จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ธุรกิจทั่วประเทศ 5.6 แสนรายกระอัก โวย “พาณิชย์” ไม่เหลียวแล หลังปล่อยผีให้สภาวิชาชีพบัญชีดูแลกันเอง ทำให้การประกอบธุรกิจปั่นป่วน เหตุหาผู้ทำบัญชี สอบบัญชีได้ยากขึ้น แถมเจอกฎเหล็กใหม่ บังคับผู้สอบบัญชีเซ็นงบได้ไม่เกินปีละ 200 งบจากเดิม 300 งบ ยิ่งทำให้หาผู้ทำบัญชีได้ยากขึ้น ต้องวิ่งหารายใหญ่ ดันต้นทุนพุ่ง วงในแฉยักษ์ใหญ่บัญชีรวมหัวออกกฎกำจัดรายย่อย ล่าสุดขึ้นค่าธรรมเนียมอีกเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้มีบริษัทห้างร้านต่างๆ ได้ร้องเรียนเข้ามายังกระทรวงฯ ว่า ไม่สามารถหารายชื่อผู้สอบบัญชี และผู้ทำบัญชี เพื่อให้จัดทำงบการเงินได้ หลังจากที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้โอนงานต่างๆ ไปให้สภาวิชาชีพบัญชีดูแล เพราะไม่ทราบว่าจะติดต่อหารายชื่อได้จากที่ไหน จากเดิมเคยสามารถหาได้ที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แต่เว็บไซต์ของสภาวิชาชีพบัญชีไม่สามารถหาได้ ทำให้เสียเวลา และมีความเสี่ยงที่จะทำบัญชีเพื่อส่งงบการเงินได้ไม่ทัน ยิ่งในภาวะที่ปัจจุบันมีบริษัทห้างร้านเกิดขึ้นมาใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้ขาดแคลนผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชี
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีห้างหุ้นส่วนบริษัทจำกัดดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศจำนวน 562,485 ราย มีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 10.74 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 382,759 ราย บริษัทมหาชนจำกัด 1,036 ราย และห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 178,690ราย
“เมื่อก่อน ธุรกิจสามารถหาผู้ทำบัญชี ผู้สอบบัญชีได้ไม่ยาก ยิ่งตอนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดูแลอยู่ สามารถค้นหาจากเว็บไซต์ของกรมฯ ได้เลย แต่พอโอนงานออกไป เหมือนกับผลักภาระทิ้งไปให้สภาวิชาชีพบัญชีดูแล แล้วเขาดูแลไม่ดี ทำให้ธุรกิจเดือดร้อน ยิ่งตอนนี้รัฐบาลส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันให้มีการทำธุรกิจโปร่งใส แต่มาเจอปัญหาแบบนี้ก็ยิ่งแย่ แล้วตอนนี้มีการออกกฎให้ผู้สอบบัญชีเซ็นงบได้ปีละ 200 งบ จากเดิม 300 งบ ก็ยิ่งหาคนทำได้ยากไปอีก”
รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่ทำให้สภาวิชาชีพบัญชีออกกฎให้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตสามารถเซ็นงบได้ ปีละ 200 งบ เริ่มปี 2557 เป็นต้นไป เนื่องจากสภาวิชาชีพบัญชี ที่ผู้บริหารส่วนใหญ่มาจากสำนักงานบัญชีที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในนามบิ๊กโฟร์ รวมถึงสำนักงานบัญชีใหญ่ๆ ในไทย ได้กำหนดนโยบายดังกล่าวออกมา เพื่อต้องการบีบให้สำนักงานบัญชีรายย่อยอยู่ไม่ได้ เพราะธุรกิจที่เข้าไปติดต่อเพื่อขอให้ทำงบและเซ็นงบจะรับงานได้น้อยขึ้น เพราะถูกจำกัดการเซ็น แต่หากธุรกิจไปติดต่อขอให้บริษัทบัญชีรายใหญ่ทำ ก็สามารถทำได้ เพราะมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตอยู่ในบริษัทมากกว่า
โดยผลกระทบของกฎดังกล่าว ทำให้สำนักงานบัญชีรายย่อยต้องเลือกลูกค้า ทำให้มีธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากไม่สามารถหาผู้ทำบัญชีและสอบบัญชีได้ และเมื่อไปขอให้สำนักงานบัญชีใหญ่ๆ ทำบัญชีให้ก็ทำให้เพิ่มต้นทุนขึ้นอีกมาก
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ล่าสุดสภาวิชาชีพบัญชียังได้ออกกฎระเบียบใหม่ โดยกำหนดให้ผู้ที่จะเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีจะต้องเสียค่าสมาชิกปีละ 500 บาท ซึ่งสำหรับนักบัญชีที่มีงานทำแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษามาใหม่ๆ หากอยากเป็นสมาชิกก็ต้องจ่าย และต้องจ่ายทุกปี ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กจบใหม่ และยังต้องจ่ายค่าสอบวิชาชีพ เพื่อให้ได้ใบอนุญาตอีกวิชาละ 1,000 บาท 6 วิชา รวม 6,000 บาท ซึ่งเมื่อสอบผ่านจนได้รับใบประกอบวิชาชีพแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าสมาชิกอีกปีละ 2,000 บาททุกปี รวมทั้งต้องมีการอบรมวิชาชีพบัญชีจาก 12 ชั่วโมง เป็น 18 ชั่วโมงด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ของสภาวิชาชีพบัญชี ได้รับการชี้แจงจากสภาวิชาชีพบัญชีว่าเพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับ ปรุงพัฒนาระบบการบัญชีของไทยให้ได้มาตรฐานโลก และเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แต่ในทางปฏิบัติ คนในวงการบัญชีได้แย้งว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และยิ่งรับงานต่อจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาแล้ว ก็ยังไม่เห็นการพัฒนาอย่างชัดเจน
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน