จาก โพสต์ทูเดย์
เปิดความเห็น "คปก." ถึงวุฒิสภา เสนอให้ยับยั้งร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก่อนให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้ตกไป
เมื่อวันที่ 7 พ.ย. นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) ได้ลงนามในหนังสือบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะคปก.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทาง การเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ.... หรือ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้ คปก. มีความเห็นและข้อเสนอแนะว่า วุฒิสภาควรยับยั้งร่างพ.ร.บ.นี้ไว้ก่อนและส่งร่างพ.ร.บ.คืนไปยังสภาผู้แทน ราษฎรเพื่อดำเนินการให้ตกไป อีกทั้งเมื่อมีการยับยั้งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลและรัฐสภาควรแสดงเจตจำนงทางการเมืองอย่างแน่วแน่ในการสร้างความ ปรองดอง โดยการนำข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง แห่งชาติ ( คอป.) มาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และนำความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมที่เคยเสนอไว้ว่า หากจะมีการนิรโทษกรรมชอบที่จะดำเนินกระบวนการอื่น ๆ เสียก่อน เช่น การใช้มาตรการตามกระบวนการยุติธรรมปกติเพื่อสร้างความเป็นธรรม การค้นหาความจริง การยอมรับความผิด การขอโทษ การให้อภัย การชดใช้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ การปฏิรูปสถาบัน และการป้องกันความรุนแรงไม่ให้เกิดขึ้นอีก
คปก.มีความเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 ขัดกับกระบวนการตราพระราชบัญญัติตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2551 ข้อ 117 และข้อ 123 โดยมีรายละเอียดดังนี้
การนิรโทษกรรมให้กับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริต
การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการขยายขอบเขตการนิรโทษกรรมให้รวมถึงการ กระทำอันเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งไม่ได้เป็นการนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำความผิดของบุคคลเนื่องจากการ ชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง จึงขัดกับหลักการที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่1
การนิรโทษกรรมในหลายประเทศที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ที่รุนแรง โดยเป็นการนิรโทษกรรมสำหรับผู้ที่กระทำความผิดอันเนื่องมาจากวัตถุประสงค์ ทางการเมือง และมักใช้กับการกระทำที่มีลักษณะทางการเมืองเพราะผู้กระทำผิดเหล่านั้นไม่ ใช่อาชญากรโดยสันดาน และเพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง อีกทั้งการมุ่งแต่จะลงโทษทางอาญาต่อการกระทำของบุคคลดังกล่าวจึงอาจไม่เหมาะ สมและไม่นำไปสู่การปรองดองในอนาคต ดังนั้นจึงควรมีการให้อภัยแก่ผู้กระทำความผิด
สำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตนั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดที่มีลักษณะทางการเมืองอันควรได้รับการนิรโทษกรรม
การที่ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้กำหนดให้มีการนิรโทษกรรมให้แก่การ กระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตโดยผู้กระทำความผิดหลุดพ้นจากความผิดและความ รับผิดโดยสิ้นเชิงย่อมเป็นการขัดต่อหลักการนิรโทษกรรมดังกล่าว และขัดต่ออนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention against Corruption : UNCAC 2003) ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2554
นอกจากนี้ การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริต ยังไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาว่า “จะฟื้นฟูประชาธิปไตย และป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง รวมทั้งการเสริมสร้างมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลของบุคลากรภาครัฐ ตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมของสังคมให้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และถูกต้องชอบธรรม”
การนิรโทษกรรมให้กับการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิต
ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมมีลักษณะเป็นการนิรโทษกรรมแบบครอบคลุมทั่วไป (Blanket Amnesty) ไม่มีการแยกแยะลักษณะการกระทำที่ควรจะนิรโทษกรรมให้ชัดเจนและเป็นการนิรโทษ กรรมโดยปราศจากเงื่อนไข หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับจะมีผลเป็นการนิรโทษกรรมแก่การกระทำที่เป็นการ ละเมิดสิทธิในชีวิต ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่ถูกรับรองไว้ในกฎหมายระหว่าง ประเทศและรัฐธรรมนูญไทย
หน้าที่ของรัฐที่จะต้องมีการสืบสวน สอบสวนและนำตัวผู้ที่ละเมิดสิทธิดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและลงโทษ อย่างเหมาะสม รวมทั้งต้องมีการเยียวยาอย่างเป็นผลแก่ผู้เสียหาย การนิรโทษกรรมแก่การละเมิดสิทธิในชีวิตจึงเป็นการขัดต่อหน้าที่ของรัฐตาม กติการะหว่างประเทศอีกทั้งยังขัดต่อนโยบายสหประชาชาติที่ระบุไว้ในเอกสาร บันทึกทางเทคนิคเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศและนโยบายแห่งสหประชาชาติในการ กำหนดระเบียบด้านการนิรโทษกรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้รับรองสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายไว้ในมาตรา 32 วรรคแรกว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย” การที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้เช่นนี้รัฐจึงต้องผูกพันในการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพในชีวิตร่างกายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ โดยต้องไม่ละเมิดสิทธิในชีวิตและมีหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองมิให้มีการ ละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของบุคคล
ดังนั้น การตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้กับการละเมิดสิทธิในชีวิตโดยปราศจากเงื่อนไข โดยละเว้นไม่นำบุคคลที่กระทำการละเมิดสิทธิในชีวิตเข้าสู่กระบวนการเพื่อ พิสูจน์ความจริง การสำนึกผิดและขอโทษ การทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตพอใจ ถือเป็นการขัดต่อหน้าที่ของรัฐตามตามหลักการที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น และเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิด (Impunity) อันจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันขึ้นอีกในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการละเมิดต่อสิทธิของผู้เสียหายในการที่จะได้ทราบความจริงและ ได้รับการเยียวยาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอีกด้วย
ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ขัดต่อหลักความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย
การกำหนดระยะเวลาที่ยาวนานโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 อันมีความเกี่ยวข้องกับหลายเหตุการณ์ ประกอบกับถ้อยคำที่กำหนดไว้กว้างๆ ในกฎหมาย ได้แก่ การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งคำว่า “การเมือง”สามารถตีความได้กว้างขวาง ซึ่งอาจจะไม่ได้จำกัดเฉพาะเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองที่มุ่งล้มล้างรัฐบาลเท่านั้น
นอกจากนี้การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 โดยระบุว่า “...หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้ง ขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่ เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะกระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดย สิ้นเชิง” ก็เป็นถ้อยคำที่ใช้อย่างคลุมเครือไม่ชัดเจนว่าหมายถึงคณะบุคคลหรือองค์กรใด
การใช้ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นถือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดต่อ “หลักความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย” เพราะไม่สามารถกำหนดได้อย่างแน่นอนชัดเจนว่าหมายถึงการกระทำของใคร และใครเป็นผู้ได้รับผลจากร่างกฎหมายดังกล่าว ประกอบกับมิได้กำหนดกลไกเพื่อทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน