จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK
ก่อนวิกฤต Hamburger ในปี 2551 ความตกลงการค้าเสรี (FTA) เคยเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อกระตุ้นการส่งออกและการลงทุน ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2551 มี FTA ที่มีผลบังคับใช้รวมทั้งโลก ทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคีราว 400 ฉบับ เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปี 2533 ที่มีเพียง 100 ฉบับ
ส่งผลให้ FTA มีความซ้ำซ้อนและเกี่ยวพันกัน หรือที่มักเรียกกันว่า "Spaghetti Bowl" ซึ่งความตกลงที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ปริมาณการค้าโลกช่วงปี 2533-2550 ขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง 9% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม หลังวิกฤต Hamburger ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจซบเซาถ้วนหน้า หลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจในประเทศแทนการส่งออก ทำให้หลังจากปี 2551 เป็นต้นมา แทบไม่มี FTA ฉบับใหม่ ๆ เกิดขึ้นเลย ในทางตรงกันข้ามแต่ละประเทศเริ่มหันมาใช้มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีศุลกากร (Non-Tariff Measures : NTMs) เพิ่มมากขึ้น เพื่อคุ้มครองภาคการผลิตในประเทศ
NTMs ที่มีมากขึ้นนับเป็นสาเหตุสำคัญที่ซ้ำเติมให้การค้าโลกตกอยู่ในภาวะซบเซา และทำให้หลังจากปี 2551 เป็นต้นมา ปริมาณการค้าโลกชะลอการขยายตัวลงเหลือเฉลี่ยเพียง 3% ต่อปี
ข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ระบุว่า ในปี 2558 มีการใช้ NTMs ถึงราว 10,000 มาตรการ เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าจากช่วงก่อนเกิดวิกฤต Hamburger ที่มี NTMs อยู่ราว 4,700 มาตรการ หากย้อนกลับมาดูการค้าของไทยพบว่า ในปี 2558 การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบจาก NTMs ของประเทศคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 86 มาตรการ เพิ่มขึ้นราว 75% จากช่วงก่อนวิกฤต ซึ่งมีเพียง 49 มาตรการ
หากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ในอาเซียนพบว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก NTMs สูงที่สุดกล่าวคือ ในปี 2558 อินโดนีเซียได้รับผลกระทบจาก NTMs จำนวน 64 มาตรการ มาเลเซีย 44 มาตรการ เวียดนาม 43 มาตรการ และสิงคโปร์ 13 มาตรการ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมีส่วนซ้ำเติมให้สินค้าไทยสูญเสียขีดความสามารถในการ แข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆในภูมิภาคนอกเหนือไปจากปัญหาเชิง โครงสร้างที่ไทยกำลังเผชิญอยู่
นอกจากนี้ ผลสำรวจผู้ส่งออกไทยจำนวน 1,067 ราย โดย International Trade Center (ITC) และกระทรวงพาณิชย์ ในปี 2556 พบว่า ราว 38% ของกลุ่มตัวอย่างได้รับผลกระทบจาก NTMs และหากแบ่งผลกระทบตามตลาดส่งออกพบว่า การส่งออกไปตลาดส่งออกหลักของไทยล้วนได้รับผลกระทบจาก NTMs ทั้งสิ้น อาทิ การส่งออกไป EU และอาเซียน มีสินค้าที่ถูกปฏิเสธโดยมีเหตุจาก NTMs ราว 20% ของปริมาณส่งออกทั้งหมด ขณะที่การส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ ถูกปฏิเสธมากกว่า 5%
ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า NTMs กำลังเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกของไทย
ทิศทางการค้าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป จากครั้งหนึ่งที่เคยเป็นยุคทองของ FTA ซึ่งมีส่วนผลักดันการค้าโลกให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดไปสู่ยุคแห่ง NTMs ที่ประเทศต่าง ๆ หันมาปกป้องผู้ผลิตในประเทศของตน แน่นอนว่าผู้ส่งออกไทยย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากกลไกภาครัฐที่ต้องเจรจาเพื่อขจัด อุปสรรคทางการค้าจากNTMsแต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเร่งปรับตัวของผู้ ประกอบการไทยที่ควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับกฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้าซึ่งนอกจากจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาผล กระทบจากNTMsแล้ว ยังช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวอีก ด้วย
Disclaimer:คอลัมน์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลจึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ EXIM BANK
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน