รำลึก กวีแผ่นดิน.. อังคาร กัลยาณพงศ์ ผู้แปลความหมายจักรวาล
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : มโนมัย มโนภาพ
บทสัมภาษณ์ในวาระครบรอบ 85 ปี ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็น "คนแก่ ไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ในหลักเกิด แก่ เจ็บ ตาย"
(บทสัมภาษณ์ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่นจุุดประกาย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2554)
"ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ เหมือนคุณคุยกับต้นไม้... "
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ กล่าวต้อนรับอาคันตุกะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ แม้อยู่ในวัยที่เจ้าตัวบอกว่าเป็น "คนแก่ ไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ในหลักเกิด แก่ เจ็บ ตาย" แต่สมองและความคิดยังแจ่มใส เปี่ยมด้วยพลัง
ในยุคสมัยที่ผู้คนในสังคมไทยห่างไกลจากบทกวี และไม่เคยใกล้ชิดกับความงดงามของกวีนิพนธ์ อย่างน้อยที่สุด อังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นคนหนึ่งที่ประกาศอหังการของความเป็นกวีอย่างซื่อตรง ในมุมมองที่มีต่อการทำงานของเขานั้น ทุกอย่างคลี่คลายไปตามวิถี ดำรงอยู่ด้วยลมหายใจแบบกวี ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสนับสนุน หากเมื่อคุณเลือกเส้นทางชีวิตเป็นกวี ต้องยืนหยัดและอยู่ด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นกวี
นอกจากผลงานล้ำค่าที่ฝากไว้เป็นบรรณาการแก่สังคมไทย อังคาร กัลยาณพงศ์ ยังเป็นครูและเป็นบุคคลตัวอย่างในอุดมคติสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะจาริกไปบนเส้นทางนี้ เส้นทางที่เชื่อมไปหารหัสนัยของจักรวาล
อาจารย์เพิ่งผ่านวาระครบรอบวันเกิด 85 ปี และมีการแสดงมุทิตาจิต ?
จริงๆ ผมไม่ค่อยคิดถึงวันเกิดนะ แต่ถ้าคิดถึงวันเกิด คนโบราณท่านให้คิดถึงแม่ เพราะว่าแม่คลอดลูกออกมา เสี่ยงชีวิตเหมือนกันนะ บางคนออกมาในท่าที่ไม่ปรารถนา ต้องผ่าท้อง ที่เขาเรียก "ซีซาร์" คือมาจากในสมัยซีซาร์ มีกฎหมายบทหนึ่งระบุว่า หากจะช่วยลูกในท้อง ก็อนุญาตให้ผ่าท้องแม่ได้
ธรรมเนียมวันเกิดของคนไทยปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปมาก ?
คือพี่ไทยมักจะไปยึดของคนอื่น เช่น วันวาเลนไทน์ ก็ไปยึดของยุโรป วันวาเลนไทน์เขานิยมให้ดอกกุหลาบสีแดง แต่โดยหลักแล้ว ไทยโบราณเรานิยมให้ดอกจำปา เพราะเขาถือเอาจากเรื่องของแม่ศรีสุดาจันทร์ กับพันบุตรศรีเทพ ที่ให้สาวใช้นำดอกจำปาไปถวาย ที่นายนรินทร์เขียนว่า
จำปาจำเปรียบเนื้อ.....นางสวรรค์ กูเอย
ศรีสุมาลัยพรรณ..............พิศแพ้
ช้องนางคลี่ระส่ายสรร.......สลายเซ่น
คือนุชสนานกายแก้..........เกศแก้วกันไร
ผมคิดว่ามีนักปราชญ์หลายคนที่ถือว่าดอกจำปาแทนความรัก แทนกุหลาบสีแดง และถ้าเราเอาดอกจำปาแทนจริงๆ จะมีเปรียบมาก เพราะดอกกุหลาบไม่ค่อยหอม แต่ดอกจำปาจะได้ทางกลิ่นหอมด้วย แล้วความรักนั้น ถ้ามันสวยเฉยๆ ก็ไม่ดี ความรักจะต้องหอมด้วย ยิ่งเป็นดอกจันทร์กระพ้อ ก็จะยิ่งหอมหวลลึกซึ้งไป ตามมิติของความรัก เพราะความรักจริงๆ มันไม่สวยเฉยๆ มันต้องหอมด้วย
ด้วยวัยขนาดนี้ของอาจารย์ รู้สึกอย่างไรเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก
วัยของผมจริงๆ มันคือวัยพ่อ พูดกันตรงๆ ผู้ชายที่ยังโสดอยู่มัน มีเรื่องของราคะจริต คือเป็นเพศสัตว์ตัวผู้ พอมาพบคู่แล้วแต่งงาน ก็กลายเป็นพ่อแม่ ซึ่งในที่นี้ก็เหมือนต้นโพธิ์ที่ให้ร่มเงา
ทีนี้ความรักที่เราเคยมีแบบโรแมนติค มันขยายขึ้นคือความเมตตา คือมารักลูก ทีแรกก็รักแบบลูกผู้ชาย แบบโบราณที่เขาว่าลูกผู้ชายสืบสกุล แต่มานึกดูอีกที ลูกผู้หญิงก็สืบสกุลได้เหมือนกัน ที่จริงโบราณเขายกย่องผู้หญิงนะ ที่เรามาพูดเถียงกันในเรื่องสิทธิผู้หญิง ผมว่าไม่จริงหรอก คนดีจริงๆ เขายกย่องผู้หญิง เพราะว่าผู้หญิงเราเป็นเพศมารดา พระพุทธเจ้ายังมีแม่เป็นผู้หญิงเลย
ความรักของผู้ชายที่มีราคะจริต ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ?
อันนี้ ถือเป็นสัตว์ตัวผู้ เป็นเจตนาของโลกมนุษย์ทีเดียวว่ามนุษย์เรา เวลาเราอยู่ใต้เจตนาของสิ่งที่ใหญ่กว่า เรามองไม่เห็น แต่ถ้าเราอาศัยผู้รู้ เช่นเขาบอกว่า ถึงฤดูผสมพันธุ์ของตั๊กแตนตำข้าว ตัวเมียจะหันมากัดคอตัวผู้ขาดเลย แล้วตัวผู้มีแรงราคะจริตเท่าไหร่ เทไปให้หมดเลย หมายความว่าให้ตั๊กแตนตัวเมียตั้งไข่ เพื่อสืบพันธุ์ นี่คือเจตนาของโลกมนุษย์
ในเจตนาของโลกมนุษย์ จะแฝงไว้ด้วยเจตนาของจักรวาลที่ให้มีตั๊กแตนตำข้าวอยู่ทั่วโลก เหมือนที่โลกเจตนาให้หญ้าคลุมโลก เราไปดวงดาวอื่น อย่าง ดาวอังคาร ไม่มีหญ้าเลย แต่เจตนาของโลกมนุษย์ ให้มีหญ้า มีพืชพันธุ์คลุมโลก อันนี้ผมถือเป็นเจตนาที่ใหญ่กว่า แล้วตั๊กแตนตำข้าวก็ไม่รู้เลยว่ามันอยู่ใต้เจตนาที่ใหญ่กว่า เหมือนมนุษย์เรา บางทีเรากินนอนสืบพันธุ์ไป เราไม่สำนึกว่า เราถูกอำนาจอะไรที่มาบังคับเราอยู่ เหนือกว่าเรา เราก็ไม่รู้ ก็มาในรูปของกิเลส หรืออวิชชาต่างๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนให้บังคับเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรารู้สึกตัว ถอนตัวเองออกมาเป็น เบิร์ด อาย วิว แล้วมองดูตัวเราเองว่าเราอยู่ใต้เจตนาของใคร เราก็สามารถค้นหาเจตนาที่เป็นของมนุษย์ได้
เราสามารถดูได้จากพระพุทธเจ้า พูดง่ายๆ ดูได้จากครูบาอาจารย์ ถ้าเราปราศจากครูบาอาจารย์เสียแล้ว เราก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เหมือนเราเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ เราจะเขียนไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีครู
เรื่องการเสพสังวาสนี่เพราะเรามีสัญชาตญาณ และหากเรายังไม่เป็นพ่อแม่ เราก็จะหลงเหลิงไปในเรื่องนั้น หมายถึงว่าเราเกือบจะโงหัวไม่ขึ้น ที่เขาเรียกอวิชชา แต่พอเราเข้าข่ายพ่อแม่ ความรักนั้นก็จะกลายเป็นความเมตตากรุณา ที่เราต้องอุปถัมภ์
ในด้านหนึ่ง ลูกๆจึงเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับพ่อแม่ด้วย ?
ผมคิดว่า ทุกอย่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เหมือนต้นหญ้า ความเมตตาของแม่ก็เหมือนชูชีพพาดอกหญ้าลอยไปในอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็งอกขึ้น พินัยกรรมอันนั้นที่มองไม่เห็นในดอกหญ้า คือพินัยกรรมของแม่หญ้าที่สั่งลูก ขอให้ไปงอกไปเจริญเติบโตขึ้น จะได้ปกคลุมโลก เหมือนต้นโกงกางที่อุตส่าห์ออกแบบให้ลูกทิ่มไปในโคลน เพื่อจะทำป่าโกงกางขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ให้สัตว์ใหญ่น้อยได้อาศัย มนุษย์ได้อาศัย มันพึ่งกันเป็นลูกโซ่
ดูอาจารย์มีความสุขดี ?
ก็สุขทุกข์ไปตามสภาพ ความสุขมันไม่จีรัง แต่เวลาสบายใจจริงๆ คือเวลาแต่งโคลน เพราะนักเขียน เวลาเขียนหนังสือ เขาต้องอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง สมมติ ยาขอบ เขาเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร แต่เวลายาขอบเขียนผู้ชนะสิบทิศ ยาขอบมีโอกาสเป็นบุเรงนอง เขาเป็นจักรพรรดิเต็มที่เลย แต่พอวางปากกา เขาอาจจะกลายเป็นคนก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งธรรมดาก็ได้ นักเขียนมันมีโลกอีกโลกที่เขาฝันได้
แล้วการเดินทาง ?
ไม่ค่อยได้เดินทาง แต่ก่อนจะชอบเดินทาง ไปภูกระดึง ไปภูหลวง เดี๋ยวนี้อยู่แบบหอยนางรม หมายถึงอยู่ติดที่ หอยนางรมจะอยู่ติดหิน ถ้าจะไปเที่ยวไหน ก็คงไปเที่ยวในน้ำจิ้ม ส่วนมากอย่างดีหอยนางรมก็ไปเจอกับน้ำมะนาว เหมือนเป็ด อุดมคติของเป็ดจะไปไหนเสีย เป็ดไล่ทุ่งอย่างดีก็เป็นเป็ดพะโล้ เรานำไป ใครจะเป็นเป็ดย่างก่อนกัน ใครจะเป็นข้าวหน้าเป็ดที่อร่อย นี่พูดถึงเป็ดนะ แต่มนุษย์เรามีสิทธิคิดให้ไกลกว่านั้น
อาจารย์เคยพูดถึงจินตนาการ ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างงานศิลปะ ?
จริงๆ มนุษย์ มีความคิดมาก่อน คนที่จะสร้างนครวัด จะต้องมีมโนคติ คอมโพสิชั่นใหญ่ คนที่จะสร้างบรมพุทโธ ต้องคิดใหญ่ รวมถึงพาเธนอน ต้องอาศัยจินตนาการกว้างใหญ่ พูดง่ายๆ ว่า ไอ้การสร้างสรรค์ ที่เรียกว่า creative นฤมิตกรรม เราต้องใช้จินตนาการแบบพระเจ้าสร้างโลก นี่สมมตินะ ไม่ใช่เราอาจเอื้อม สมมติว่าเราเป็นพระเจ้า แล้วมีโจทย์ว่าเราจะสร้างโลก จะสร้างอย่างไร มันก็น่าคิด สนุก จริงๆ มนุษย์ก็มีสิทธิได้ ถ้ามนุษย์เรียนรู้ลึกถึงขั้นอารยะจริงๆ เราก็สร้างได้
เช่น สมมติว่า มีปาริกชาติ ในดาวดึงส์ ทำไมเราเป็นสถาปนิก เราจะดึงปาริกชาติมาสร้างในโลกมนุษย์ไม่ได้ แล้วทำสถาปัตยกรรมอย่างไรที่มนุษย์ระลึกชาติได้ เขาเข้าไปแล้ว สำนึกถึงคุณค่าความเป็นคนของเขา โดยที่แทบจะสะอึก เพราะมนุษย์เรานี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เวลาเราใส่นาฬิกา แล้วนาฬิกาเราเสีย เราไปแก้ไขทันที แต่พอความเป็นมนุษย์เราบกพร่อง เราไม่เคยคิดแก้ไขเลย
ดังนั้น หากเรามาเอาใจใส่ความเป็นมนุษย์ของเรา ผมว่าเหมือนเรากลับไปหาต้นปาริกชาติ เราระลึกถึง เพราะว่าโดยหลักแล้ว มนุษย์มีสติปัญญาเป็นองค์ประธาน ถ้าเราเอาใจใส่คุณค่าตอนนี้ เช่นกว่าที่เราจะเอาใจใส่คุณค่าของเงินทอง เรามาเอาใจใส่คุณค่าของสติปัญญา ซึ่งจะกลับเป็นแก้วสารพัดนึก คิดอะไรก็คิดได้ เราควรนำต้นปาริกชาติมาไว้ในโลกมนุษย์ แล้วทำโลกมนุษย์ให้เป็นดาวดึงส์ ถึงขั้นที่ว่าหัวใจมนุษย์เบิกบานเหมือนดอกบัว แล้วเข้าใจความเป็นอารยะ ก็จะอยู่กันด้วยความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ ไม่ได้อยู่กันด้วยไฟสงครามอย่างนี้
ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าสิ่งที่เราคิดฝันจินตนาการ ไม่เพ้อเจ้อจนเกินไป
เราก็อาศัย genius ต่างๆ เยอะแยะ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เป็น genius ที่เขามีบุญคุณต่อโลกก็ดี ศึกษาจากครู เราต้องอาศัยครู ขั้นแรกก็คือพ่อแม่ แล้วก็ครูบาอาจารย์ เราต้องระลึกถึงบุญคุณของครูอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นมงคล
อาจารย์มองอาการ "ติสต์" ของคนปัจจุบันอย่างไร
โดยหลัก หากเขาร้องว่าเขาเป็นติสท์ก็ตามใจ เราร้องได้ ถ้าเรามีจุดมุ่งหวัง เรามุ่งจะเป็นอาร์ติสต์ แต่เราก็เหมือนต้นข้าว ในรวงข้าว ถ้ายังไม่มีตัวแป้งที่จะไปเลี้ยงโลก เป็นข้าวลีบ เราก็ไม่ควรร้อง เราเป็นข้าวแล้วไม่มีเยื่อของข้าวเลย เราก็ควรสงบไว้ เรามีข้าวเต็มรวง เราก็ร้องได้ ร้องว่าเราเป็นข้าว สามารถไปหุงให้คนกินแล้วชื่นใจ ก็แล้วแต่กรณีไป แต่ถ้าเราเป็นข้าวลีบ เป็นแกลบก็ไม่ควรร้อง ดีไม่ดี จะไปถูกกับสุภาษิตอีกว่า ผู้รู้คือผู้ไม่พูด แต่ผู้ไม่พูด คือผู้ไม่รู้ก็ได้นะ
นิ่งเสียตำลึงทอง ?
จุดมุ่งหมายของนิ่งเสียตำลึงทอง คือเขาให้มัธยัสถ์คำพูด แต่ต้องพูดด้วย ถ้าเรามีความคิด แต่ถ้าเรามีความคิดแล้วไม่พูดเลย มันอาจจะดูว่าเราไม่มีความคิดก็ได้ แต่ถ้าเรามีความคิดดีๆ แล้วเราพูดออกไปมีค่าเท่าตำลึงทอง ก็พูดได้ เราต้องแก้สุภาษิตให้ตก
เขาห้ามตรงนี้ เพราะคำพูดของมนุษย์ พอพูดไปแล้ว มันจะเป็นเจ้าเป็นนายของผู้พูด ผู้พูดก็จะได้รับผลอันนั้น ถ้าเราพูดออกไปเป็นอาวุธ มันก็จะกลับมาบาดเรา ถ้าเราพูดไปแล้วบาดหู มันก็บาดหูเรา ถ้าพูดไปแล้ว แสลงใจคน เสียดแทงใจ มันก็จะกลับมาเสียดแทงหัวใจเรา อย่างที่เขาบอกว่า ปากเป็นเอก เพราะพูดแล้วสามารถโน้มน้าวหัวใจคนได้ ถ้าหากปากเราพูดแล้ว มันเกิดแรงผลักแรงดูดเอาอาวุธเข้ามาหา เราอย่าพูดเสียดีกว่า
ในด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าศิลปินต้องมีอัตตา ?
อันนี้ธรรมดา อัตตานี่เราแปลเสียใหม่ แปลให้มาเป็นกระดูกสันหลังเรา คือแปลอัตตามาเป็นความเคารพตัวเอง เท่าที่เราจะทำได้ หมายความว่าเราไม่เข้าข้างตัวเอง ตัวเราเอง ต้องมีดวงตาที่ 3 มองเห็นตัวเราเองว่า เราคือใคร มีข้อบกพร้องอย่างไร ภาษิตจีนบอกว่า เวลาดูคนอื่น ให้ดูส่วนวิเศษเขา เวลาดูตัวเอง ให้ดูข้อบกพร่อง เราบกพร่องอย่างไร
ที่เราแก้อัตตามาเป็นกระดูกสันหลัง เพราะหากไม่มีกระดูกสันหลัง เราก็อยู่ไม่ได้ หมายถึงเราต้องอยู่ด้วยความคิดเที่ยงตรง สามารถยืนด้วยความคิดของเราเอง เช่น เราไม่ใช่คางคก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องยืนยัน ถ้าเรารู้สึกตัวว่าเราเป็นคางคก กิ้งกือ เราก็ยืนยันในความเป็นอันนั้น แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์แล้ว เราจะไปโลเลไม่ได้ เราต้องยืนอยู่ในความตรงของเรา เราต้องมีดวงตาเห็นได้
เช่น ทหารเขาสวนสนาม เขาอาจจะหลงตัวเองได้ว่า เขาเดินพร้อมกัน เดินพร้อมกันจริง แต่ในสายตามนุษย์จริงๆ มันก็เหมือนกิ้งกือ เวลากิ้งกือมันเดิน ตีนก็พร้อมกันหมด แล้วหากทหารไม่รักษาแผ่นดิน สมมติเขมรมันรุกมาเอาดินแดน เรามีธงชัยเฉลิมพลที่นำทัพ แล้วเมื่อธงชัยเฉลิมพลไม่ทำหน้าที่ดูแลดินแดนที่ปู่ย่าตายายเราสั่งสม ไอ้ด้ามธงชัยเฉลิมพลควรเป็นสากกะเบือเสียดีกว่า เอาด้ามมาทำสากกะเบือตำส้มตำให้ทหารเขมรกินบนเขาพระวิหาร เขมรจะได้ชื่นชมว่าส้มตำของเอ็งมันอร่อยจริงๆ เพราะว่าตำด้วยธงชัยเฉลิมพล
เมื่ออัตตาเป็นกระดูกสันหลัง หากมีบางพวกอวดอุตริคิดว่าตัวเองไปไกลอีกขั้นหนึ่ง ?
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าพวกเขาอวดอุตริมนุสธรรม คืออธิบายตัวตนจนเกินเหตุ เหมือนเราบอกว่า เราเป็นเทพเทวดา เราจะเป็นเทพไปได้อย่างไร เพราะเราเหาะก็ไม่ได้ หิริโอตัปปะเราก็ไม่มีเลย เป็นอย่างที่เป็น อยากจะเป็นปุถุชนก็ยืนยันในความเป็นปุถุชนนั้น ยืนยันแต่ว่าอย่าหนาให้มันเกินไป
คือปุถุชนนี่แปลว่า หนานะ หนาด้วยกิเลส เขาบอกว่า ถึงแม้เราจะเกิดมาเป็นปุถุชน แต่ก็อย่าเป็นปุถุชนจนเกินไป อย่าหนามาก อย่างทักษิณนี่มันหนามาก หนาด้วยความโลภ มันโลภแบบไม่มีเส้นขอบฟ้า โลภแบบอจินไตย
เรื่องความดี-ความงาม-ความจริง ที่ฝรั่งมองเป็นเรื่องเดียวกัน อาจารย์เห็นอย่างไร
ผมก็เห็นด้วยทุกอย่างที่อัจฉริยะมนุษย์เขาพูด เราเป็นลูกศิษย์ภายหลัง บางทีเราก็เหมือนคนโง่ เราเกิดมาในทุ่งในนา เราดีกว่านิดหน่อยตรงที่ไม่กินหญ้า เพราะฉะนั้น เรายอมรับจากความคิดที่ไม่ธรรมดา กรีกเป็นมนุษย์ที่เฉลียวฉลาดมหัศจรรย์มาก เท่าที่เห็นมนุษย์มาแล้วในตะวันตก ไม่มีใครฉลาดเฉลียวเท่ากรีก แล้วเขารู้เท่าทันกายวิภาคของมนุษย์ เขาเรียน เขามองว่าสัตว์โลกทั้งหมดนี่งาม แต่มนุษย์นี่เป็นประธาน เขาถือว่าร่างกายมนุษย์งามที่สุด ดังนั้นเวลาเขาเรียนกายวิภาค เขาเรียนแบบนี้เลย แล้วเขายกย่องมนุษย์คล้ายๆ กับเทพเจ้า คือเทพเจ้านี่มีกายแบบมนุษย์...
มนุษย์ดีกว่าไอ้เข้ ดีกว่าสัตว์ทั้งหมด ดีกว่าไดโนเสาร์ กิ้งก่า ซึ่งไม่สามารถทำความงามขึ้นมาได้ แต่มนุษย์เราสามารถคิดถึงความงามอันเป็นอุดมคติ สามารถแปลอุดมคติให้เป็นรูปธรรมได้ พูดง่ายๆ ว่า คนที่ไปจับเรื่องนี้ ส่วนมากเขาเป็น genius เป็นอัจฉริยมนุษย์ทั้งนั้น แล้วทำไมเรารุ่นลูกศิษย์ เราถึงไม่เคารพเขา
ทำไมทัศนะต่อความงามของคนรุ่นหลังๆ เริ่มมองกันแบบไม่มีถูก ไม่มีผิด หรือลื่นไหล
ผมว่าคนรุ่นหลังรีบรับสัพเพเหระมา บางทีอเมริกาเขาให้ขยะมา เราก็รับขยะมาเต็มดุ้น แต่คนโบราณ เขามีปริศนานะ เขาทำกระต่าย 3 ตัว (Three Hares) วิ่งกันเป็นวงกลม จารึกๆ ไว้ตามหน้าผา แล้วไม่มีใครแก้ออก ลองคิดดู สนุก แล้วเป็นพันๆ ปี ไม่มีใครแก้ออก
แล้วกระต่าย 3 ตัวคืออะไร ภาษิตจีนบอกว่า กระต่ายตัวหนึ่งเขาขุด 3 โพรง มีทีหนีทีไล่ แล้วกระต่ายคือสัญลักษณ์ของความว่องไว พอรู้แบบนี้ เราก็พอรู้แล้วว่า กระต่าย 3 ตัว คือปัญญา 3 พระพุทธเจ้าสอนไว้มีปัญญา 3 อย่าง คือ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา แทนกระต่ายแต่ละตัว
สุตมยปัญญา หากไม่เดินทางหมื่นลี้ อ่านหนังสือหมื่นเล่ม จะเป็นพหูสตรได้อย่างไร หมายถึงการสดับตรับฟังมาก จินตามยปัญญา เช่น เขาคิดเครื่องบิน รถยนต์ เฮลิคอปเตแอร์ รถไฟ อะไรต่างๆ อาศัยความคิด แต่ ภาวนามยปัญญา เปรียบเหมือนเรื่องจิตโดยตรง ภาวนาจนมีกำลังของสมาธิพิเศษ ที่ไปเห็นธาตุดวงจิตเดิม ภาวนามยปัญญา เปรียบเหมือนพระโมคคัลลาน์ ท่านสำเร็จแล้วท่านเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด เหาะขึ้นไปในทางช้างเผือก ในโซลาร์ซิสเต็ม หยอดเม็ดหนึ่งๆ หมายถึงระบบสุริยะ ทุกอันหยอดเม็ดหนึ่ง จนหมดเมล็ดพันธุ์ผักกาดในฝาบาตร ก็ไม่สิ้นสุดจักรวาลเลย นี่คือภาวนามยปัญญา
หากเรารู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็จะเข้าใจกระต่าย 3 ตัววิ่ง กระต่ายเป็นตัวแทนของสติปัญญาที่ว่องไว การวิ่งคือไดนามิค การปฏิบัติ ส่วน ภาวนาคือการหมุนเวียนทั้งหมด ที่เราเข้าใจวงกลม
หนึ่งในเรื่องความงามที่ถกเถียงในยุคสมัยของอาจารย์ คือฉันทลักษณ์ หรือไม่ฉันทลักษณ์ ?
ที่จริง ข้อเขียนของผม ผมไม่ได้ทำผิดฉันทลักษณ์นะ แต่เมื่อผมแต่ง มันโดดเด่น แล้วพวกนักกลอนเขาทนไม่ได้ อย่างน้อยมันจะแต่งกลอน มันต้องมากราบตีนเรา ผมมีข้อเสียอยู่อย่าง ผมไม่ได้เข้าหา ไปออเซาะ หรือเอาอกเอาใจ พวกนักกลอนมันก็โกรธ หาว่าผิดฉันทลักษณ์ อันที่จริง การไม่แต่งลงแบบสุนทรภู่ ก็ไม่ผิดหรอก ถึงไปถามสุนทรภู่เอง ท่านก็คงไม่ได้ว่าอะไร สุนทรภู่ที่แต่ง บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว ที่สัมผัสใน ท่านก็เอาแบบมาจากโบราณ มาจากมธุรสวาที อยู่ในศิริวิบุลกิตติ์เป็นตำราแต่งกลอนครั้งกรุงศรีฯ เป็นปู่ทวดของวัดโพธิ์อีกที
อตีเตแต่นานนิทานหลัง มีนครังหนึ่งกว้างสำอางศรี
ชื่อจำบากหลากเลิศประเสริฐดี เจ้าธานียศกิตติ์มหิศรา
ดำรงภพลบเลิศประเสริฐโลกย์ เป็นจอมโจกจุลจักรอัครมหา
อานุภาพปราบเปรื่องกระเดื่องปรา กฏเดชาเป็นเกษนิเวศเวียง
พวกที่เก่งหนังตะลุงจะต้องรู้ ซึ่งสุนทรภู่หยิบมาแต่งจนคนเข้าใจว่า เป็นของท่านเอง จริงๆ ท่านก็มีครู คิดดูสิง่ายๆ สุนทรภู่ ไม่มีพ่อแม่จะเกิดมาได้อย่างไร
ท่านอังคาร ก็มีครู ?
ผมมีครูเยอะแยะ ผมมีคนโบราณเป็นครู สุนทรภู่เป็นครูเรา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็เป็นครู เพียงแต่พวกนักกลอนบางคน เราก็ไม่ได้เข้าหา แต่บางท่านก็เป็นครูเหมือนกัน
เวลาพูดถึงความงาม แต่ละคนต่างมีมาตรวัดกันคนละแบบ ?
แล้วแต่สิ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราควรให้โอกาสกับเพื่อนมนุษย์ เหมือนที่เราให้โอกาสกับต้นไม้บนภูเขา สุดแล้วแต่ใครจะออกดอกยังไง เราจะไปบังคับเขาอย่างไร ว่าไอ้นี่ต้องออกดอกแบบอุตพิด ไอ้นี่ต้องออกดอกแบบจันทร์กระพ้อ ผมว่าบังคับไม่ได้นะ
ในโลกนี้ ที่เขาสร้างมา ถ้าเราแปลคุณค่า มันวิเศษไปหมด แล้วใยมนุษย์ที่เขาสร้างมา เขาให้โลกมาทั้งโลก แล้วยังมายากจนอีก มันควรจะร่ำรวย
ทราบมาว่าสมัยวัยหนุ่ม อาจารย์ก้าวร้าวรุนแรงเหมือนกัน
เขาว่ากันอย่างนั้น แต่การที่เราคุยแล้วเราเข้าใจกัน โบราณเขาเรียกเป็นเกลอกัน
แล้วอารมณ์ความรู้สึกตอนแต่งบทกวี "ใครดูถูกดูหมื่นศิลปะฯ " ?
ผมก็แต่งไปตามเรื่อง เพราะผมรักศิลปะ ตอนนั้นเรียนศิลปากรแล้ว เห็นว่ารัชกาลที่ 6 ท่านแต่งเบาไป ใครดูถูกผู้ชํานาญในการช่าง ความคิดขวางเฉไฉไม่เข้าเรื่อง ผมว่าเบาไป เลยซัดเสียตามประสาคนวัยหนุ่ม
ทุกวันนี้ สรรหาแรงบันดาลใจจากไหนทำให้แต่งบทกวีได้ตลอดเวลา
คืออย่างนี้ ถ้าเราเกิดมาเป็นปอด เรามีหน้าที่ต้องหายใจ ถ้าเราเกิดมาเป็นจมูก เราก็ต้องหายใจ เราเกิดมาเป็นทะเล ก็ต้องมีคลื่น เราเกิดมาเป็นท้องฟ้า ก็ต้องมีเมฆลอย ไอ้พวกนี้คือจินตนาการ หมายความว่า ทะเลมีคลื่น ทะเลเมื่อใดไม่ขาดคลื่น มนุษย์เราก็ต้องมีมโนคติ มีจินตนากร มนุษย์เท่านั้นที่จะแปลความมหัศจรรย์ฉงนฉงายของจักรวาลให้มีความหมายในโลกมนุษย์ จักรวาลพยายามสร้างอะไร มันมีแต่หินผา ทุกดวงดาวมีแต่หินผา แร่ธาตุอื่น แต่ไม่มีสติปัญญา แก้วสารพัดนึกที่จะแปลความหมายของจักรวาลอันลี้ลับนี้มาได้ จักรวาลเหมือนคนใบ้ แต่มนุษย์เกิดมา มนุษย์สามารถเป็นภาษาของจักรวาลได้ มนุษย์สามารถเป็นปิยะวาจาที่พูดแทนจักรวาลได้
ถึงที่สุดมนุษย์สามารถแปลความเป็นมนุษย์ไปถึงพระอรหันต์ได้ เป็นการแปลความหมายของจักรวาลได้ถึงที่สุด แม้แต่เพชรพลอยยังแปลความหมายของจักรวาลไม่ได้.
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน