จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
• ผลวิจัย “ โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” ของ “ทีดีอาร์ไอ” พบตัวเลขเงินบริจาคของประเทศไทย ราว 70,000 ล้านบาทต่อปี • สะดุดปัญหาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคเงินเพื่อการกุศลจนเป็นจุดอ่อน • เสนอทางออกตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” เพื่อไปสนับสนุนองค์กรภาคสังคมที่ทำงานมุ่งเน้นผลลัพธ์
|
|
แถลงข่าว : (จากซ้าย) วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย บอกถึงบทบาทขององค์กรตัวกลางที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและเชื่อมต่องานภาคสังคม ขณะที่ วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย นำเสนอผลลัพธ์ทางสังคมของกองทุนคนไทยใจดี และสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ข้อเสนอเชิงนโยบายให้มีการตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” หรือ Social Investment Board |
|
|
|
|
ในงานสัมมนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน” พร้อมผลวิจัย “โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” เมื่อเร็วๆ นี้ |
|
|
จากงานสัมมนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน” โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดผลวิจัย “โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าประเทศไทยมีจำนวนเงินบริจาคเพื่อการกุศลโดยเฉลี่ยต่อปีถึง 70,000 ล้านบาท และยังมีงบประมาณจากรัฐสนับสนุนกองทุนด้านสังคมเพียง 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวืตคนพิการ กองทุนผุ้สูงอายุ และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ “ในปีงบประมาณ 2559 มีจำนวน 453 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.02 ของงบประมาณทั้งหมด 2.72 ล้านบาทนั้นเป็นตัวเลขไม่มากมายแต่สิ่งสำคัญ คือพบปัญหาการใช้ให้มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ปี 2558 มีเงินส่งเข้ากองทุนฯตามพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้พิการ พ.ศ.2550 (ม. 34) จำนวน 2,485,268,259 บาท แต่กลับมีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายออกคิดเป็นร้อยละ 42 ของเงินที่ส่งเข้ากองทุน”สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าว ไม่เพียงเท่านั้น ลำพังเงินอุดหนุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวยังไม่มากพอเมื่อเทียบกับขนาดของปัญหา จึงจำเป็นจะต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้ประชาชนสามารถเข้ามาลงทุนแก้ปัญหาสังคม ยกตัวอย่าง ปัญหาการศึกษา มีเด็กด้อยโอกาสจำนวน 4.8 ล้านคนที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาสังคมไทยนิยมการบริจาคเพื่อการกุศล แม้ว่าเป็นการลงทุนทางสังคมรูปแบบหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในมาตรการด้านภาษียังมีข้อจำกัด กล่าวคือจะต้องบริจาคให้กับมูลนิธิที่กระทรวงการคลังประกาศให้เป็นองค์กรการกุศลสาธารณะ ตามมาตรา 47(7) เท่านั้นถึงจะได้รับการลดหย่อนภาษี ปัจจุบันมีทั้งหมด 935 แห่ง และการสนับสนุนในส่วนผู้บริจาค ถ้าเป็นบุคคลจะหักลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ และถ้าเป็นนิติบุคคล สามารถหักได้ตามจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ จึงไม่แปลกที่พบว่า มีมูลนิธิฯที่มีวัตถุประสงค์ให้ทุนศึกษาเพียงร้อยละ 14.64 หรือ 133 แห่งที่ผู้บริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่ภาคเอกชน ตัวเลขบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีกิจกรรมซีเอสอาร์ด้านการศึกษาคิดเป็น ร้อยละ 22.27 จากทั้งหมด 642 องค์กร
|
เสนอตั้ง “บอร์ดส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม”
ประธานทีดีอาร์ไอ บอกว่ามาตรการด้านภาษีนอกจากไม่สร้างแรงจูงใจสำหรับผู้บริจาคแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรภาคสังคม หรือผู้ให้บริการด้านสังคมซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเงินบริจาคไปใช้เป็นงบประมาณด้านบริหารจัดการและอัตรากำลังคน เพราะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้ ทำให้เสียโอกาสในการสรรหาว่าจ้างบุคคลากรที่มีคุณภาพมาร่วมงาน และหากมีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการมากกว่าร้อยละ 40 ของงบประมาณดำเนินการในแต่ละปี ส่งผลให้มูลนิธิหรือองค์กรนั้นจะไม่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารรกุศล ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 531) โดยภาพรวมกล่าวได้ว่า ผู้กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นการลงทุนด้านสังคม และสองหน่วยงานดังกล่าวก็มีบทบาทหลักในการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาล ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้น จึงนำมาสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายให้มีการตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” หรือ Social Investment Board ซึ่งจะมีบทบาทให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ให้บริการทางสังคมที่สามารถอ้างอิงผลลัพธ์ได้โดยไม่จำกัดลักษณะองค์กร ว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ หรือกิจการเพื่อสังคม หรือมูลนิธิภายใต้การดำเนินงานของภาคเอกชน “ผู้ให้บริการภาคสังคมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการฯชุดนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในลักษณะเดียวกันกับองค์การการกุศลสาธารณะในปัจจุบัน แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องมีการจัดทำรายงานการเงินส่งทุกปี และรายงานก็จะต้องสะท้อนให้เห็นว่าได้บรรลุวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณะ พร้อมสร้างประโยชน์ที่วัดผลลัพธ์จับต้องได้” สมเกียรติ กล่าว และบอกว่าผลวิจัยยังพบ ตัวแปรสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการลงทุนด้านสังคมให้เข้มแข็ง คือ “องค์กรตัวกลาง” เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายเสริมสร้างขีดความสามารถและสนับสนุนทรัพยากรให้กับผู้ให้บริการทางสังคม หนุนกลไกขับเคลื่อน สร้างแหล่งทุนที่ยั่งยืน “ถึงเวลาแล้วที่ผู้ให้บริการทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร หรือกิจการเพื่อสังคมจะต้องตื่นตัวที่จะมองหาแหล่งทุนที่ยั่งยืนมากกว่าการยึดแหล่งทุนแห่งใดแห่งหนึ่ง” วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย สนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรตัวกลาง พร้อมแนวทางสร้างแหล่งทุนที่ยั่งยืนกว่า ซึ่งหมายถึงต้องมีความพร้อมที่จะเปิดการลงทุนจากประชาชนทั่วไปมากขึ้น ทั้งหมดนี้ต้องใช้การสร้างผลลัพธ์ทางสังคมมาเป็นเครื่องมือยืนยันความน่าเชื่อถือให้สังคมร่วมลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทุนเงิน หรือทุนมนุษย์ อย่างการเชิญชวนอาสาสมัครผู้เชี่ยวชาญจากภาคธุรกิจมาแก้ปัญหาสังคม และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขนาดใหญ่ จำเป็นที่จะต้องเน้นทำงานแบบสร้างการมีส่วนร่วมกับองค์กรต่างๆ ปัจจุบันมีกลไกความร่วมมือเกิดขึ้นในสังคมมากมาย แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ใหม่ในระบบนิเวศงานพัฒนาความยั่งยืนไทย ที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ร่วมกันอีกระยะหนึ่ง ขณะที่ วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวเสริมข้อเสนอของทีดีอาร์ไอ.ว่าจะช่วยยกระดับการพัฒนางานสังคมไปอีกขั้นหนึ่งที่เป็นการสร้างผลลัพธ์ทางสังคมที่จับต้องได้ ที่ผ่านมา บลจ.บัวหลวง ร่วมกับภาคสังคมริเริ่มก่อตั้ง “กองทุนรวมคนไทยใจดี” หรือ BKIND โดยลงทุนเฉพาะในบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และการต่อต้านคอร์รัปชัน (ESGC) และจัดเงินร้อย 40 จากรายได้ค่าบริหารจัดการกองทุน โดยนำไปสนับสนุนโครงการเพื่อสังคมหรือองค์กรสาธาณประโยชน์ต่างๆ ปรากฏว่าปัจจุบัน สามารถช่วยโครงการเพื่อสังคม 32 โครงการ แก้ปัญหาสังคม 9 ประเด็น และมีผู้รับประโยชน์ทางตรง 13,843 คน หากทุกโครงการดำเนินงานแล้วเสร็จ จะส่งผลดีต่อ 829,634 คน “นี่สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนทั่วไป หรือผู้ถือหน่วยก็สามารถเป็นนักลงทุนทางสังคมได้ และในอนาคตอันใกล้ เชื่อว่า ภาคตลาดทุนไทยจะมีบทบาทใหม่ในช่องทางนี้ และขอเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาเป็นนักลงทุนเพื่อสังคมที่ดีซึ่งเป็นแนวโน้มของโลกยุคใหม่” วรวรรณ กล่าวย้ำ
|
|
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน