จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศรัณย์ กิจวศิน
เผยแพร่อย่างเป็นทางการไปแล้ว สำหรับ “งบการเงิน” งวดปี 2554 ของธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือ “แบงก์ชาติ” โดยตัวเลขที่ปรากฏในบรรทัดสุดท้ายของ “งบกำไรขาดทุน” พบว่ามียอด “ขาดทุนสุทธิ” สูงถึง 130,371 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขาดทุนสุทธิ 117,473 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขาดทุนเพิ่มขึ้น 10.9%
ในจำนวนผลขาดทุนสุทธิที่ 130,371 ล้านบาทนั้น เกินกว่าครึ่งเป็นการขาดทุนที่เกิดจากส่วนต่างระหว่าง “ดอกเบี้ยรับ” กับ “ดอกเบี้ยจ่าย” ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงกว่าดอกเบี้ยรับ (negative carry) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงวดปี 2554 ที่แบงก์ชาติมีผลขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยตรงนี้สูงถึง 74,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีผลขาดทุนจากส่วนนี้ประมาณ 20,110 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นกว่า 271.37%
ตัวเลขการขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารนี้ แม้ยังไม่มี “คำอธิบาย” อย่างเป็นทางการจากแบงก์ชาติ แต่พออนุมานได้ว่า เกิดจาก “ภาระ” ที่ซ่อนอยู่ในรูปเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อธิบายง่ายๆ คือ ช่วงปลายปี 2553 เป็นช่วงที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในรูปพอร์ตการลงทุน ซึ่งเป็นการลงทุนระยะสั้น ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วและรุนแรง จนแบงก์ชาติต้องเข้าดูแลเพื่อไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวหวือหวาเกินไป เพราะเกรงว่าผู้ประกอบการทั้งผู้นำเข้าและส่งออกจะปรับตัวไม่ทัน
วิธีดูแลของแบงก์ชาติ ทำโดยเข้าแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยการรับซื้อเงินดอลลาร์เข้ามาเก็บไว้และปล่อยเงินบาทออกไปเพื่อให้ปริมาณเงินบาทมีเพียงพอกับความต้องการของนักลงทุนในขณะนั้น
การรับซื้อเงินดอลลาร์ของแบงก์ชาติ ทำให้ปริมาณเงินดอลลาร์ที่อยู่ในรูปเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเงินเหล่านี้แบงก์ชาตินำไปลงทุนในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในรูปพันธบัตรรัฐบาลของประเทศ ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่งผลให้ผลตอบแทนในรูป “ดอกเบี้ยรับ” ต่ำตามไปด้วย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1% เศษ
ขณะเดียวกัน การที่แบงก์ชาติต้อง “ปล่อยเงินบาทออกไป” เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของนักลงทุน ทั้งยังช่วยให้เงินบาทไม่แข็งค่าเร็วเกินไปนั้น กรณีนี้ส่งผลให้ปริมาณเงินบาทในระบบเพิ่มสูงขึ้น การที่เงินในระบบเพิ่มขึ้นนำไปสู่ความกังวลว่า จะเป็นต้นเหตุของภาวะ "ฟองสบู่" รวมถึง “เงินเฟ้อ” ที่เร่งตัวขึ้น
แบงก์ชาติจึงใช้วิธีดูดซับเงินบาทที่ปล่อยออกไปนั้นกลับมา โดยออก “พันธบัตร ธปท.” ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยช่วงเวลานั้นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วงขาขึ้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.25-3.5% และนี่คือ “ภาระดอกเบี้ยจ่าย” ที่แบงก์ชาติต้องจ่ายออกไป
ดังนั้น หากจะสรุปสาเหตุการขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นกว่า 271.37% ในปี 2554 นั้น เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นขาขึ้นในช่วงเวลานั้น สวนทางกับดอกเบี้ยรับที่ยังอยู่ในระดับต่ำ 2. ปริมาณเงินสำรองที่เพิ่มขึ้นทำให้มูลค่าจากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
สรุปแล้ว การขาดทุนในส่วนนี้ เกิดจากการทำหน้าที่ของ “ธนาคารกลาง” ในการดูแลเสถียรภาพด้าน “อัตราแลกเปลี่ยน” และเสถียรภาพด้าน “ราคา” ..พูดให้ง่าย คือ เป็นการยอม “เจ็บ” เพื่อ “ส่วนรวม” และการมีเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง ถือเป็นเรื่องดีเพราะสามารถใช้เป็นกันชนในยามที่วิกฤติเศรษฐกิจมาเยือนได้
เพียงแต่แบงก์ชาติจะยอมปล่อยให้สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ประจำทุกปีอย่างนั้นหรือ ..เพราะถ้ายอดขาดทุนสะสมของแบงก์ชาติเพิ่มขึ้นจนผู้ลงทุนต่างชาติลดระดับความไว้วางใจลง สุดท้ายเสถียรภาพการเงินของประเทศอาจถูกสั่นคลอนได้เช่นกัน ดังนั้น องค์กรอย่าง “แบงก์ชาติ” อาจยอมเจ็บเพื่อส่วนรวมได้ แต่มิอาจ “พลีชีพเพื่อชาติ” ได้!!
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน