสอบสวนได้สอบคำให้การนางยินดี ต่อสุวรรณ (โจทก์ที่ ๒) ภรรยาโจทก์ที่ ๑ ยังไม่จบคำให้การสอบไปได้เพียงบางส่วน พนักงานสอบสวนได้นัดวันให้มาสอบคำให้การโจทก์ที่ ๒ ไว้แล้ว และยังเหลือพยานอีก ๑ ปาก ที่ยังไม่ได้สอบคำให้การเลย แต่ยังไม่ถึงวันนัดสอบคำให้การโจทก์ที่ ๒ ให้แล้วเสร็จ พนักงานอัยการก็สั่งฟ้องคดีทั้งๆยังสอบคำให้การตามที่โจทก์ที่ ๑ ร้องขอยังไม่เสร็จ พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีโดยที่การสอบสวนยังไม่เสร็จตามคำสั่งของพนักงาน อัยการ ซึ่งหากสอบคำให้การของโจทก์ที่ ๒ จนเสร็จสิ้น พนักงานอัยการก็จะสั่งส่งฟ้องคดีไม่ได้ เพราะไม่มีมูลเหตุการจ้างฆ่าและไม่มีการใช้จ้างวานระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับนายอภิชิต จำเลยที่ ๓ (ในคดีอาญา) เลย เพราะโจทก์ที่ ๑ กับนายอภิชิตมีเรื่องบาดหมางไม่ไว้วางใจกันในทางธุรกิจมาก่อน เพราะโจทก์ที่ ๑ ได้ฟ้องคดีนายอภิชิตมาก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ในการสั่งฟ้องของพนักง่านอัยการ พนักงานอัยการก็ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นพิจารณาเพื่อสั่งฟ้องหรือ สั่งไม่ฟ้องแต่อย่างใด ทั้งๆที่ปรากฏหลักฐานเป็นเอกสารที่โจทก์ที่ ๒ ได้อ้างส่งในสำนวนคดีที่พนักงานอัยการได้ส่งให้สอบเพิ่มเติมไว้แล้ว จึงเป็นที่เห็นได้ว่าการใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการนั้น เป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ชอบ
การกระทำของพนักงานอัยการสังกัดจำเลยที่ ๒ โดยใช้อำนาจหน้าที่ ซึ่งทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายต้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญาเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติยศ และสิ้นไปซึ่งสิทธิทุกอย่าง ต้องถูกจองจำต้องมีการประกันตัว ไม่อาจติดต่อธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศได้เลย ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นโจทก์ที่ ๑ กำลังขยายธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ ไปลงทุนก่อสร้างอาคารสูงที่สุดในประเทศจีนในโครงการ Chinese Business Center โดยได้ติดต่อกับรัฐบาลจีนเพื่อขอเช่าที่ดินที่เมืองเซินเจิ้น และได้ดำเนินการออกแบบสถาปัตยกรรมเสนอต่อรัฐบาลประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลจีนที่กรุงปักกิ่งก็ได้เห็นชอบในโครงการดังกล่าวแล้ว กับได้ติดต่อที่จะลงทุนในประเทศกัมพูชาในโครงการ Rainbow offshore lsland โดยขอเช่าเกาะในประเทศกัมพูชา และอยู่ในระหว่างการเสนอแบบก่อสร้างและเจรจา แต่การดำเนินการโครงการดังกล่าวต้องล้มเลิกไป เพราะโจทก์ที่ ๑ ถูกฟ้องคดีอาญา มีข่าวไปทั้วโลก ทำให้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในตัวโจทก์ที่ ๑ ต้องสูญสิ้นไปด้วย ซึ่งโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายที่กระทบไปถึงการงานของโจทก์ที่ ๑ ความเป็นอยู่ในชีวิต ชื่อเสียง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และอนาคตของโจทก์ต้องสูญสิ้นไปทั้งหมด (เอกสารและหลักฐานจะเสนอในชั้นพิจารณา)
๗.๑ ในขณะที่โจทก์ที่ ๑ ถูกกล่าวหาและถูกฟ้องคดีนั้น เป็นช่วงเวลาที่โจทก์ที่ ๑ ได้เตรียมการที่จะเอาบริษัทพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งโจทก์ที่ ๑ เป็นประธานบริษัทอยู่หลายบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกำลังดำเนินการสวอปหุ้น ปรับองค์กรบริษัทในเครือใหม่ โดยรวมบริษัทต่างๆ เข้าด้วยกันในนามของบริษัทบ้านฉัตรเพชร จำกัด และได้จัดการโฆษณาด้วยการจัดงานและเรียกชื่องานว่า “วันสู่ความสำเร็จ” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ก่อนเกิดเหตุคดีนี้เพียงประมาณ ๓ เดือนเท่านั้น ได้มีการประกาศเปิดตัวการปรับโครงการบริษัทใหม่ เพื่อเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์และขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยในขณะนั้นโจทก์ที่ ๑ ได้เตรียมการเอาบริษัทพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับโครงสร้างการถือหุ้น ใหม่ คือ
(๑) บริษัท บ้านฉัตรเพชร จำกัด เป็นโครงการบ้านจัดสรรและโครงการอาคารชุด มีมูลค่าของโครงการประมาณ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นล้านบาท)
(๒) บริษัทสาธร ยูนีค จำกัด (มหาชน) เป็นโครงสร้างการอาคารชุด มีมูลค่าของโครงการประมาณ ๒,๕๐๐,๐๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองพันห้าร้อยล้านบาท)
(๓) บริษัทสีลม พรีเชียส ทาวเวอร์ จำกัด เป็นโครงการสร้างอาคารชุด มีมูลค่าของโครงการประมาณ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท)
(๔) บริษัทสกายบีช คอนโดมิเนียม จำกัด เป็นโครงการสร้างอาคารชุด มีมูลค่าของโครงการประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สี่พันล้านบาท)
(๕) บริษัทพาร์คบีช รีสอร์ท จำกัด เป็นโครงการสร้างอาคารชุด มีมูลค่าโครงการประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามพันล้านบาท)
(๖) บริษัทกรีนวู้ด ไฮเทค รีสอร์ท จำกัด เป็นโครงการหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งจัดสรรขายทั้งที่ดินเปล่า และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารชุด โรงแรม สนามกอล์ฟ มีมูลค่าของโครงการประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าพันล้านบาท)
(๗) บริษัทโกลเด้นบีช การ์เด้นท์ รีสอร์ท จำกัด เป็นโครงการสร้างอาคารชุด มีมูลค่าของโครงการประมาณ ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองพันห้าร้อยล้านบาท)
และได้มีแผนการที่จะเอาบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทค้าวัสดุหินอ่อนและค้าคอนกรีตผสมเสร็จ คือบริษัท หินสวย จำกัด และบริษัท ยูนิค คอนกรีต จำกัด รวมหุ้นเข้าไปด้วย แต่เมื่อมีเหตุการที่มีการกล่าวหาและดำเนินคดีกับโจทก์ที่ ๑ เกิดขึ้น โครงการที่ดำเนินการทางธุรกิจที่จะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ต้องล้มเลิก ไป เพราะการเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของผู้ดำเนินการเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อมีคดีเกิดขึ้นกับโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ จึงหมดโอกาสที่จะดำเนินธุรกิจโดยจะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้อีกต่อไป
๗.๒ โจทก์ที่ ๑ มีหุ้นในบริษัท สีลม พรีเซียส ทาวเวอร์ จำนวน ๑๑,๒๐๐,๐๐๐ หุ้น (สิบเอ็ดล้านสองแสนหุ้น) คิดเป็นร้อยละ ๕๖ ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในระหว่างที่โจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินคดีในศาลโดยที่โจทก์ที่ ๑ ได้รับการปล่อยชั่วคราวจากศาล โจทก์ที่ ๑ ได้ต่อสู้คดีและได้ดำเนินธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ ให้เดินต่อไปได้ ในระหว่างการสืบพยานโจทก์ในคดีนี้นั้น พนักงานสอบสวนได้กลั่นแกล้งสร้างเรื่องกล่าวหาโจทก์ที่ ๑ ข่มขู่พยาน เพื่อให้ศาลถอนประกันโจทก์ที่ ๑ และศาลถอนประกันโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ ถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๖ จนถึงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๗ เป็นเวลาเกือบ ๖ เดือน ทำให้ธุรกิจโครงการสีลมพรีเซียส ทาวเวอร์ ซึ่งกำลังก่อสร้างและลูกค้ากำลังผ่อนชำระค่าห้องที่จองไว้นั้นได้รับความ เสียหาย เนื่องจากโจทก์ที่ ๑ ถูกจำคุก ธนาคารได้งดการปล่อยสินเชื่อ และลูกค้าหยุดชำระค่าผ่อน ทำให้ผู้ถือหุ้นหวั่นไหวและเสนอจะขายหุ้นให้แก่บุคคลอื่น เมื่อโจทก์ที่ ๑ ได้ขอประกันตัวได้ในเดือนเมษายน ๒๕๓๗ โจทก์ที่ ๑ จึงจำเป็นต้องขายหุ้นให้แก่ นางสาวราศรี บัวเลิศ เพราะไม่สามารถดำเนินกิจการได้อีกต่อไป โจทก์ที่ ๑ จำเป็นต้องขายหุ้นไปในราคาถูก คือ หุ้นละ ๑๐ บาท เป็นเงิน ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยนางสาวราศีได้ชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ที่ ๑ บางส่วน ค้างชำระเงินค่าหุ้นอีก ๑๓๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่นางสาวราศรีไม่มีเงินจ่ายให้โจทก์ที่ ๑ จึงได้ทำสัญญาเปลี่ยนเป็นหุ้นคิดเป็นร้อยละ ๑๖ ของทุนจดทะเบียนเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการบริษัท มีทุนจดทะเบียน ๒,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีหุ้น ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ หุ้น จึงเป็นหุ้นที่โจทก์ที่ ๑ จะได้รับเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ ๓๘,๔๐๐,๐๐๐ หุ้น หุ้นละ ๑๐ บาท คิดเป็นเงิน ๓๘๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่เมื่อเสร็จสิ้นโครงการแล้ว นางสาวราศรีไม่ยอมโอนหุ้นร้อยละ ๑๖ ให้แก่โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ ได้ฟ้องนางสาวราศรี เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ซึ่งในขณะนั้นนางสาวราศรียังไม่เป็นบุคคลล้มละลาย แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางสาวราศรี โอนหุ้นบริษัทให้แก่โจทก์ที่ ๑ ร้อยละ ๑๖ ของทุนจดทะเบียน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท หากโอนไม่ได้ให้ชำระเป็นเงินโดยคิดมูลค่าหุ้นๆ ละ ๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๘๙,๖๐๐,๐๐๐ บาท (ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ๑๒๒๑/๒๕๔๘ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑๔)
โจทก์ที่ ๑ ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยโอนหุ้นให้แก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ร้อยละ ๑๖ ของทุนจดทะเบียน ๒,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองพันสี่ร้อยล้านบาท) ในมูลค่าหุ้นละ ๑๐ บาท ที่ได้ชำระราคาเต็มแล้วเป็นจำนวนหุ้น ๓๘,๔๐๐,๐๐๐ หุ้น (สามสิบแปดล้านสี่แสนหุ้น) โดยปลอดภาระใดๆให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่โอนหุ้นดังกล่าวให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าหุ้นในมูลค่าหุ้นละ ๑๐ บาท ในจำนวน ๓๘,๔๐๐,๐๐๐ หุ้น รวมเป็นเงิน ๓๘๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๓๘๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ (ปรากฏตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๘๐๗/๒๕๕๓ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๕ ) คดีดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นฎีกา คดีถึงที่สุด (ปรากฏตามหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๖)
เมื่อ นางสาวราศี ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ที่ ๑ ยังไม่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าว การที่โจทก์ที่ ๑ ต้องการขายหุ้นของโจทก์ที่ ๑ ให้กับนางสาวราศรี ก็เนื่องมาจากโจทก์ที่ ๑ ได้ถูกกล่าวหาและถูกฟ้องเป็นคดีอาญา และถูกคุมขังมาเป็นเวลานานหลายเดือน ทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเดือนร้อนและเสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ได้กระ โดยผิดกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ ต่อไปได้ และจำเป็นต้องขายหุ้นของโจทก์ที่ ๑ ไป การที่โจทก์ที่ ๑ ไม่ได้รับชำระหนี้ค่าหุ้นก็เป็นเหตุเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยทั้งสามที่ ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อจะยังไว้ซึ่งความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ทำให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ ต่อไปได้ และจำเป็นขายหุ้นของโจทก์ที่ ๑ ไป การที่โจทก์ที่ ๑ ไม่ได้รับชำระหนี้ค่าหุ้น ก็เป็นเหตุเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าว โจทก์ที่ ๑ จึงเสียหายในเงินจำนวน ๓๘๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
นางสาวราศรี ได้ซื้อหุ้นบริษัท สีลม พรีเซียส ทาวเวอร์ ไปทั้งหมด ในขณะนั้นโครงการสีลม พรีเซียส ทาวเวอร์ ได้เริ่มดำเนินการไปมากแล้ว มีการก่อสร้างไปแล้วกว่า ๑๐ ชั้น มีการขายพื้นที่ให้ลูกค้าไปแล้วเป็นจำนวนมากและรับเงินผ่อนจากลูกค้ามาลงทุน ในการก่อสร้างไปทั้งหมด และในการดำเนินการของนางสาวราศรี ที่ได้ซื้อโครงการไปดำเนินการโครงการจนเสร็จสิ้นโครงการ ปรากฏว่า เมื่อโครงการเสร็จเจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาขายห้องชุดในโครงการทั้งหมด เป็นเงิน ๑๐,๗๙๖,๑๑๖,๔๐๐ บาท(หนึ่งหมื่นเจ็ดร้อยเก้าสิบหกล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหกพันสี่ร้อยบาท) อันเป็นราคาประเมินซึ่งต่ำกว่า ราคาขายประมาณ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเป็นราคาขายพื้นที่อาคารทั้งหมดเป็นเงินประมาณ ๑๔,๐๓๔,๙๕๑,๓๒๐ บาท (หนึ่งหมื่นสี่พันสามสิบสี่ล้านเก้าแสนห้าหมื่นหนึ่งพันสามร้อยยี่สิบบาท) เมื่อหักจากหนี้จำนองแล้ว ๘,๘๙๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โครงการจะมีกำไรประมาณ ๕,๑๔๑,๙๕๑,๓๒๐ บาท เมื่อโจทก์ที่ ๑ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ ๕๖ จึงเป็นเงินที่โจทก์ที่ ๑ จะได้รับเงินปันผลกำไรจากโครงการเป็นเงินประมาณ ๒,๘๗๙,๔๙๒,๗๓๙ บาท อันเป็นความเสียหายจำนวนน้อยที่สุดที่โจทก์ควรจะได้รับ หากไม่มีคดีเกิดขึ้นและโจทก์ดำเนินโครงการไปจนเสร็จ ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม โดยตรง (หลักฐานและเอกสารจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
๗.๓ นอกจากนี้ โจทก์ที่ ๑ ยังประกอบอาชีพเป็นสถาปนิก จากการประกอบอาชีพเป็นสถาปนิกของโจทก์ โจทก์ได้เป็นสถาปนิกออกแบบร่วมกับบริษัท รังสรรค์ สถาปัตย์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท รังสรรค์ แอนด์ พรรษิษฐ์ สถาปัตย์ จำกัด ในการให้บริการวิชาชีพสถาปัตยกรรมของโจทก์ โจทก์และบริษัทรังสรรค์ สถาปัตย์ จำกัด ได้รับจ้างให้บริการออกแบบโครงการให้กับบริษัทในเครือของโจทก์ที่ ๑ ทุกโครงการ ซึ่งบริษัทต่างๆ ในเครือของโจทก์ที่ ๑ ที่ได้ดำเนินโครงการนั้น บริษัทรังสรรค์ สถาปัตย์ จำกัด เป็นผู้ให้บริการวิชาชีพ โดยคิดค่าออกแบบและค่าบริการวิชาชีพในทุกโครงการ ในอัตราร้อยละ ๓.๕ ของค่าก่อสร้างอาคารโครงการทุกโครงการ และมีโครงการที่โจทก์ที่ ๑ และบริษัท รังสรรค์ฯ ได้ออกแบบไปแล้ว คือ โครงการฉัตรเพชร ทาวเวอร์ เป็นอาคารคอนโดมิเนียม ตั้งอยู่ที่ถนนตกเป็นอาคารสูง ๕๕ ชั้น ค่าบริการวิชาชีพและค่าออกแบบเป็นเงิน ๒๑๐ ล้านบาท โครงการฉัตรเพชรคอนโดมิเนียมที่บางพลี ค่าบริการวิชาชีพเป็นเงินประมาณ ๖๐ ล้านบาท โครงการฉัตรเพชรบางพลัด ค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน ๕๒.๕ ล้านบาท โครงการฉัตรเพชรรัชดาภิเษก ค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน ๕๒.๕ ล้านบาท โครงการฉัตรเพชร รัตนาธิเบศร์ ค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน ๑๐๕ ล้านบาท โครงการสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน ๓๘.๕ ล้านบาท โครงการสีลมพรีเซียส ทาวเวอร์ ค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน ๒๐๙ ล้านบาท โครงการกรีนวู๊ดไฮเทค รีสอร์ท จำกัด ค่าบริการวิชาชีพ ๑๔๐ ล้านบาท โครงการโกลเด้นบีช การ์เด้น รีสอร์ท จำกัด ค่าบริการวิชาชีพและค่าออกแบบ ๕๒.๕ ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ ๙๒๐ ล้านบาท และเนื่องจากการเกิดเหตุคดีนี้ แบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่ได้ออกไปแล้วต้องสูญเปล่า ทำให้ไม่ได้รับค่าออกแบบ และแบบสถาปัตยกรรมเป็นการงานทางทรัพย์สินทางปัญญาของโจทก์ต้องสูญสิ้นไปทั้ง หมด เพราะทำให้โครงการทุกโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ต้องหยุดลงทั้งหมด เนื่องจากการที่มีเหตุเกิดขึ้นนั้นทำให้สถาบันการเงินที่ให้กู้ยืม หรือให้สินเชื่อตลอดจนลูกค้าผู้จองซื้อห้องชุดทุกโครงการที่กำลังดำเนินการ อยู่นั้น ขาดความเชื่อมั่นว่าโครงการทั้งหมดไม่อาจจะดำเนินการต่อไปได้จนเป็นผลสำเร็จ เพราะโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้คิดโครงการและเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการของโครงการให้บรรลุเป้า หมายนั้นอาจจะต้องติดคุก ซึ่งในระหว่างการดำเนินคดีกำลังสืบพยานโจทก์ และโจทก์ที่ ๑ ได้รับการประกันตัวจากศาลนั้น ในเดือนธันวาคม ๒๕๓๖ พนักงานสอบสวนได้สร้างเรื่องว่ามีการข่มขู่พยาน เพื่อที่จะให้ศาลถอนประกันโจทก์ที่ ๑ และศาลได้ถอนประกันโจทก์ที่ ๑ และสั่งขังโจทก์ที่ ๑ ทำให้การดำเนินการทางธุรกิจในบริษัทต่างๆ ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งพอจะประคับประคองให้ดำเนินการต่อไปได้บ้าง ในระหว่างที่โจทก์ที่ ๑ ยังมีอิสระได้รับการประกันตัวไปจากศาลก็ต้องล้มครืนลงทั้งหมด เพราะสถาบันการเงินและลูกค้าผู้ซื้อห้องชุด ตลอดจนเจ้าหนี้ทางการค้าต่างๆก็หมดความหวังที่จะเห็นได้ว่า โครงการที่กำลังดำเนินการในบริษัทต่างๆของโจทก์จะดำเนินการไม่ได้อีกต่อไป เพราะโจทก์ที่ ๑ ติดคุกไปแล้วจริงๆ ปรากฏออกเป็นข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลกในขณะนั้นจากการดำเนินการเพื่อให้ ศาลถอนประกันกับโจทก์ที่ ๑ ของเจ้าพนักงานจำเลยที่ ๑ สถาบันการเงินก็งดการให้สินเชื่อแก่โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นทั้ง หมด ลูกค้าผู้ซื้อห้องชุดซึ่งกำลังผ่อนห้องชุดก็หยุดชำระค่าห้องชุด ซึ่งมีผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจอย่างมาก เพราะเงินที่ได้จากลูกค้าจะต้องนำมาเป็นเงินลงทุนในการก่อสร้างร่วมกับเงิน สินเชื่อจากสถาบันการเงินตามข้อบังคับและข้อตกลงของสถาบันการเงินผู้ให้สิน เชื่อที่ต้องให้ผู้ทำโครงการขายห้องชุดให้ได้จำนวนมากพอสมควร เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายนั้นมาสมทบเป็นค่าก่อสร้างอาคารโครงการด้วย ธุรกิจทุกชนิดโจทก์ที่ ๑ รับผิดชอบอยู่ต้องล้มระเนระนาดไปทั้งหมดเพราเหตุเกิดคดีนี้โดยตรง และเกิดจากการที่พนักงานของจำเลยที่ ๑ กลั่นแกล้งโจทก์โดยขอให้ศาลดำเนินการถอนประกันในระหว่างการสืบพยานโจทก์ ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการดูแลของพนักงานอัยการของจำเลยที่ ๒ โดยการสร้างเรื่องการข่มขู่พยานขึ้นซึ่งเป็นความเท็จ ทำให้โจทก์ที่ ๑ ขาดรายได้อันเป็นรายได้จากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆเป็นจำนวนมาก โจทก์ที่ ๑ ต้องสูญเสียโอกาสในความเจริญและทางทำมาหาได้ในชีวิตของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งโจทก์ที่ ๑ ควรจะมีรายได้จากโครงการต่างๆคิดเป็นเงินที่เป็นกำไรโครงการไม่น้อยกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโจทก์ที่ ๑ ซึ่งโจทก์ที่ ๑ จะมีรายได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของแต่ละโครงการ ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท
๗.๔ ในระหว่างการดำเนินเรื่องเพื่อกล่าวหาให้โจทก์ที่ ๑ ต้องถูกดำเนินคดี เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ได้ใช้วิธีการทางจิตวิทยา เพื่อกลบเกลื่อนการสร้างเรื่องคดีอาญาโดยใช้สื่อมวลชนเสนอข่าวเพื่อให้ สาธารณชนเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงและมีเหตุที่จะเกิดเรื่อง ดังกล่าวขึ้นได้ เพื่อให้สาธารณชนกดดันโจทก์ทั้งสองให้เป็นผู้ต้องหากระทำความผิดให้ได้ โดยพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่, พนักงานสอบสวนและนายประมาณ ชันซื่อ ได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งมาที่โจทก์ทั้งสอง โดยมีการสมคบกันกำหนดตัวโจทก์ทั้งสองไว้ล่วงหน้า มีการเปลี่ยนแปลงกันให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงสาเหตุการจ้างฆ่า การให้ข่าวต่อสื่อมวลชนแล้วสื่อมวลชนนำไปลงข่าวนั้น มิใช่เป็นการเสนอข่าวปกติธรรมดา แต่สื่อมวลชนได้นำไปร้อยเรียงเขียนเป็นเรื่องเป็นราวทำให้สาธารณชนหลงเชื่อ ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง หากไม่มีการให้ข่าวโดยใส่ร้ายป้ายสีกันแล้วสื่อมวลชนก็ไม่สามารถนำไปทำเป็น เรื่องเป็นราวและมีการนำไปทำเป็นหนังสือขายเป็นเล่มๆ ได้ จากการให้ข่าวดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการนำไปแถลงและอภิปรายกันในสภาผู้แทนราษฏรครั้งที่ ๗ สมัยสามัญครั้งที่ ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ได้ขอแถลงในสภาผู้แทนราษฏรซึ่งมีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศ จากการแถลงในสภาผู้แทนราษฏรของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรได้อภิปรายที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง และมีการแถลงโดยมุ่งมาที่โจทก์ที่ ๑ โดยระบุว่าเป็นสถาปนิกผู้อยู่เบื้องหลังการจ้างฆ่า และมุ่งมาที่โจทก์ที่ ๒ ว่าเป็นอดีตข้าราชการในจังหวัดนครสวรรค์ เป็นการอภิปรายให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้บงการอันเป็นการดูถูกเหยียด หยามโจทก์ทั้งสองในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการยืนยันการกระทำว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้กระทำการจ้างฆ่านายประมาณ และมีการอภิปรายยกย่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมยุยงให้ตำรวจต้องทำ การจับกุมให้ได้ โดยใช้คำสโลแกนว่า “พระต้องสวด เป็นตำรวจต้องจับ” อันเป็นการยุยงให้ทำการจับกุมโจทก์ทั้งสอง โดยไม่ต้องมีหลักฐานและเหตุผลในทางคดี แต่ให้จับไว้ก่อน ซึ่งนับได้ว่าเป็นคดีเดียวในโลกที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกข่าว ยุยงให้ฝ่ายบริหารจับคน โดยไม่ต้องมีเหตุตามกฏหมายและฝ่ายบริหารซึ่งมีจำเลยที่ ๑ สังกัดอยู่ก็ดำเนินการให้ การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร และมีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศนั้น ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เป็นการอภิปรายดูถูกเหยียดหยามโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายแก่เชื่อเสียงและวงศ์ตระกูลอย่างมาก จากการให้ข่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้ข่าวต่อสื่อมวลชน และการให้ข่าวในสภาผู้แทนราษฏรโดยมีต้นเหตุของการให้ข่าวมาจากเจ้าหน้าที่ ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้สร้างเรื่องขึ้น โจทก์ที่ ๑ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและกำลังดำเนินงานทางธุรกิจที่กำลังเจริญ รุ่งเรือง โจทก์ที่ ๒ เป็นข้าราชการตุลาการ เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหญิงคนแรก เป็นอธิบดีผู้พิพากษาหญิงคนแรกได้รับรางวัลข้าราชการดีเด่นจากสำนักนายก รัฐมนตรี เมื่อมีการสร้างคดีอาญาใส่ร้ายปรักปรำโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงและถูกดูถูก เหยียดหยามของคนในสังคม และได้รับความเสียหาย ซึ่งโจทก์ทั้งสองขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน ๒๐๐ ล้านบาท
๗.๕ การที่โจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินคดีอาญาดังกล่าว ทำให้โจทก์ที่ ๑ ไม่สามารถประกอบกิจการงาน ดูแลธุรกิจของตนเองได้เลย เพราะต้องต่อสู้คดี ซึ่งมีความยากลำบากในการหาทนายความต่อสู้คดีเป็นอย่างมาก เพราะทนายความเห็นว่าประธานศาลฏีกาเป็น ผู้เสียหาย การมีคดีพิจารณาคดีของศาลก็ดำเนินไปโดยเข้มงวดและนัดคดีกระชั้นชิด โจทก์ที่ ๑ ไม่มีโอกาสได้เตรียมคดี และมีความวิตกกังกวลอย่างที่สุด ซึ่งในคดีอาญาที่โจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินคดี โจทก์ที่ ๑ ขอประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนก็แสนยาก การขอประกันตัวในศาลก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวได้โดยง่าย ต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์จึงได้รับการประกันตัว โจทก์ที่ ๑ จึงไม่สามารถที่จะไปดูแลธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากได้ ทำให้ธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ ที่กำลังดำเนินการอยู่ด้วยดี คือ โครงการสกายบีช คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี โดยเป็นโครงการของบริษัท สกายบีช คอนโดมิเนียม จำกัด และโครงการพาร์คบีช รีสอร์ท คอนโดมิเนียม ซึ่งตั้งอยู่ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี โดยเป็นโครงการคของบริษัทพาร์คบีช รีสอร์ท จำกัด และโครงการทั้งสองสร้างใกล้เสร็จและมีการขายห้องชุดให้ลูกค้าเกือบทั้งหมด แล้ว แต่เพราะเหตุที่โจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีข้อหาร้ายแรง มีโทษถึงประหารชีวิต โจทก์ที่ ๑ ไม่สามารถดูแลดำเนินการทางธุรกิจได้เลย ทำให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัททั้งสองได้กระทำการถ่ายเทเงินและ ทรัพย์สินของบริษัททั้งสองออกจากบริษัทโดยอาศัยระบบทางบัญชี ซึ่งเรียกว่าการไซฟ่อนเงินและทรัพย์สินของบริษัทและยักยอกทรัพย์สินออก จากบริษัท โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินที่บริษัททั้งสองต้องสูญ เสียรายได้และทรัพย์สินไปเป็นมุลค่าไม่น้อยกว่า ๑,๕๐๐ ล้านบาท และสร้างหนี้เทียมให้กับบริษัททั้งสอง บริษัททั้งสองได้ถูกฟ้องดำเนินคดีเรียกเงินจากสถาบันการเงินหลายแห่งโจทก์ ที่ ๑ ได้รับความเสียหายที่เกิดจากกิจการของบริษัททั้งสองเป็นเงินไม่น้อยกว่า ๑,๕๐๐ ล้านบาท อันเป็นความเสียหายที่เกิดจากการที่โจทก์ที่ ๑ ถูกฟ้องคดีอาญาโดยตรง (เอกสารและหลักฐานจะเสนอศาลในชั้นพิจารณา)
อีกทั้งมีการอ้างคดีที่บริษัทสกายบีช คอนโดมิเนียม จำกัด ฟ้องคดีบริษัท สราญชล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กับพวกเป็นจำเลยที่ศาลจังหวัดชลบุรีมาเป็นสาเหตุการจ้างฆ่า โดยมิได้มีการสอบสวนสาเหตุในคดีดังกล่าว และการอ้างคดีดังกล่าวไม่เป็นสาเหตุการจ้างฆ่า จึงมีอุปสรรคในการดำเนินคดี มีความกดดันการดำเนินคดีของบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ต้องยุติการดำเนินคดี โดยที่คดีมิได้ดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายเป็นเงินไม่น้อยกว่า ๕๐๐ ล้านบาท อันเป็นความเสียหายที่เกิดจากสาเหตุที่มีการสร้างเรื่องดำเนินคดีกับโจทก์ ทั้งสองโดยตรง (เอกสารและหลักฐานจะเสนอในชั้นพิจารณา)
๗.๖ โครงการสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ของบริษัทสาธร ยูนีค จำกัด (มหาชน) เป็นโครงการอาคารสูง ๔๓ ชั้น โครงการบ้านฉัตรเพชร จำกัด ซึ่งมีอาคารโครงการฉัตรเพชร ทาวเวอร์โครงการฉัตรเพชรบางพลัด โครงการฉัตรเพชรรัชดาภิเษก โครงการฉัตรเพชรรัตนาธิเบศร์ ของบริษัทบ้านฉัตรเพชร จำกัด โครงการกรีนวู้ด ไฮเทค รีสอร์ท มีที่ดินประมาณ ๑,๕๐๐ ไร่ เป็นโครงการบ้านจัดสรร จัดสรรขายทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาคารชุดในโครงการ โรงแรม สนามกอล์ฟ ซึ่งในนามบริษัทกรีนวู้ด ไฮเทค รีสอร์ท จำกัดและโครงการโกลเด้นบีช การ์เด้น รีสอร์ท เป็นโครงการอาคารชุดขนาดใหญ่ ซึ่งดำเนินการในนามบริษัท โกลเด้นบีช การ์เด้น รีสอร์ท จำกัด ทุกโครงการเป็นโครงการที่กำลังดำเนินการทั้งสิ้นในขณะเกิดเหตุ เมื่อมีคดีซึ่งข้อหาร้ายแรงเกิดกับโจทก์ที่ ๑ ทำให้โครงการทุกโครงการมีอุปสรรคไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ และถูกฟ้องคดีจำนวนหลายคดีจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในโครงการ ก่อให้เกิดหนี้สินจำนวนมากเพราะถูกฟ้องคดีโจทก์ที่ ๑ เป็นประธานบริษัทในฐานะผู้ค้ำประกันการกู้ยืมก็ได้ถูกฟ้องคดีไปด้วย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกฟ้องคดีมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท อันเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของจำเลยโดยตรงที่ทำให้เกิด คดีกับโจทก์ (เอกสารและหลักฐานจะเสนอในชั้นพิจารณา)
๗.๗ โจทก์ที่ ๑ มีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในรูปของบริษัทอยู่หลายบริษัท โดยเป็นประธานบริษัททุกบริษัทและเป็นสถาปกนิก โจทกที่ ๑ มีความรู้ในทางวิชาการเกี่ยวกับการก่อสร้างรู้เรื่องการลงทุน การบริหารงานเกี่ยวกับการลงทุน ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี ก่อนมีคดีโจทก์ที่ ๑ ได้ก่อตั้งบริษัทและทำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ทั้งที่เป็นผู้ลงทุนและรับจ้างออกแบบและบริหารการตลาดให้ผู้ว่าจ้างหลายราย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด โจทก์ที่ ๑ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความรู้และมีเกียรติ แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาในข้อหาร้ายแรง และโจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาจ้างฆ่าประธานศาลฏีกา ทำให้เสียชื่อเสียง และเสียหายแก่ธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนในทุกวงการ รวมทั้งคนในทางธุรกิจ การธนาคาร สถาบันการเงิน ทำให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งขณะนั้นกำลังดำเนินโครงการอยู่หลายโครงการต้องประสบปัญหาในทุกด้าน และล่มสลายขาดทุนย่อยยับ โจทก์ที่ ๑ สูญเสียในศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ในการดำรงชีพได้อย่างบุคคลปกติที่มีความ สามารถของตนเองในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรองรับธุรกิจอื่นที่สามารถทำรายได้เข้าประเทศได้อย่างมหาศาล และสูญเสียศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ในฐานะของความเป็นคนไทยที่จะต้องทำงาน ในสายอาชีพให้เกิดผลดีต่อชาติบ้านเมือง โดยสามารถทำกำไรในการดำเนินโครงการต่างๆ และนำเงินที่เป็นกำไรและรายได้มาเสียภาษี เพื่อทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองของตนเองได้เยี่ยงพลเมืองที่ดีในแผ่นดินแม่ของ ตนเองได้ ต้องสูญเสียโอกาสนำงานออกแบบสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญามาทำการ ก่อสร้างให้ปรากฏผลงานทางทรัพย์สินทางปัญญาของโจทก์ที่ ๑ ต่อสาธารณะ โจทก์ที่ ๑ ต้องสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตร ธิดา ตามแผนการณ์ที่ได้วางใจให้แก่ลูกในอนาคตที่ได้เคยวางแผนไว้ได้ โจทก์ที่ ๑ ต้องสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นสามีที่ต้องดูภรรยาได้อย่างมีความสุขเยี่ยง ปุถุชนคนทั่วไปได้ ต้องนำความทุกข์ยากมาสู่ครอบครัว มารดาและญาติพี่น้องอย่างไม่อาจประมาณได้ ทำให้มารดาทั้งสองของโจทก์ทั้งสองซึ่งชราภาพมาก และต้องล้มป่วยและเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยความทุกข์กังวลและห่วงใยอย่างที่ สุด เหตุเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าพนักงานจำเลยทั้งสาม โจทก์ที่ ๑ เคยมีสถานภาพทางสังคม โดยเป็นอาจารย์สอนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มานานเป็นเวลา ๒๕ ปี และได้ลาออกเพื่อมาทำธุรกิจ โจทก์ที่ ๑ เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองชื่อพรรคประชารัฐ มีนักการเมืองและบุคคลอื่นเข้าเป็นสมาชิกมากมาย เป็นประธานชมรมพระเครื่องแห่งประเทศไทย เป็นประธานสมาคมการค้าอาคารชุดแห่งประเทศไทย เคยเป็นประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พล.ต.อ ประมาณ อดิเรกสาร) เป็นที่ไว้วางใจของบุคคลทั่วไป ธุรกิจกำลังเจริญรุ่งเรือง แต่ต้องวิบัติกลายเป็นผู้มีหนี้สินและถูกฟ้องคดีในทางธุรกิจจำนวนมากเพราะ เหตุละเมิดดังกล่าวนั้น
๗.๘ โจทก์ที่ ๒ ก็ได้รับผลกระทบในอาชีพของตนที่เป็นข้าราชการตุลาการ หน้าที่การงานกำลังเจริญรุ่งเรือง แต่ต้องเสียชื่อเสียงเกียรติคุณ เพราะเหตุละเมิดดังกล่าว ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน และไม่ได้การเลื่อนตำแหน่งในเวลาที่ควรเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียง ทรัพย์สิน และสิทธิเป็นอย่างมาก มีการไขข่าวแพร่หลายไปทั่ว ทั้งทางหนังสือพิมพ์ การให้ข่าวทางโทรทัศน์ วิทยุและการสื่อสารแทบทุกชนิด เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณแก่ทางทำมาหาได้และทางเจริญของโจทก์ ที่ ๒ และครอบครัวของโจทก์ทั้งสอง ความเป็นอยู่ในครอบครัวอย่างปกติต้องสูญสิ้นไป มีแต่ความทุกข์ทรมานและวิตกกังวลมาเป็นเวลานานถึง ๑๘ ปี ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ จะต้องร่วมกันหรือทดแทนกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๗.๙ โจทก์ทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีนี้ นับตั้งแต่โจทก์ที่ ๑ ถูกดำเนินดคีจนถึงที่สุดเป็นเวลากว่า ๑๘ ปี โดยโจทก์ทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายอาทิเช่น ค่าทนายความ ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับคดีอาญาที่โจทก์ที่ ๑ ถูกฟ้อง ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์ที่ ๑ ตลอดเวลา ๑๘ ปี ต้องต่อสู้คดี คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีเป็นเงิน ๔๐ ล้านบาท จำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการละเมิดของจำเลยทั้งสาม ที่มีต่อโจทก์ทั้งสองให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
ข้อ ๘.การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๑ พนักงานอัยการในสังกัดจำเลยที่ ๒ และสำนักนายกรัฐมนตรีจำเลยที่ ๓ ที่กระทำการ ละเว้นกระทำการใดๆ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีเจตนาที่จะให้โจทก์ที่ ๑ ต้องได้รับโทษทางอาญา อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองในสิทธิ เสรีภาพในชีวิต ร่างกาย และสิทธิในทุกชนิดของโจทก์ เป็นการ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองต้องได้รับความเสียหาย สูญเสียอาชีพการงาน ทำให้ธุรกิจของโจทก์ที่ ๑ และของครอบครัวต้องล้มสลายสูญเสียและเสียหายกว่า ๓๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นล้านบาท) โจทก์ทั้งสองใช้เวลาในการแสวงหาหนทางแห่งความยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความ บริสุทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง และต้องใช้ระยะเวลา ตั้งปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ถึงปี พ.ศ.๒๕๕๓ รวมระยะเวลากว่า ๑๗ ปี กว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษายกฟ้องอันเป็นการพิสูจน์ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ บริสุทธิ์ โจทก์ทั้งสองต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจมืดที่จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันหยิบยื่นให้ ไม่ใช่แม้แต่ในการต่อสู้คดี แต่โจทก์ทั้งสองยังต้องตกอยู่ในภาวะกดดันที่สังคมทั่วไปประนาม ดูหมิ่น เหยียดหยาม และไม่ได้รับโอกาสในทางสังคมที่จะฟื้นฟูธุรกิจของตนเองได้เลย โจทก์ทั้งสองต้องถูกฟ้องร้องจากบุคคลที่เคยเป็นลูกค้าเป็นเพื่อนสนิท เป็นผู้ร่วมค้า และผู้ที่เคยให้การสนับสนุน เสมือนโจทก์ทั้งสองถูกสังคมซ้ำเติม เพราะโจทก์ทั้งสองไม่มีโอกาสที่จะทำธุรกิจฟื้นกลับคืนมาสู่ภาวะปกติได้ เพราะเหตุที่ข้อกล่าวหา และโทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้นสูงมาก โอกาสที่จะได้รับการเยียวยาจึงไม่เกิดขึ้นเลย จนบัดนี้โจทก์ทั้งสองมีอายุ ๗๒ ปี แล้ว ซึ่งต้องถือได้ว่าเป็นอายุของบุคคลที่เข้าสู่วัยชราภาพ ทั้งที่ความจริงแล้ว หากเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับโจทก์ทั้งสอง ชีวิตของโจทก์ทั้งสองและครอบครัวคงมีความสะดวกสบาย มีทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากการประกอบสัมมาชีพ มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพของคนทั่วไป แต่เป็นเพราะจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำ และละเว้นการกระทำโดยไม่ชอบ จนเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองและครอบครัวต้องเสียหายคิดเป็นค่าเสียหายเป็นเงิน ทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามพันล้านบาท)
และก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสองได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสาม แลพะจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง (ปรากฏตามหนังสือบอกกล่าวและใบตอบรับทางไปรษณีย์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๗ และหมายเลข ๑๘-๒๐ ตามลำดับ)
จากการกระทำของจำเลยทั้งสามที่โจทก์ทั้งสองได้กราบเรียนข้างต้น ความเสียหายของโจทก์ทั้งสองนั้นมากมายสุดที่จะประมาณได้ อันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ดังกล่าวแล้ว โจทก์ทั้งสองต้องเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลมาจนทุกวันนี้ ยากที่จะเยียวยาได้ และสูญเสียรายได้จำนวนมาก สูญเสียโอกาสในทางเจริญของครอบครัว ชื่อเสียง เกียรติยศ ซึ่งจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ถึงแม้โจทก์ทั้งสองจะต้องสูญเสียโอกาสและรายได้เป็นจำนวนมาก โจทก์ทั้งสองก็ขอคิดค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามพันล้านบาท) ซึ่งโจทก์ทั้งสองขอยึดถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกัน ชดใช้เงินดอกเบี้ยจากในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ทั้งสองไม่มีทางใดที่จะบังคับกับจำเลยทั้งสามได้ จึงต้องขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด